ตอนที่ 167 งานแต่งของอวิ๋นเกอ

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 167 งานแต่งของอวิ๋นเกอ

ลูกพี่ลูกน้องเซิ่นซูเหวินถือของขวัญมาเยือนถึงจวน

หลายวันก่อน เขาได้รับการชื่นชมจากอาจารย์หยูท่านหนึ่ง ทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังยิ่งขึ้น

เมื่อเอ่ยถึงผู้มีความสามารถในสำนักไท่เสวีย เขาย่อมมีชื่อบนกระดาน

เมื่อคนประสบกับเรื่องน่ายินดีจึงมีความกระปรี้กระเปร่า เซิ่นซูเหวินอยากจะแบ่งปันความน่ายินดีนี้กับผู้คน อีกทั้งยังต้องการรายงานสถานการณ์การศึกษาในระยะอันใกล้นี้ต่อเซียวฮูหยินผู้เป็นป้า

เขาได้รับการสนับสนุนจากเซียวฮูหยินผู้เป็นป้า จึงสมควรไปมาหาสู่กัน รายงานสถานการณ์เป็นประจำ

มันเป็นธรรมเนียม!

เมื่อเซียวฮูหยินเห็นเขามาก็ดีใจอย่างมาก

“คนมาก็พอแล้ว นำของขวัญใดมากัน”

“ของขวัญชิ้นน้อย หวังว่าท่านป้าจะไม่รังเกียจ”

“เจ้าเกรงใจเกินไปแล้ว!”

เซียวฮูหยินดีใจ นางยิ่งมองเซิ่นซูเหวินยิ่งชื่นชอบ

เยียนอวิ๋นเกอเข้าประตูมาก็ซักถาม “ท่านแม่ ข้าให้ห้องครัวจัดเตรียมอาหาร ไม่รู้ท่านพี่กินอาหารทะเลหรือไม่ วันนี้มีปลาตัวหนึ่งหนักสามจิน เนื้อปลาสามารถนำมาผัด ส่วนหัวปลานำมาทำน้ำแกงได้”

เซิ่นซูเหวินรีบลุกขึ้น “น้องอวิ๋นเกอเหนื่อยแล้ว ไม่ต้องจัดเตรียมอาหารเป็นการเฉพาะ ผัดผักสองสามอย่างก็เพียงพอ”

เยียนอวิ๋นเกอเม้มปากยิ้ม “พี่เซิ่นนานๆ มาที จะกินแค่ผัดผักสองสามอย่างได้อย่างไร หากข่าวแพร่ออกไป คนอื่นอาจคิดว่าจวนท่านหญิงของพวกเรายากจน แขกมาเยือนถึงจวน แม้แต่อาหารเพียงโต๊ะเดียวก็เตรียมไม่ได้ ทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะเสียเปล่า พี่เซิ่นอย่าได้เกรงใจ ท่านเพียงแต่บอกข้า ท่านกินอาหารทะเลหรือไม่”

เซิ่นซูเหวินพยักหน้า “กิน ตอนอยู่จวนก็กินอาหารทะเลในบางเวลา เพียงแค่พ่อครัวในจวนปรุงไม่ถูกวิธี ทำให้วัตถุดิบชั้นดีเสียเปล่าหมด”

เยียนอวิ๋นเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “วันนี้พี่เซิ่นมีลาภปากแล้ว แม่ครัวของจวนท่านหญิงมีฝีมือที่ดีเลิศ รับรองว่าท่านกินแล้วยังต้องอยากกินอีก”

เซียวฮูหยินหัวเราะร่า “ซูเหวิน เจ้าอย่าฟังคำโอ้อวดของนาง ในจวนนี้ มีแต่นางที่เชี่ยวชาญในการทำปลา ปลาในทะเลสาบล้วนถูกนางจับขึ้นมาหมดแล้ว เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ ข้ายังต้องให้พ่อบ้านไปซื้อพันธุ์ปลากลับมาปล่อยลงในทะเลสาบ มิฉะนั้น เมื่อรอถึงฤดูร้อนปีหน้าก็คงไม่มีปลากินแล้ว”

