ตอนที่ 39: ผู้ที่เก่งกาจต่างก็เคยเป็นคนธรรมดามาก่อนทั้งนั้น

– แผนกอาชญากรรม –

– กองปราบปรามยาเสพติด –

ในตอนนี้ ชายที่เสพติดโคเคน… คนที่เสี่ยวเฉิงหยุดรถเอาไว้กำลังถูกคุมตัวอยู่ในห้องสืบสวนสอบสวน ทั้งนี้ สาวงามที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาก็คือหรานจิง เธอจ้องมองไปที่ชายติดโคเคนพร้อมเผยสีหน้าสุดจริงจัง

“ระดับโคเคนในร่างกายของคุณสูงเกินขีดจำกัดไปมากเลยนะ ยังไงเราขอความร่วมมือหน่อยก็แล้วกัน คำถามแรกเลย คุณไปเอายาเสพติดพวกนั้นมาจากไหนกัน? เรารู้อยู่แล้วแหละว่าคุณเป็นคนของแก๊งมังกรฟ้า… ยังไงก็เถอะ พวกคุณมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการลักลอบขนยาเสพติดและการค้ามนุษย์หรือเปล่า? หากคุณตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาและไม่โกหก ทางเราก็จะพิจารณาและปรับลดโทษให้ส่วนหนึ่ง”

ชายติดโคเคนพลันแสยะยิ้ม “เหอะ เจ้าหน้าที่หรานจิง… คุณไม่จำเป็นต้องทำให้ผมตกใจขนาดนั้นก็ได้ ผมรู้กฎหมายดี ผมถูกส่งตัวมาที่นี่ก็เพราะเสพยาเกินขนาด อีกอย่าง ผมไม่ได้ถูกจับมาเพราะว่ากำลังขายหรือผลิตยาให้คนอื่นสักหน่อย คุณจะตั้งโทษประหารชีวิตผมหรือเปล่าล่ะ? ก็ไม่! ผมไม่ได้โง่นะ แถมผมยังรู้อีกด้วยว่าพวกคุณจับตาดูผมมาตั้งนานแล้ว”

หรานจิงพลันคิดว่าชายคนนี้ดูจะปากเก่งไม่น้อย ทันใดนั้น เธอก็ทุบกำปั้นกระแทกลงกับโต๊ะ

“รู้ใช่ไหมว่าพวกเราสามารถสั่งขังคุณตลอดชีวิตได้?” หรานจิงกล่าวคำขู่

ทันใดนั้น ชายติดโคเคนก็พลันตะโกนขึ้นมา “นี่กำลังขู่กันอยู่งั้นเหรอ? รู้ไหมว่าผมเองก็มีทนายเหมือนกันนะ? อันที่จริง ผมก็อาจจะถูกจำคุกแค่หนึ่งหรือไม่ก็สองปี จากนั้น ผมก็จะถูกปล่อยตัวออกมา ผมไม่ได้สนใจอะไรพวกคุณนักหรอก”

ทันทีที่พูดจบ ชายติดโคเคนก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องสอบสวนไป

หรานจิงพลันกัดฟันและยืนอยู่ที่เดิม หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ช่วยของเธอก็เดินเข้ามาพร้อมกับกล่าวคำพูด “ตอนนี้พวกคนจากแก๊งสี่จตุรเทพมันรู้กฎหมายกันหมดแล้วครับ แค่คำขู่คงจะทำอะไรพวกมันไม่ได้แล้ว”

ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หรานจิงก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

ไม่นานนัก หัวหน้าก็เดินเข้ามาพร้อมกับตบบ่าเธอสองสามที “ใจเย็นก่อน อย่าเพิ่งรีบร้อนไป เราไม่ได้ส่งคุณมาที่นี่เพื่อให้มาจัดการพวกแก๊งมังกรฟ้าสักหน่อย ก็เข้าใจว่าคนพวกนี้จัดการยาก เพราะแบบนั้น เราเองก็ต้องมีลำดับขั้นตอน”

หรานจิงพยักหน้าและหันพูดกับผู้ช่วยของตนเองทันที “อย่าปล่อยให้ผู้ชายคนนี้ลอยนวลไปได้ล่ะ เขาอาจจะมีผู้สมรู้ร่วมคิดอยู่… ก่อนที่คดีลักลอบหนีภาษีจะคลี่คลาย หมอนั่นจะต้องถูกคุมตัวอยู่ที่นี่เท่านั้น!”

