บทที่ 143 ยิ่งห่างยิ่งผูกพัน

บ้างก็ล้มลงด้วยเพราะตกลงไปในห้วงฝันไม่อาจตื่น บ้างก็ตื่นขึ้นมาทันทีแต่ไม่อาจรับกับกฎเกณฑ์เคร่งครัดของสำนักได้ ดังนั้นจึงขอสละสิทธิ์ไป

นอกจากชิงอวี่แล้ว คนอื่น ๆ ก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เมื่อคืนไปตาม ๆ กัน แต่คนหลายคนก็ยังเลือกจะอยู่ต่อ

วันนี้คือวันเริ่มการประลอง ทุกคนต่างตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ แม้คนจะหายไปเป็นจำนวนมาก แต่ทุกคนก็ไม่คิดอะไรมาก ต่างพากันมารวมตัวที่ห้องโถงใหญ่เพื่อกินข้าวเช้ากันอย่างเงียบเชียบ พวกเขาได้รับการบอกกล่าวว่าจะมีคนจากสำนักละอองหมอกมาพาพวกเขาขึ้นเขาไป

ที่น่าแปลกคืออาหารเช้าในวันนี้ดูหรูหรายิ่งนัก

สองวันก่อนหน้านี้มีเพียงหมั่นโถว และข้าวต้มใสที่ใช้เป็นกระจกส่องเงาหน้าได้ แต่วันนี้กลับมีเกี๊ยวใส รังนก ขนมฝูหรง[1] และยังมีเครื่องเคียงกรุบกรอบและโจ๊กธัญพืชหวานอร่อย

เมื่อทุกคนเห็นรายการอาหารเช้าก็ได้แต่สงสัยว่าเห็นภาพหลอนไปเองหรือไม่

หรือนี่จะเป็นอาหารมื้อสุดท้าย? เหตุใดจึงดูดีเช่นนี้ได้! หากเทียบกับอาหารวันนี้ วันก่อน ๆ พวกเขานับว่ากินอาหารหมูด้วยซ้ำ! ในชีวิตนี้มีหรือที่พวกเขาต้องกินอะไรที่กลืนลงท้องได้ยากเย็นถึงเพียงนี้? หากเลือกได้ก็คงไม่กลืนลงไปหรอก

ดังนั้นเมื่อเห็นอาหารที่วางเรียง แต่ละคนจึงมีใบหน้าลำบากใจ กลัวว่าจะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายเข้าจริง ๆ

เฉียวเว่ยกระแอมไอเล็กน้อยก่อนประกาศ “เมื่อก่อนหน้านี้เป็นเพียงการทดสอบ แม้โรงเตี๊ยมของข้าจะตั้งอยู่ในที่ห่างไกล แต่ก็ยังมีอาหารดี ๆ ให้พวกเจ้าได้ พวกเจ้าก็กินเสียเถอะ!”

ทุกคนจึงวางใจลง

หากแต่โต๊ะของชิงอวี่ได้ถูกชะตาลิขิตมาแล้วว่าวันนี้ไม่อาจได้รับความสงบสุข

นั่นก็เพราะมีคนบางคนไม่ยอมกลับไปตั้งแต่เมื่อคืน อีกทั้งยังยัดตัวเองมานั่งข้างนางท่าทางสบาย ๆ ละเลียดกินอาหารเช้าอย่างงามสง่า เงาร่างแข็งแรงที่มีใบหน้าราวกับสวรรค์สรรค์สร้างนั้นงดงามจนมนุษย์และเซียนต้องพากันขุ่นเคือง นัยน์ตาเย้ายวนคู่งามสีม่วงเต็มไปด้วยประกายลึกลับ ดึงสายตาจากรอบกายมาโดยง่าย

ชิงเป่ย เยี่ยนซีโหรวและเยี่ยนซีอู่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทำได้เพียงนั่งนิ่งไป ไม่รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่ตอนไหนกัน ได้แต่ทำหน้าเศร้ามองชิงอวี่

เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาฉงนและไม่พอใจจากเด็กสาว โหลวจวินเหยาก็หยุดมือแล้วหันมองนาง “มีอะไรหรือ?”

