ตอนที่ 89

My Disciples Are All Villains

สิ่งนี้จะไม่ทำให้ฝานซุยเหวินไม่รู้สึกโกรธได้ยังไง? คนเหล่านี้ต้องการที่จะขัดเกลาอาวุธของลูกน้องผู้ภักดีของเขาผู้ซึ่งได้ตายจากไป! แต่ไม่ว่าจะโกรธแค่ไหนฝานซุยเหวินก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดอะไรออกมา ผู้แพ้อย่างเขาไม่สามารถที่จะพูดอะไรออกมาได้ ถึงแม้ว่าหมิงซี่หยินจะฉีกเส้นเอ็นของเฉิงจงเหอ เลาะกระดูกทุกชิ้นของเขาออกจากร่างต่อหน้า แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ ฝานซุยเหวินทำได้เพียงจ้องมองอย่างหมดหวังเท่านั้น ตัวเขาพยายามเดิมพลังลมปราณอีกครั้งแต่จุดตันเถียนที่กักเก็บพลังลมปราณก็คงว่างเปล่าอยู่ดี

ฝานซุยเหวินเป็นคนที่มีความรู้กว้างไกลมาก เขาเดินทางไกลมาแล้วอย่างนับไม่ถ้วน และเพราะการเดินทางทำให้เขาเห็นเคล็ดวิชาหลากหลายประเภทจากสำนักต่างๆ แต่ถึงแบบนั้นนี่ก็เป็นครั้งแรกของฝานซุยเหวินที่ได้เห็นเคล็ดวิชาที่ใช้ผนึกกรงกักขังแบบนี้ ยิ่งไม่รู้เกี่ยวกับเคล็ดวิชามากเท่าไหร่ก็ยิ่งยากที่จะป้องกันมากขึ้นเท่านั้น

ลู่โจวที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ของเขาเหลือบไปมองที่ใบมีดอันนั้น และในที่สุดตัวเขาก็ได้พูดออกมาอย่างไร้อารมณ์ “เอามันมาให้ข้า”

“ได้ครับท่านอาจารย์” หมิงซี่หยินรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก เขาหยิบมีดล้ำค่าขึ้นมาทั้งสองมือก่อนที่จะยื่นให้กับลู่โจวไป หลังจากที่ทำความเคารพเสร็จแล้วตัวเขาก็ถอยกลับไปอย่างเชื่อฟัง

การจะหาและครอบครองอาวุธระดับสรวงสวรรค์ได้เป็นอะไรที่หาได้ยากมาก มีผู้ฝึกยุทธมากมายหลายคนที่ไม่แม้แต่จะมีโอกาสได้พบเจอกับอาวุธล้ำค่าในช่วงชีวิตของเขา คงจะมีเพียงแต่ผู้มีวรยุทธระดับมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่พอจะกล้าใช้งานอาวุธล้ำค่าแบบนี้ได้

ท้ายที่สุดแล้วการที่จะเอาชนะผู้ที่มีอาวุธระดับสรวงสวรรค์ได้ก็ยังเป็นเรื่องที่ยากอยู่ดี และเพื่อทดแทนความแข็งแกร่งที่ขาดหายไปเหล่าผู้ฝึกยุทธจำนวนมากจึงรู้สึกพอใจกับการครอบครองอาวุธระดับโลกเอาไว้ อาวุธระดับโลกสามารถที่จะขัดเกลาได้ มันสามารถขัดเกลาเพิ่มพลังจนกลายเป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์ได้ในอนาคต แต่ถึงแบบนั้นการที่จะพัฒนาอาวุธได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี การจะสามารถพัฒนาอาวุธสักชิ้นหนึ่งได้อาจจะต้องใช้เวลากว่าสิบปีด้วยกัน แต่ถึงแบบนั้นผู้ฝึกยุทธหลายคนก็ยอมที่จะพัฒนาตัวเองไปพร้อมกับอาวุธระดับโลก