“รับทราบครับ” ผู้ช่วยกล่าวอย่างมั่นใจ

ไม่นานนัก หรานจิงก็พลันหันไปถามผู้ช่วยอีกครั้ง “เอ่อ… แล้วตอนที่เกิดเหตุ นายเป็นคนบอกฉันเองว่ามีเพื่อนร่วมงานจากหน่วยอื่นมาช่วยกลุ่มเด็กนักเรียนเอาไว้แล้วก็จับคุมชายคนนั้นได้ นายรู้ไหมว่าเขาเป็นใครกัน?”

“ผมคิดว่าเขาน่าจะประจำตำแหน่งอยู่ที่กรมตำรวจริเวอร์ไซด์น่ะครับ เขาบอกมาว่าตัวเองชื่อเสี่ยวเฉิง…”

“หือ? เสี่ยวเฉิง?”

“หัวหน้ารู้จักเขาด้วยเหรอ?”

ว่ายังไงนะ? รู้จักเขา? ฉันอาศัยอยู่ห้องเดียวกับหมอนั่นเลยล่ะ…

หรานจิงพลันบ่นพึมพำในใจ

“อ่า เหมือนจะเคยเจอกันเมื่อไม่นานมานี้”

“อ๊ะ! มีอีกเรื่อง หัวหน้าจะดูภาพเหตุการณ์จากที่เกิดเหตุหน่อยไหมครับ?” ผู้ช่วยเผยท่าทีชักชวนเล็กน้อย

“แล้วมีอะไรให้ดูบ้างล่ะ?” หรานจิงกล่าวอย่างเฉยเมย

“ทุกคนต่างก็คิดว่ามันเป็นคลิปวิดีโอที่น่าตกใจแล้วก็แปลกประหลาดยังไงก็ไม่รู้…” ผู้ช่วยพลันถอนหายใจ

“แปลกประหลาด?” หรานจิงพลันกระพริบตาอยู่สองสามครั้งก่อนที่จะกล่าวคำพูดออกมาด้วยความสงสัยและความอยากรู้อยากเห็น “งั้นพาฉันไปดูที ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันประหลาดยังไง”

จากนั้นไม่นาน ผู้ช่วยก็พาหรานจิงไปที่ห้องทำงานพร้อมกับกล่าวคำพูดกับเพื่อนร่วมงาน “ช่วยเปิดวิดีโอประหลาดนั่นให้หัวหน้าดูทีสิ”

ทันใดนั้น เพื่อนร่วมงานที่รับหน้าที่ในการจัดเก็บหลักฐานก็ได้เปิดคลิปวิดีโอให้กับหรานจิงดูทันที

หรานจิงพลันจ้องมองไปที่วิดีโออย่างใจจดใจจ่อ เธอกำลังพุ่งความสนใจไปที่ตรงทางแยก ภายในคลิปวิดีโอ รถของชายติดโคเคนได้หักเลี้ยวและผ่าไฟแดงไปจนเกือบจะชนเข้ากับกลุ่มของเด็กนักเรียนที่กำลังเดินข้ามทางม้าลาย หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เสี่ยวเฉิงก็ทิ้งรถของตนเองและวิ่งเข้ามาอุ้มเด็กทั้งสองหลบรถจนกลิ้งไปอยู่บนทางเท้า

ทว่า ทันทีที่เห็นเช่นนั้น หรานจิงก็ดูจะไม่ได้ตกใจหรือคิดว่าเรื่องนี้มันแปลกประหลาดอะไร

“นี่ไม่ใช่เรื่องปกติหรือยังไงกัน?” หรานจิงถามขึ้นด้วยความสับสนเล็กน้อย

ไม่นานนัก เจ้าหน้าที่ก็คลิกเมาส์เพื่อเล่นวิดีโออีกครั้งและกดหยุดคลิปชั่วคราวเพื่อดูเหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ “หัวหน้าลองมองดูตรงนี้นะครับ รถของชายติดโคเคนอยู่ห่างจากกลุ่มเด็กนักเรียนประมาณสิบเมตร แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นอยู่ห่างออกไปตั้งยี่สิบเมตร ในระยะทางเกือบสองเท่าตัวภายใต้สถานการณ์ปกติ ถ้ารถของชายคิดโคเคนต้องหักเลี้ยวกะทันหัน… จะมีสักกี่คนกันล่ะครับที่จะตอบสนองได้ทันเวลา? ถึงแม้ว่าจะมีคนที่รู้ตัวทัน แล้วจะมีสักกี่คนกันล่ะครับที่สามารถวิ่งได้เร็วกว่ารถยนต์ปกติเกือบสองเท่า? แถมเจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นยังวิ่งเข้าไปอุ้มพวกเด็กนักเรียนจนหลบรถได้ทันเวลาอีกด้วย เขาอยู่ห่างออกไปตั้งยี่สิบเมตรเลยนะครับ!”