“เดี๋ยวนี้ท่าน….. มีเวลาว่างเหลือเฟือมากเลยกระมัง?” ชิงอวี่เอ่ยถาม

“หืม?” โหลวจวินเหยาเลิกคิ้ว ดูเหมือนไม่เข้าใจคำนาง

“อีกเดี๋ยวเราจะเดินทางไปสำนักละอองหมอกแล้ว ท่านคิดจะตามเราไปถึงตอนนั้นเลยหรือ?” ชิงอวี่ถามเสียงเบา

อย่างไรเขาก็เป็นคนที่ได้รับความเคารพนับถือในแดนเมฆาสวรรค์ หากคิดจะรั้งอยู่ในดินแดนระดับล่างไม่คิดทำสิ่งใดก็ช่างเถอะ แต่เขากลับชอบมาปรากฏกายอยู่รอบตัวนางบ่อยครั้งเช่นนี้ นางจึงเริ่มอยากถามเขาว่านี่เขาเบื่อหรือไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้ทำแล้วจริง ๆ กันแน่?

ชิงอวี่เอ่ยคำตามตรง ความหมายชัดเจน นั่นคือหมายจะไล่เขาไปไกล ๆ

โหลวจวินเหยาหัวเราะเบา ๆ นัยน์ตาสีม่วงเป็นประกายขบขัน “ข้าคงจะยังไม่ได้บอกว่าหอเมฆาเคลื่อนย้ายมาอยู่ที่นี่แล้ว อยู่ที่ยอดเขาฝั่งตรงกันข้ามกับสำนักละอองหมอกพอดี”

ชิงอวี่อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบได้ “ย้ายมาเมื่อไร?”

“เมื่อวาน”

ชิงอวี่ริมฝีปากกระตุก “ครั้งนี้ท่านคิดจะทำอะไรอีก?”

มิน่านางถึงไม่เห็นไป๋จือเยี่ยนที่ตัวติดกับเขาอยู่ตลอด เป็นเพราะมาด้วยกันแล้วนี่เอง…..

โหลวจวินเหยาตั้งฝ่ามือเท้าคางมองนางยิ้ม ๆ “ได้ยินว่าคืนวันที่หมดไปกับการบำเพ็ญเพียรในสำนักนั้นช่างแห้งเหี่ยว ข้าจึงคิดว่าศิษย์สำนักทั้งหลายคงต้องมีชีวิตอยู่อย่างน่าเบื่อน่าขื่นขมนัก แต่ตอนนี้ทุกคนสามารถแอบออกมาหาความสุขจากหอเสาวคนธ์ได้แล้ว เจ้าว่าไม่ดีหรือ?”

ชิงอวี่มุมปากกระตุกแรงกว่าเดิม นี่เขาคิดว่าการให้เหล่าศิษย์จิตใจบริสุทธิ์ที่ละเว้นความสำราญทั้งหลายมาหาความสำราญที่หออะไรนั่นของเขามันเป็นความคิดที่ดีจริงหรือ?

หากผู้อาวุโสมาได้ยินเจ้า คงโกรธจนเส้นเลือดสะบั้นไปแล้วกระมัง! เขาย้ายหอเมฆาเคลื่อนมาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ไม่ทำคนอื่นเขาสงสัยกันบ้างหรือไร? สำนักละอองหมอกไม่คัดค้านเลย??

ไม่รู้ว่าหมอนี่ใช้วิธีพิสดารอะไรถึงทำเช่นนี้ได้

“ดังนั้นจากนี้ต่อไป พวกท่านก็จะย้ายมาอยู่ที่นี่หรือ?” ชิงอวี่เหลือบมอง

โหลวจวินเหยาพยักหน้ารับยิ้ม ๆ “หากต้องการอะไรเจ้าออกมาหาข้าได้ทุกเมื่อ”

เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าเขาย้ายหอเมฆาเคลื่อนมาเพราะนาง…..