ลู่โจวหยิบมีดที่ได้มาก่อนที่จะประเมินมัน การออกแบบของมีดเล่มนี้ยังไม่ใช่การออกแบบที่ดีที่สุด ด้านหนึ่งของมีดยังดูน่าเกลียดอยู่เล็กน้อย ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็อยากที่จะทดสอบมัน ดังนั้นตัวเขาจึงหยิบอาวุธนิรนามเปลี่ยนให้มันบางจนแทบมองไม่เห็นก่อนที่จะใช้มันฟันลงไปบนมีดเล่มนั้น

ทุกคนที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ตกตะลึงในสิ่งที่ลู่โจวเพิ่งจะทำไป จากมุมมองของพวกเขาดูเหมือนว่าลู่โจวกำลังใช้นิ้วของตัวเองผ่าลงไปที่บนใบมีด มีดเล่มนี้เป็นอาวุธระดับโลกที่มีคุณสมบัติโดดเด่นเป็นอันดับต้นๆ ถ้าหากพยายามใช้มือสัมผัสกับใบมีดแบบนั้นโดยตรงมือของลู่โจวจะต้องขาดแน่นอน แม้ว่านั่นจะเป็นเหมือนกับสามัญสำนึกแต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครที่จะโง่ทำอะไรแบบนั้นได้

ฝานซุยเหวินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “ถ้าหากพวกเจ้ากล้าที่จะครอบครองของคนตาย…พวกเจ้าจะนอนหลับยังไงกัน? “

หมิงซี่หยินได้หันกลับไปมองก่อนที่จะตอบกลับไป “ถ้าหากพวกเราใช้ชีวิตแบบนั้นกันหมด จนป่านนี้ก็คงไม่มีใครที่จะใช้อาวุธโดยที่นอนหลับได้หรอก”

ฝานซุยเหวินไม่สามารถที่จะโต้กลับอะไรไปได้ มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ชาวยุทธทั้งหลายจะต่อสู้แย่งชิงอาวุธของมีค่ากัน

ลู่โจวได้ส่ายหัวหลังจากที่ตรวจสอบอาวุธเสร็จ ก่อนหน้านี้ในตอนที่ตัวเขาใช้อาวุธนิรนามเพื่อทดสอบดาบคู่ในอดีตไป ดาบคู่เล่มนั้นก็ไม่แม้แต่จะสึกหรอเลยสักนิด และในตอนนี้อาวุธระดับโลกสูงสุดเองก็ยังไม่ได้รับผลอะไรจากอาวุธนิรนาม หรือว่าอาวุธนิรนามจะเป็นอาวุธที่ไม่ได้อยู่ในระดับโลกกัน?

ลู่โจวได้โยนมีดเล่มนั้นทิ้งให้กับหมิงซี่หยินไป หมิงซี่หยินสามารถคว้ามันเอาไว้ได้ทัน ในตอนนั้นเองตัวเขาก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ได้จับมีด แต่เมื่อได้จับมีดอีกครั้งมีดเล่มเดิมก็ได้ส่งเสียงแตกออกมาเบาๆ หลังจากนั้นมันก็แตกละเอียดจนไม่เหลือชิ้นดี

หมิงซี่หยินในตอนนี้ได้แต่ยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง มีดที่แข็งแกร่งในตอนแรกกลับแตกสลายไปอย่างง่ายดาย

ฝานซุยเหวินที่เห็นแบบนั้นก็ถึงกับขมวดคิ้ว

แม้ว่าสีหน้าของลู่โจวจะยังดูสงบนิ่งอยู่ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าอาวุธนิรนามของเขาจะแข็งแกร่งกว่าอาวุธโลกระดับสูงสุดได้ ถ้าหากเป็นแบบนี้แสดงว่าอาวุธนิรนามจะต้องเป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์ไม่ผิดแน่ อาวุธระดับสรวงสวรรค์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบได้อย่างใจคิดเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ใบหน้าของหมิงซี่หยินยังคงตกตะลึงเช่นเคย ตัวเขารู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมากที่อาวุธชิ้นใหม่ของเขาถูกอาจารย์ของตัวเองทำลายมันด้วยมือเปล่าแบบนี้! หมิงซี่หยินได้แต่คร่ำครวญอยู่ภายในใจของเขาเท่านั้น ‘ท่านอาจารย์ นี่ข้าทำดีไม่พอสินะ? ‘