เซิ่นซูเหวินหัวเราะตาม “น้องอวิ๋นเกอมีความสามารถเสียจริง ไม่เพียงเชี่ยวชาญในการทำอาหารทะเล ยังเชี่ยวชาญในการตกปลา พอดีข้าก็ชอบตกปลา ตอนอยู่ในจวน ทุกครั้งที่อ่านตำราจนเหนื่อย ข้ามักจะหยิบไม้ตกปลาออกจากจวนไปตกปลา ถือว่าเป็นการพักผ่อน วันอื่นหากมีเวลาว่าง พวกเรามาประลองกัน ดูว่าฝีมือการตกปลาของผู้ใดจะร้ายกาจกว่า”

“เหตุใดต้องวันอื่น วันนี้ย่อมได้ หากท่านพี่ไม่มีเรื่องสำคัญ หลังจากกินมื้อเที่ยงแล้ว ท่านตามข้าไปยังศาลาริมทะเลสาบ พวกเราประลองกันสักรอบ”

“ได้!”

เซิ่นซูเหวินตอบรับอย่างดีใจ

เซียวฮูหยินร่วมสนุก “ซูเหวิน เจ้าอย่าออมมือให้นาง ทำให้นางเห็นว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน นางคิดว่าตนเองตกปลาเป็น ไม่เพียงตกปลาในทะเลสาบในจวนจนหมดเกลี้ยง ยังไปตกปลาในจวนขององค์ชายสองด้วย”

เยียนอวิ๋นเกอแก้ต่างให้ตนเอง “ท่านแม่เข้าใจข้าผิดแล้ว ปลาในทะเลสาบไม่อาจเลี้ยงได้ตลอดไป ระวังมันจะกลายเป็นปีศาจ เมื่อถึงเวลาต้องจัดการรีบกินเสีย ข้าไปจวนของพี่สองก็เพื่อจัดการปัญหาเรื่องนี้ พี่สองดีใจอย่างมาก อีกทั้งยังจะมอบของขวัญตอบแทนข้า”

เซียวฮูหยินไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “จะพูดอย่างไรเจ้าก็มีเหตุผล เจ้าล้างผลาญปลาในทะเลสาบให้เต็มที่เสียเถิด”

เยียนอวิ๋นเกอถามเซิ่นซูเหวินด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่เซิ่นกินพริกหรือไม่”

เซิ่นซูเหวินรีบพูด “เมื่อมาถึงเมืองหลวง ข้าได้ลองพริกเป็นคราแรกก็รู้สึกแสบร้อนไม่น้อย เดิมทีคิดว่าตนเองรับรสชาติเผ็ดร้อนเพียงนั้นไม่ไหว ไม่คิดว่ายิ่งกินยิ่งติดใจ”

เยียนอวิ๋นเกอได้ยินจึงดีใจอย่างมาก “ท่านพี่เซิ่นรู้หรือไม่ว่าผู้ใดผลักดันพริกให้แพร่หลาย ผู้ใดให้เมล็ดพันธุ์”

เอ๊ะ?

เซิ่นซูเหวินพูด “ข้าขอเดา สาเหตุที่พริกได้รับความนิยมในเมืองหลวงเป็นความชอบของน้องอวิ๋นเกอ?”

“ใช่แล้ว! พริกสามารถแพร่หลายในภัตตาคารต่างๆ ในเมืองหลวง ข้ามีความดีความชอบอย่างมาก”

เริ่มแรก คนในเมืองหลวงได้ลิ้มลองรสชาติของพริกจากร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ย

เพียงแต่ร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นสามัญชนและพ่อค้า ไม่อาจเข้าถึงสังคมชนชั้นสูงในเมืองหลวง

ภัตตาคารต่างๆ ในเมืองหลวงยังไม่รู้จักเครื่องปรุงอย่างพริกในเวลานั้น อีกทั้งยังมีบางคนเห็นพริกเป็นของแปลก