ชิงเป่ยมองสองคนหยอกเย้ากันอย่างสนิทสนม ไม่รู้ด้วยสาเหตุใด ในใจจึงมีอารมณ์ประหลาดบางอย่างเกิดขึ้น แต่กลับไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่

หลังทานอาหารเช้าแล้ว ศิษย์สำนักหลายคนในชุดขาวก็เดินทางมายังโรงเตี๊ยม มีคนหนึ่งที่ดูหน้าตาคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อมองดี ๆ ก็พบว่าเขาคือจินเจ๋อเฮ่าที่พวกนางพบตอนการประลองภายในนั่นเอง เขาเป็นคนที่ตกอยู่ในการควบคุมจิตของแปดปีศาจแดนสีเลือดที่หมายจะทำลายเหลียนฉ่าวเจี๋ย คนที่มีพลังบำเพ็ญสูงกว่าเสียเกือบตายนั่นเอง

ไม่รู้ว่ากลับไปยังสำนักละอองหมอกแล้วโดนลงโทษบ้างหรือไม่

เห็นได้ชัดว่าจินเจ๋อเฮ่าดูรู้จักกับเถ้าแก่โรงเตี๊ยม เฉียวเว่ย เป็นอย่างดี ท่าทีเขาให้ความเคารพนางมาก

ทั้งสองคนคุยกันเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเฉียวเว่ยพูดอะไร หน้าจินเจ๋อเฮ่าจึงพลันเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ ก่อนจะกวาดสายตามองกลุ่มคนโดยคนอื่นไม่ทันจับสังเกต

ระหว่างเดินทางไปสำนักละอองหมอก ศิษย์หน้าใหม่ที่ฉงนสงสัยทั้งหลายก็แอบเดินไปหาจินเจ๋อเฮ่า “พวกเราขอถามศิษย์พี่ ท่านสนิทสนมกับเถ้าแก่หญิงที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้นหรือ? พวกเราสงสัยว่านางเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักหรือไม่?”

จินเจ๋อเฮ่าเลิกคิ้ว “นางน่ะหรือ? ฐานะของนางสูงกว่าผู้อาวุโสเสียอีก”

ทุกคนพลันนึกย้อนไปวันที่มีคนล่วงเกินนางเข้า เขาบอกว่านางดูแลไม่ดี จะถูกสำนักละอองหมอกลงโทษเป็นแน่ สุดท้ายนางเพียงเอ่ยเสียงเย้ยว่า “ใครในสำนักละอองหมอกจะกล้า?”

ดูจากเรื่องราวแล้ว นางต้องเป็นคนในสำนักแน่นอน!

ทุกคนโล่งใจ โชคดีที่ไม่ได้ไปล่วงเกินนางเข้า

โหลวจวินเหยาได้รับสารจากลูกน้องเมื่อตอนยังอยู่ที่โรงเตี๊ยมและจากไปก่อน เยี่ยนซีโหรวและคนอื่น ๆ จึงกล้าเอ่ยถาม กลิ่นอายของบุรุษผู้นั้นน่าเกรงขามเกินไป แค่อยู่ใกล้ก็หายใจลำบากแล้ว

หลังจากเพิ่งตื่นจากฝัน ทุกคนกลับไม่รับรู้เลยว่าเมื่อคืนพวกตนตกอยู่ในอันตรายอย่างไร คิดเพียงว่าพวกตนเพียงฝันร้ายเท่านั้น

ใกล้หุบเขาที่ตั้งสำนักละอองหมอก มีการติดตั้งเกราะไว้หลายชั้นเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันอย่างเรื่องที่แปดปีศาจแดนสีเลือดมาสร้างปัญหาเมื่อการประลองภายในคราก่อน

ทว่าวันนี้จะไม่มีใครกล้ามาสร้างปัญหา กระทั่งหุบเขาไร้กังวลที่บาดหมางกับสำนักละอองหมอกมาตลอดก็ยังไม่มา อีกทั้งยังไร้เงาคนมาแย่งตัวศิษย์เช่นกาลก่อน