ในที่สุดลู่โจวก็ได้พูดออกมา “อาวุรระดับโลกน่ะไม่เหมาะที่จะมาอยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าของข้าหรอก”

“…”

หมิงซี่หยินที่ได้ยินแบบนั้นตะลึงจนถึงกับพูดไม่ออก ‘อาวุธระดับโลก…แสดงว่ามีอาวุธที่ดีกว่านี้อยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นสินะ? ‘

หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นได้หัวเราะคิดคักก่อนจะพูดออกมาเช่นกัน “ศิษย์พี่สี่ ศิษย์พี่ดูอาวุธของศิษย์พี่สามสิ หอกราชันที่อยู่ในมือของเขาน่ะ ศิษย์พี่สามสามารถใช้หอกราชันในมือต่อกรกับศัตรูถึงสองคนพร้อมกันได้! “

หมิงซี่หยินที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้จ้องมองไปที่หอกราชันที่อยู่ในมือของด้วนมู่เฉิง

ด้วยความยาวของหอกราชันที่พอดีมือรวมเข้ากับลายมังกรที่ดูสง่างามทำให้หอกเล่มนี้ดูทรงพลังอย่างแท้จริง ในตอนนี้หมิงซี่หยินกำลังนึกถึงในตอนที่สิบยอดฝีมือบุกโจมตีภูเขาทอง ในตอนนั้นตัวเขาได้เกลี้ยกล่อมให้ด้วนมู่เฉิงออกไปจากที่นี่พร้อมเขา แต่ด้วนมู่เฉิงไม่ได้ตัดสินใจที่จะออกไป ที่เขาตัดสินใจแบบนั้นก็เพราะว่าที่แห่งนี้ยังมีหอกราชันอยู่นั่นเอง หมิงซี่หยินไม่คิดมาก่อนว่าท่านอาจารย์ของเขาจะมอบอาวุธล้ำค่าให้กับด้วนมู่เฉิงแบบนี้! หัวใจของเขาในตอนนี้กำลังรู้สึกถึงความผิดหวัง ถ้าหากจะเทียบอาวุธระดับโลกสูงสุดกับอาวุธระดับสรวงสวรรค์ อาวุธระดับโลกพวกนั้นคงไม่ต่างอะไรไปจากเศษขยะ

“ท่านอาจารย์ ต่อหน้าพลังอันยิ่งใหญ่จนไม่สามารถจะหยั่งถึงได้ของท่าน อาวุธชิ้นนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเศษขยะ ศิษย์คนนี้เห็นกับตาของตัวเองแล้วว่ามันเป็นอาวุธที่ไม่คู่ควร! ” หมิงซี่หยินพูดออกมาก่อนที่จะเตะมีดที่แตกหักเล่มนั้นให้พ้นทางไป หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดต่อไปพร้อมรอยยิ้ม “ท่านอาจารย์ ท่านพอจะมีอาวุธที่เหมาะสมกับศิษย์บ้างไหม? “

ลู่โจวได้ลูบเคราของเขาพักหนึ่งก่อนที่จะตอบกลับไป “เจ้าน่ะทำงานของเจ้าให้ได้ดีซะก่อน”

