บทที่ 165 ตกลงขาย

บทที่ 165 ตกลงขาย

การเสนอราคาของผลงานส่งแขกกลับยังคงเพิ่มขึ้น เพียงแต่เมื่อแตะระดับเจ็ดสิบล้าน กลับเหลือเพียงสี่หรือห้าคนที่ยังคงไปต่อ ส่วนคนอื่นที่เหลือต่างยอมแพ้ ในบรรดาสี่ถึงห้าคนที่กล่าวถึงมีผู้เฒ่าฟางรวมอยู่ด้วย

“เจ็ดสิบสามล้าน!” ผู้เฒ่าฟางเสนอราคาอีกครั้ง

“เจ็ดสิบสี่ล้าน!” ทันทีที่สิ้นเสียงของผู้เฒ่าฟาง อีกคนหนึ่งก็เอ่ยปากเสนอราคาออกมา

“เจ็ดสิบสี่ล้านห้าแสน!” อีกคนหนึ่งเอ่ยปากเสนอราคาดังขึ้น มูลค่าที่เสนอเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ราวกับเขากำลังใกล้จะถึงขีดจำกัดที่สามารถรับได้ไหวแล้ว

“เจ็ดสิบหกล้าน!” ผู้เฒ่าฟางเอ่ยคำขึ้น

“เจ็ดสิบเจ็ดล้าน!”

“แปดสิบล้าน!” ผู้เฒ่าฟางเอ่ยคำขึ้นต่อเนื่อง “หากมีใครเสนอราคามากกว่านี้ ฉันก็ขอยอมแพ้แล้ว!”

ความเงียบงันเกิดขึ้นชั่วขณะ เพียงแต่ความเงียบนั้นดำรงอยู่ไม่นาน อีกเสียงหนึ่งก็ดังปรากฏขึ้น

“แปดสิบล้านห้าแสน!”

ความเงียบดำเนินอีกครั้ง ผู้เฒ่าฟางมองอีกฝ่าย ก่อนจะหันศีรษะกลับ และมองยังภาพคัดลายมือบนเวที สุดท้ายจึงเอนกายกับพนักพิง หลับตาลงเล็กน้อย

ผู้เฒ่าฟางยอมแพ้แล้ว!

เขารักษาคำพูด แม้อีกฝ่ายจะเสนอราคาเพิ่มมากกว่าเพียงห้าแสน แต่เขาก็ไม่มีเจตนาเสนอราคาเพิ่มขึ้นอีก ราวกับราคาที่เขาตั้งใจเอาไว้คือแปดสิบล้าน แม้เพิ่มอีกเล็กน้อย หากว่าไม่ก็คือไม่

“แปดสิบล้านห้าแสนครั้งที่หนึ่ง!” พิธีกรเอ่ยคำขึ้นอีกครั้งหนึ่ง “มีท่านใดจะเสนอราคาสูงกว่านี้ไหมครับ? ผลงานนี้คือผลงานชิ้นเอกของหลี่ซูจือ มันอาจไม่ปรากฏให้เห็นในงานประมูลไปอีกหลายปี แต่ไม่ว่าด้วยอะไร ผลงานชิ้นนี้คือผลงานชิ้นเอกของเขา ถึงเวลานั้นแม้มีเงินทองมากมายก็อาจไม่สามารถซื้อหาได้ พลาดโอกาสวันนี้ กว่าจะได้ผลงานชิ้นเอกเช่นนี้ไปครอบครองประดับชุดสะสม ก็ไม่ทราบว่าต้องรออีกนานเพียงใด ซื้อวันนี้จึงได้รับ พลาดแล้วจึงเสียใจนะครับ!”

คำกระตุ้นของพิธีการ จึงมีอีกคนหนึ่งเอ่ยปากเสนอราคาดังขึ้น

“แปดสิบเอ็ดล้าน!”

“แปดสิบเอ็ดล้านห้าแสน!”

“แปดสิบสองล้าน!”

ครั้งนี้มันเงียบงันไปชั่วระยะหนึ่ง แต่แล้วก็ยังมีอีกคนหนึ่งที่เอ่ยคำขึ้นอีกครั้ง

“แปดสิบห้าล้าน!”

เสียงอุทานฮือฮาดังปรากฏขึ้น อีกฝ่ายไม่เพียงเสนอราคาอีกครั้ง แต่ขณะนี้เสนอเพิ่มราคารวดเดียวถึงสามล้าน พร้อมกับท่าทีดูมั่นใจ

“แปดสิบห้าล้านครั้งที่หนึ่ง!” พิธีกรกำลังร่วมตื่นเต้น น้ำเสียงนั้นค่อนข้างดังฟังชัด “มีท่านใดเสนอราคาสูงกว่านี้ไหมครับ? ผลงานนี้ควรค่าแก่เงินที่ต้องทุ่มเทอย่างแน่นอน ตอนนี้ยังมีโอกาสนะครับ!”