นั่นก็เป็นเพราะการทดสอบในปีนี้ประกาศว่าศิษย์ลำดับที่ 5 แห่งสำนักละอองหมอก ผู้ที่สร้างบันทึกเอาชนะคน 300 คนติดต่อกัน ซู่หลีม่อ ได้เป็นหนึ่งในผู้ดูแลการประลองนั่นเอง

เขาเป็นเจ้าบ้าคนหนึ่งที่มีพลังบำเพ็ญสูงส่ง ใครจะกล้ารนหาที่ตายไปหาเรื่องเขาถึงถิ่นกัน? นายท่านผู้นี้ชื่นชอบการต่อสู้เป็นที่สุด หากมีใครกล้าท้าเขาประลองเขาก็จะยิ้มรับไม่ลังเล

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือข่าวที่บอกว่าศิษย์ลำดับที่ 1 ผู้เก่งกาจมากฝีมือที่สุด ตำนานประจำสำนักละอองหมอก ผู้ก่อตั้งภาควิชาพิเศษ เฟิ่งเทียนเหิง ที่ออกเดินทางไปบำเพ็ญตน ณ แดนระดับสูงมานานหลายปีได้กลับมาแล้ว

ศิษย์สำนักทั้งหลายต่างยกตำนานนี้ไว้ในใจด้วยความเคารพยิ่ง ตามที่ศิษย์ที่อยู่ในสำนักมานานเจ็ดแปดปีเล่าขาน พวกเขาเคยเห็นเพียงซู่หลีม่อเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ไม่เคยเห็นศิษย์ 5 อันดับแรกมาก่อน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงคนลำดับแรก

ดังนั้นเมื่อข่าวแพร่ออกไป ศิษย์สำนักทั้งหลายก็พากันโห่ร้องยินดี ในใจตื่นเต้นตั้งหน้าตั้งตาคอย ทำให้คนที่คิดสร้างปัญหายั้งมือ ไร้ทางเลือกอื่น กลับไปประมาณกำลังตน

“เฮ้อ ข้าไม่เคยเห็นเจ้าพวกนี้ตื่นเต้นยินดีเลยเวลาข้ากลับมา พี่ใหญ่ของเรานี่มีชื่อเสียงอย่างที่คิด”

ซู่หลีม่ออยู่ในชุดสีดำดูสง่าเช่นเคย มาพร้อมกับดาบเก่าที่ถือไว้ที่อก เมื่อเห็นศิษย์ทั้งหลายเดินผ่านไป ในนัยน์ตาฉายแววตื่นเต้น ก็บ่นออกมา

ลั่วหลานจือด้านข้างหัวเราะออกมา ใบหน้าหล่อเหลาอ่อนโยนของเขา ยามยิ้มยิ่งน่ามอง “เจ้าอิจฉาที่พวกเขาไม่ต้อนรับเจ้าแบบเดียวกันงั้นหรือ?”

ซู่หลีม่อเหยียดริมฝีปาก “ข้าไม่สนเรื่องนั้นหรอก เพียงแต่กังวลว่าพวกเขาจะดีใจเปล่า ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่จะกลับมาจริงหรือเปล่าด้วยซ้ำ? อาจเป็นเพียงข่าวลือไร้มูล เพราะข้าเองก็ไม่เห็นหน้าเขามาหลายปีแล้ว”

ลั่วหลานจือเลิกคิ้ว “ท่านเจ้าสำนักเป็นคนบอกเอง ข้าไม่คิดว่าจะเป็นข่าวปลอมหรอก เป็นไปได้ว่าเจ้านั่นเบื่อจะอยู่ข้างนอก คงอยากกลับสำนักมาเลือกหน่ออ่อนไปสั่งสอนกระมัง แต่ภาควิชาพิเศษ มีศิษย์เพียงสิบเอ็ดคน จำนวนน้อยไปสักหน่อย”

ซู่หลีม่อส่ายหน้า “เขาช่างเลือกมากจนข้าว่าคงไม่มีใครรอบนี้พอใจเขาหรอก”

“อ้อ? ได้ยินว่าเจ้าเจอเด็กหน่วยก้านดีคนหนึ่งที่ป่าโคลนสาบสูญหรือ?” ลั่วหลานจือ พลันเอ่ยถาม