หมิงซี่หยินรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินคำพูดของลู่โจว คำพูดที่เขาพูดออกมาไม่ต่างอะไรจากคำสัญญาที่ตัวลู่โจวจะมอบอาวุธระดับสรวงสวรรค์ให้กับตัวเขา แม้ว่าอาจารย์คนนี้จะไม่ได้บอกว่าจะมอบอาวุธให้ตอนไหน แต่ถึงแบบนั้นท่านอาจารย์ของเขาก็เป็นคนพูดขึ้นมากับปาก ท่านอาจารย์ของเขาเป็นคนที่รักษาคำพูดมาโดยตลอด ดังนั้นหมิงซี่หยินจึงไม่ลังเลเลยที่จะคุกเข่าทำความเคารพลู่โจว “ท่านอาจารย์! ศิษย์คนนี้ขอบคุณท่านอาจารย์มาก ศิษย์จะตั้งใจทำงานหนักต่อไปไม่ให้ท่านอาจารย์ได้ผิดหวังได้! “

ค่าความจงรักภักดี +2%

ลู่โจวพยักหน้าตอบรับเบาๆ ในตอนนี้หมิงซี่หยินเป็นคนที่ดีขึ้นมาจากเดิมมากถ้าหากเปรียบเทียบกับในตอนที่ลู่โจวเพิ่งจะมาถึงโลกใบนี้ ความจงรักภักดีของเขาเพิ่มสูงมากขึ้นอย่างเสถียรเมื่อเทียบกับก่อนหน้า สิ่งนี้เป็นไปตามที่ลู่โจวได้คาดการณ์เอาไว้ การใช้กำลังข่มขู่และความรุนแรงกับผู้อื่น วิธีการแบบนี้ไม่อาจทำให้คนคนนั้นมอบความจงรักภักดีให้ได้

ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธหญิงทั้งสองคนที่มาจากวังจันทราก็ได้พูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

“นายท่าน! “

“นายท่าน ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม? “

ผู้ฝึกยุทธทั้งสองคนนั้นกำลังประคองเจ้าวังจันทร์ทรายี่เทียนซินที่กำลังหมดสติไป

หยวนเอ๋อวิ่งไปหาศิษย์พี่ของเธออย่างรวดเร็วก่อนที่จะตรวจชีพจร “นางน่ะยังสบายดี พวกเจ้าจะเอะอะอะไรให้คนอื่นตกใจกัน! “

“…” หมิงซี่หยินจ้องมองดูเหตุการณ์ทุกอย่าง ‘ศิษย์น้องหยวนเอ๋อ เจ้าน่ะหาโอกาสที่จะทำความดีให้ท่านอาจารย์อยู่เสมอๆ ข้าคนนี้เทียบกับนางไม่ได้จริงๆ ‘

ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็ได้โบกมือก่อนที่จะพูดขึ้น “ขังนางไว้ในศาลาทางใต้ซะ ให้นางได้ไตร่ตรองถึงเรื่องที่เคยทำไป”

“ค่ะท่านอาจารย์! ” หยวนเอ๋อรีบพาตัวยี่เทียนซินไปพร้อมกับผู้ฝึกยุทธทั้งสองที่มาจากวังจันทราออกจากห้องโถงใหญ่ศาลาปีศาจลอยฟ้าไป

ในเวลานั้นเองลู่โจวก็ได้สังเกตเห็นถึงความจริงอะไรบางอย่าง ค่าความเกลียดชังที่ยี่เทียนซินมีในตอนนี้กลับลดลงอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าความเกลียดชังในตัวของเธอที่มีต่อเขาจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านปลามังกรสวรรค์ ในตอนนี้ลู่โจวทำให้ฝานซุยเหวินยอมอธิบายถึงสาเหตุคร่าวๆ ให้กับเธอได้ฟังแล้ว แต่ถึงแบบนั้นฝานซุยเหวินก็ยังดื้อรั้นเก็บความจริงเอาไว้ ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นเริ่มรู้สึกสนใจเรื่องนี้มากขึ้น นอกจากที่เรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับยี่เทียนซินแล้ว ดูเหมือนว่าเรื่องในครั้งนี้เองจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ความทรงจำของเขาขาดหายไปอีกด้วย หลังจากที่ใช้ความคิดได้พักหนึ่งในที่สุดลู่โจวก็ได้สั่งการต่อไป “ผนึกวรยุทธของเจ้านี้เอาไว้และขังเขาไว้ซะ”