เพียงแต่ไม่ว่าพิธีกรจะพูดกระตุ้นปลุกเร้าเพียงใด ครั้งนี้กลับไม่มีการเสนอราคาขึ้นอีก

“แปดสิบห้าล้านครั้งที่สอง!”

ยังคงเงียบงัน

“แปดสิบห้าล้านครั้งที่สาม!” พิธีกรดำเนินงานประมูลยกค้อนขึ้นในมือพร้อมกับทุบมันลงอย่างแรง

“ขายครับ!”

หลังได้ยินคำนี้ดังขึ้น หลายคนจึงผ่อนลมหายใจออกมา บุคคลที่เสนอราคาคนสุดท้ายนั้น เห็นว่าไม่มีใครแข่งขันด้วยแล้ว ขณะนี้จึงลุกขึ้นยืนเผยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับประสานมือส่งให้กลุ่มคนพร้อมกล่าวคำ “ขอบคุณทุกท่านที่รักและห่วงใย ขอบคุณ”

“ยินดีด้วย ยินดีด้วย!”

เสียงแสดงความยินดีจากทั่วทิศดังขึ้นไม่ขาด

อู๋ฝานก็หายใจได้ทั่วท้องเช่นเดียวกัน แต่ท้ายที่สุดแล้ว หัวใจของเขายังคงเต้นรัว สีหน้าแดงก่ำด้วยอาการยินดีทั้งเลือดลมสูบฉีดทั่วร่าง เพราะจนกระทั่งค้อนไม้เคาะขายดังขึ้น เขาจึงสามารถโล่งใจได้อย่างแท้จริง

ตกลงขายแล้ว!

แปดสิบห้าล้าน!

สำหรับอู๋ฝาน มันเป็นจำนวนประหนึ่งสวรรค์เสกให้ก็ไม่ผิด

ปัญหาเงินทุนซื้อร้านคลี่คลายลงแล้ว! อาชีพของเขากำลังจะก้าวไปถึงจุดใหม่

“ยินดีด้วย” หวังจื่อหมิงหันกลับมองอู๋ฝาน พร้อมเผยรอยยิ้ม

“เช่นกันครับ เช่นกัน” อู๋ฝานตอบรับ

คนทั้งสองยิ้มแย้มให้กัน กล่าวได้ว่าวันนี้พวกเขาทั้งสองถือเป็นผู้ชนะอันยิ่งใหญ่ที่สุดในค่ำคืน

ผลงานที่ซื้อมาเพียงหนึ่งแสนหกหมื่นหยวน ถูกขายออกได้ราคาแปดสิบห้าล้าน กระทั่งเจ้าของเงินเช่นหวังจื่อหมิงยังต้องรู้สึกทึ่งแล้วทึ่งอีก

งานประมูลสิ้นสุดลงเรียบร้อย แต่ยังไม่มีใครเดินทางกลับ พวกเขาอยู่ต่อเพื่อเข้าร่วมปาร์ตี้ไวน์ที่จัดโดยโรงประมูล มันถือเป็นโปรแกรมพิเศษที่ทุกคนต่างทราบ

แน่นอนว่าบรรดาผู้ที่ทำการประมูลสำเร็จก่อนหน้านี้ จำเป็นต้องไปสะสางการชำระเงินให้เรียบร้อยเสียก่อน

อู๋ฝานและหวังจื่อหมิงไม่ได้ซื้อหาสิ่งใด ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปจ่ายเงิน สุดท้ายจึงมุ่งตรงเข้าโถงจัดเลี้ยงไปก่อนใคร

“สหายน้อยอู๋ฝาน งานประมูลที่ผ่านมา ทำไมถึงไม่เสนอราคาอะไรเลยกันล่ะ? หรือไม่มีอะไรที่น่าสนใจกัน?” ผู้เฒ่าฟางพบเห็นอู๋ฝานจึงเดินเข้ามาทักทายพูดคุย

“ผมเพียงแค่มาเข้าร่วมหาความสนุกครับ ไม่ได้ตั้งใจมาซื้ออะไร” อู๋ฝานยิ้มตอบรับ “เว้นแต่จะบังเอิญได้เจอของน่าสนใจหลุดรอดเข้ามา นั่นก็อีกเรื่องหนึ่งครับ”

“ของน่าสนใจหลุดรอดในงานประมูลงั้นเหรอ? ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” ผู้เฒ่าฟางตอบรับ

“ไม่ง่ายเหรอครับ?” อู๋ฝานและหวังจื่อหมิงต่างมองหน้ากัน เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยคำใดตอบ

พวกเขาคือหนึ่งในผู้ได้ของหลุดรอดชิ้นใหญ่อย่างหาได้ยากยิ่ง!