“หน่วยก้านดี ไม่เพียงมีฝีมือ แต่ดูจะเก่งกาจวิชาแพทย์ด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพี่ใหญ่จะเห็นว่าเขาดีเช่นกัน” ซู่หลีม่อส่ายหน้าอีกครา “อีกทั้งผู้อาวุโสจินลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะเอาเขาเข้าภาควิชานักปรุงยาให้ได้ ดังนั้นหากเจ้าเด็กนั่นมาเมื่อไร ผู้อาวุโสจินก็ง้างกรงเล็บรอกระโจนใส่แล้ว”

ผู้อาวุโสจินก็เป็นหนึ่งในผู้ดูแลเช่นกัน

“ปัญหาคือพวกเจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะเข้าสำนักละอองหมอก?” ลั่วหลานจือถามขึ้น

ซู่หลีม่อชะงักไป ดูท่าจะไม่ได้นึกถึงจุดนี้เลย

วันนี้ก็เป็นวันที่สำนักไร้สิ้นสุดและหุบเขาไร้กังวลเปิดรับศิษย์เช่นกัน

เมื่อเดินทางมาถึงยอดเขาที่ตั้งสำนักละอองหมอก ก็เห็นว่ามีคนเดินผ่านไปมาอยู่ที่หน้าประตูแล้ว ศิษย์ใหม่ทั้งหลายได้รับป้ายหมายเลข และจะเข้าไปทดสอบพรสวรรค์ได้ครั้งละสิบคนเท่านั้น

ความลึกลับของสำนักละอองหมอกเป็นที่เลื่องชื่อลือนามนัก หากไม่มีศิษย์สำนักออกมาเดินนำทาง ก็ไม่อาจมีใครเข้าไปด้านในได้ หาทางเข้าสำนักยังไม่เจอด้วยซ้ำ

เป็นตอนนั้นเองที่คนทั้งหมดพากันหยุดอยู่ที่หน้าน้ำตกขนาดใหญ่ที่กระแสน้ำไหลเชี่ยวกราก หน้าตาดูมึนงงอยู่บ้าง เพราะตรงหน้าเห็นเพียงน้ำตก แล้วทางเข้าเล่า?

ชิงอวี่และคนอื่น ๆ ได้รับป้ายหมายเลขแล้ว ป้ายถูกแจกแบบสุ่ม ดังนั้นแต่ละคนจึงได้หมายเลขไม่เรียงกัน

หมิงอีอีได้รับหมายเลขรั้งท้าย เมื่อเดินมาข้างชิงอวี่ก็มองเห็นหมายเลขของอีกฝ่าย นับว่าอยู่กลุ่มเดียวกับนาง

นางเม้มปากยิ้ม “ดูท่าเราจะได้เข้าไปด้วยกัน”

ชิงอวี่จึงเหลือบมองหมายเลขของหมิงอีอีแล้วส่งยิ้มให้

ส่วนเยี่ยนซีอู่ หลังรับป้ายหมายเลขมาแล้วก็กลับมารวมกลุ่ม แต่สีหน้านางราวกับฟ้าจะถล่มเสียให้ได้

เยี่ยนซีโหรวถามด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรไป?”

คนอื่น ๆ เองก็หันมามองนางกับเยี่ยนซีอู่ด้วยความสงสัย นางทำเพียงชูมือสั่นเทาขึ้น แสดงป้ายหมายเลขในมือ เห็นได้เด่นชัดว่าคือหมายเลข 3

ทุกคนในกลุ่มเม้มปากทันที นางจะได้เป็นคนกลุ่มแรกที่ได้เข้าไปเช่นนี้ โชคของนางช่างดีเสียจริง

เชิงอรรถ

[1] ขนมฝูหรง(芙蓉) มีลักษณะและสีสันคล้ายดอกบัว จึงมีชื่อว่าขนมฝูหรง หรือขนมดอกบัว มีรสชาติหอมหวาน เนื้อนุ่ม

———————————————————————-