“ครับ ท่านอาจารย์! ” ด้วนมู่เฉิงรีบคว้าไหล่ของฝานซุยเหวินเอาไว้

ฝานซุยเหวินในตอนนี้เป็นเหมือนกับลูกไก่ในกำมือ เขาถูกหามตัวออกไปจากศาลาปีศาจลอยฟ้าด้วยแขนเพียงข้างเดียวของด้วนมู่เฉิง

ลู่โจวในตอนนี้ไม่แน่ใจว่าผลของการ์ดผนึกกักขังที่เขามีจะสามารถใช้ได้นานแค่ไหน ดังนั้นเขาจึงรีบสั่งให้ลูกศิษย์ของเขาปิดผนึกพลังวรยุทธของฝานซุยเหวินเอาไว้ ถ้าหากมีเวลามากพอลู่โจวก็สามารถคิดกลอุบายต่างๆ เพื่อหลอกล่อให้ฝานซุยเหวินคลายความลับทั้งหมดออกมา

ลู่โจวที่กำลังใช้ความคิดของตัวเองอยู่ได้ถูกเสียงของผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งเรียกเข้า “ท่านปรมาจารย์ เหล่าอัศวินดำที่อยู่เชิงเขากำลังก่อความวุ่นวาย พวกเขาไม่ยอมที่จะออกไปจากที่นี่ค่ะ”

มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เหล่าอัศวินดำจะไม่ยอมออกจากที่แห่งนี้ไปเพราะว่าฝานซุยเหวินผู้นำของพวกเขาถูกจับตัวไป เมื่อลู่โจวคิดถึงเรื่องความข้องเกี่ยวกับทางพระราชวังในตอนนั้นเขาก็เอ่ยปากพูดออกมาอย่างไม่แยแสอะไร “บอกเจ้าพวกนั้นไปว่าฝานซุยเหวินยังอยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า คนที่ไม่เกี่ยวข้องน่ะกลับไปได้แล้ว” ลู่โจวเลือกที่จะใช้คำว่า ‘ยังอยู่’ เพื่อที่จะบอกใบ้เป็นนัยๆ ว่าฝานซุยเหวินยังมีชีวิตอยู่

ผู้ฝึกยุทธหญิงคนนั้นได้ถามกลับมาที่ลู่โจวอีกครั้ง “ถะ…ถ้าหากเจ้าพวกนั้นไม่ยอมที่จะจากไปล่ะ? “

“ให้หมิงซี่หยินจัดการซะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะรีบไปบอกท่านหมิงซี่หยิน”

ในเวลาเดียวกันที่เชิงเขา เหล่าอัศวินดำทั้งหมดกว่าหลายสิบคนได้แต่จ้องมองไปยังม่านพลังที่ปิดกั้นทางของพวกเขาเอาไว้ ม่านพลังพวกนี้สูงกว่าหลายร้อยเมตรด้วยกัน และเพราะมันเป็นม่านพลังที่ใช้ป้องกันคนนอกได้ดังนั้นพวกอัศวินทั้งหลายจึงทำได้แต่รออยู่ข้างนอกเท่านั้น

ในตอนนั้นเองมีใครบางคนกำลังซ่อนตัวอยู่ที่ป่าใกล้ๆ เขาคนนั้นสวมชุดคลุมสีเขียวที่ดูเนียนตาไปกับป่าไม้ เขาคนนั้นกำลังสังเกตการณ์อยู่อย่างเงียบๆ

ที่ด้านหลังของชายคนมีกลุ่มชายชุดดำกำลังยืนรออะไรอยู่ ชายชุดดำคนหนึ่งได้เอ่ยปากถามออกมาด้วยความเคารพ “ท่านผู้อาวุโส ให้พวกเราจัดการกับคนพวกนี้เลยไหม? “