อู๋ฝานแนะนำผู้เฒ่าฟางและหวังจื่อหมิงให้กันและกันทราบ แต่จริง ๆ แล้วชายหนุ่มเองก็ไม่ได้ทราบเรื่องราวอะไรของคนทั้งสองมากนัก โดยเฉพาะกับผู้เฒ่าฟาง ตนทราบเพียงสกุลของอีกฝ่าย เพราะมาจากเมืองหลวง ดังนั้นรายละเอียดของชายชราจึงค่อนข้างคลุมเครือ

“ลูกชายคนโตตระกูลหวัง ฉันเคยได้ยินเรื่องของเธอมาก่อน” ผู้เฒ่าฟางมองหวังจื่อหมิงพร้อมเผยรอยยิ้ม “คนหนุ่มนี่ดีกันจริง ๆ เลยนะ”

“คำนับผู้อาวุโสฟางครับ” หวังจื่อหมิงถ่อมตัวกล่าวคำทักทาย

แม้หวังจื่อหมิงไม่ทราบตัวตนและพื้นเพของผู้เฒ่าฟาง แต่เขารู้สึกได้จากออร่าอันโดดเด่นจากร่างกายอีกฝ่าย ผู้เฒ่าฟางตรงหน้าคนนี้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

เมื่อทราบว่าอีกฝ่ายมาจากเมืองหลวง หวังจื่อหมิงจึงเกิดข้อสันนิษฐานขึ้นภายในใจประมาณหนึ่ง

หรือว่าบางที

คิดได้ดังนั้น หวังจื่อหมิงจึงยิ่งนึกนับถือตัวตนของผู้เฒ่าฟางมากยิ่งขึ้น

“จะว่าไปแล้ว ปู่ฟางครับ ปู่ดูจะชื่นชอบผลงานส่งแขกกลับมากเลยทีเดียว” อู๋ฝานไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับผู้เฒ่าฟาง คิดเพียงว่าอีกฝ่ายจะต้องไม่ใช่คนธรรมดา ส่วนเพราะอะไรไม่ใช่คนธรรมดานั้น ตัวเขาไม่ทราบ

“ใช่แล้วล่ะ” กล่าวถึงผลงานส่งแขกกลับ ผู้เฒ่าฟางเผยสีหน้านึกเสียดายออกมา “ฉันชอบผลงานชิ้นนั้นนะ แต่ราคาแปดสิบห้าล้านออกจะมากเกินไป เกินกว่าราคาที่ตั้งใจเอาไว้พอสมควร ดังนั้นจึงต้องยอมแพ้”

ผู้เฒ่าฟางไม่ใช่ว่าไม่มีเงิน เพียงแต่เขามีราคาในใจอยู่แล้ว เมื่อใดเกินกว่านั้น ต่อให้เพิ่มอีกเพียงแค่ครึ่งล้าน เขาก็ไม่ลังเลที่จะเลือกปล่อยวาง

“ผลงานชิ้นนั้นเป็นสมบัติที่หาได้ยากจริง ๆ ฉันมักจะสะสมภาพคัดลายมือ ตอนที่ได้เห็นก็ตื่นเต้นดีใจไม่น้อยเลยล่ะ แต่ครั้งนี้พลาดไป ไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะได้พบมันอีกเมื่อไหร่” ผู้เฒ่าฟางกล่าวตอบ “เพียงแต่ของสะสมก็คือของสะสม ไม่ใช่ว่าต้องบีบเค้นไขว่คว้ามา หาไม่แล้วก็คงผิดกับหลักการดั้งเดิม”

อู๋ฝานพยักหน้ารับเห็นพ้อง ของสะสมคือของสะสม ถ้าฝืนจนเกินไป ถึงเวลานั้นตอนนึกชื่นชมมัน ก็อาจจะไม่งดงามดังเช่นที่เคยเป็นอีก

ตอนนี้เองที่บรรดาผู้ไปชำระเงินต่างกลับเข้ามาคนแล้วคนเล่า ภายในห้องโถงจึงเริ่มคึกคักมากขึ้น หลายคนต่างเร่งรุดเข้าหากันแสดงความยินดีแก่คนที่พวกตนรู้จัก

“ต้องขออภัยนายน้อยหวังด้วยนะครับ ที่ผมบังเอิญซื้อผลงานที่คุณต้องการมาซะแล้ว” เจียงอวี่มุ่งตรงมาหาอู๋ฝานและคณะ พร้อมกับบอกหวังจื่อหมิงด้วยสีหน้าภูมิอกภูมิใจ

ส่วนอู๋ฝานที่อยู่ข้างหวังจื่อหมิง เขาเมินเฉยมองอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ล่องหนคนหนึ่ง