จนกระทั่งภัตตาคารหนานเป่ยนำเสนออาหารรูปแบบใหม่ที่หลากหลายออกมา

ย่อมต้องมีคนบางส่วนชอบกินอาหารรสจัด

อีกทั้งการกินอาหารเผ็ดในฤดูหนาวทำให้ร่างกายอบอุ่น

เมื่อหนึ่งคนถ่ายทอดไปให้สิบคน สิบคนถ่ายทอดไปให้ร้อยคน เมื่อเวลาผ่านไปนาน อาหารหลากหลายรูปแบบของภัตตาคารหนานเป่ยถูกแพร่กระจายออกไป พริกก็ถึงเวลาเข้าสู่สายตาของทุกคน

ภัตตาคารต่างๆ ในเมืองหลวงมีสัมผัสที่ว่องไว พวกเขาเริ่มทดลองยอมรับพริกเข้ามาสร้างอาหารรูปแบบใหม่

เวลาไม่ถึงหนึ่งปี พริกก็กลายเป็นเครื่องปรุงจำเป็น หรือกลายเป็นอาหารจานหนึ่งสำหรับแต่ละภัตตาคาร

“น้องอวิ๋นเกอมีความสามารถเสียจริง สามารถทำในเรื่องที่ผู้อื่นทำไม่ได้ เป็นสตรีที่ไม่แพ้บุรุษแม้แต่น้อย”

เซิ่นซูเหวินยินดีอย่างมาก

เยียนอวิ๋นเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อท่านพี่เซิ่นกินเผ็ดได้ อีกทั้งยังชื่นชอบในรสเผ็ด วันนี้ข้าจะทำปลารสเผ็ด”

เซียวฮูหยินรีบตักเตือน “อย่าใส่พริกมากเกินไป”

เยียนอวิ๋นเกอรับปาก

เซิ่นซูเหวินพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่าทางวันนี้ข้าจะมีลาภปากแล้ว ช่างโชคดีเสียจริง น้องอวิ๋นเกอต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่”

เยียนอวิ๋นเกอโบกมือ “ไม่ต้องให้ท่านช่วย อาหารย่อมมีแม่ครัวจัดการ”

เซียวฮูหยินก็กล่าวขึ้น “ซูเหวิน เจ้าไม่ต้องกังวลอวิ๋นเกอ นางจะจัดการทุกอย่างอย่างดี”

มื้อกลางวัน เซิ่นซูเหวินได้ลิ้มลองฝีมือการทำอาหารของเยียนอวิ๋นเกอเป็นครั้งแรก

เขารู้สึกหิวมากขึ้นมาอย่างกะทันหัน ท้องของเขาว่างเปล่าจนสามารถกินข้าวสวยได้ห้าชาม อีกทั้งยังไม่เรอออกมา

กินอย่างตั้งใจจนไม่มีเวลาพูด

อร่อยหรือ

อืม!

พยักหน้าระรัว!

น่าอายเสียจริง กินจนไม่สนใจภาพลักษณ์ ทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะ

เซียวฮูหยินหัวเราะร่า “ฝีมือการทำปลาของอวิ๋นเกอดีมาก คนที่เคยกินล้วนบอกว่าอร่อย ต่อจากนี้หากมีโอกาส ให้นางนึ่งปลาให้กิน รสชาติก็ดีไม่น้อย แต่ว่าหากอยากกินปลาที่อวิ๋นเกอทำก็ต้องดูโชคชะตา มีเพียงเวลาที่นางอยากกิน นางจึงจะยอมเข้าครัว ใช้ความสามารถแบบเต็มที่”

เยียนอวิ๋นเกอพูดต่อจากเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดา “ทำปลาคราหนึ่งสามารถบรรเทาความอยากทางอาหารได้ระยะหนึ่ง วันนี้กินปลาแล้ว ก่อนปีใหม่ข้าก็ไม่อยากกินอีก”

นางชื่นชอบในการกิน แต่นางไม่ตะกละ

ชอบกินก็ไม่อาจกินอาหารชนิดเดียวติดต่อกันทุกวัน มันจะเบื่อหน่าย

เมื่อเบื่อหน่ายแล้ว นับจากนี้ชีวิตก็จะขาดอาหารเลิศรสไปชนิดหนึ่ง น่าเสียดาย

ดังนั้น แม้เยียนอวิ๋นเกอจะชื่นชอบการกิน แต่นางก็สามารถควบคุมความพอดีเอาไว้ได้

เซิ่นซูเหวินถาม “น้องอวิ๋นเกอมีการศึกษาด้านการดูแลสุขภาพด้วยหรือ”

เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้า “ไม่ได้ตั้งใจศึกษา เพียงแค่เป็นเรื่องสมดุลระหว่างหยินหยางตามที่บรรพบุรุษเคยกล่าวไว้ ซึ่งหมายความว่าไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องมีความพอดี เหตุผลนี้สามารถใช้ได้กับการกิน ไม่ว่าอาหารชนิดใดก็ต้องมีความพอดี ไม่อาจกินมากเกินไปเพราะความชอบ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องห้ามปากของตนเอง อยากกินก็กินเล็กน้อย ไม่อยากกินก็ไม่ต้องบังคับตนเอง”

เซิ่นซูเหวินเอ่ยขึ้น “เมื่อเทียบกับน้องอวิ๋นเกอ เสียดายที่ข้าโตกว่าหลายปี อาหารเลิศรส ข้าก็กินอย่างเต็มที่ ไม่มีการจำกัด ช่างน่าอาย”

เยียนอวิ๋นเกอเม้มปากยิ้ม “ท่านพี่เซิ่นไม่ต้องอับอาย เพราะวันอื่นท่านได้กินเนื้อน้อย ดังนั้นจึงห้ามใจไม่ได้เพียงชั่วขณะ เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ พวกเราเป็นญาติกัน ท่านย่อมกินได้อย่างไม่ต้องสนใจภาพลักษณ์”

เซียวฮูหยินก็เอ่ยขึ้น “ซูเหวิน เจ้าอย่าประหยัดเรื่องอาหารมากนัก หากบนตัวไม่มีเงิน เจ้าเพียงแค่บอกข้า เจ้าอย่ารู้สึกมีภาระเพราะเรื่องเงิน ในอนาคตหากเจ้ามีโอกาสรับราชการ เมื่อถึงเวลาอวิ๋นเกออาจต้องให้เจ้าช่วยดูแล”

เซิ่นซูเหวินลุกขึ้นคารวะ “ขอบพระคุณท่านป้า ขอบใจน้องอวิ๋นเกอ! ไม่มีการสนับสนุนจากพวกท่าน หนทางแห่งการศึกษาในเมืองหลวงของข้าคงไม่ราบรื่นเพียงนี้ ในอนาคตหากข้าเจริญก้าวหน้า ย่อมต้องตอบแทนพวกท่าน”

เซียวฮูหยินพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอบแทนหรือไม่ค่อยว่ากันวันหลัง นานทีเจ้าจะมาเยือนถึงจวน บทกวีของเจ้ายังได้รับการชื่นชมจากอาจารย์หยูอีก วันนี้เจ้ากินให้มาก ถือว่าเฉลิมฉลอง เจ้าไม่ต้องเกรงใจ หรืออับอาย พวกเราเป็นญาติกัน ไม่มีผู้ใดสนใจ ยิ่งไม่มีผู้ใดจะออกไปพูดจาเหลวไหล”

เซิ่นซูเหวินคล้อยตามด้วยการกินอย่างเปิดเผยขึ้นมาเล็กน้อย

หลังจากมื้ออาหาร เขามุ่งหน้าไปตกปลายังศาลาริมทะเลสาบตามนัด

ฤดูหนาว ลมหนาวพัดผ่าน ทำให้ใบหน้าเจ็บแสบอย่างมาก

อาเป่ยมีประสบการณ์มาก่อน

นางใช้ฉากกั้นล้อมศาลาเล็กเอาไว้ ปิดกั้นลมหนาว

ภายในศาลามีเตาอั้งโล่สองใบ อบอุ่นอย่างมาก

อีกด้านของฉากกั้นเป็นทะเลสาบ บนฉากกั้นมีสองรูสำหรับสังเกตสถานการณ์ของทุ่นตกปลา

เก้าอี้ไม้ที่ยกมาโดยเฉพาะปูวางด้วยเบาะรองหนา อบอุ่นอย่างมาก

นอกจากนี้ยังมีเตรียมเตาอุ่นมือทองเหลืองไว้อุ่นมือ

อีกทั้งยังจัดเตรียมชาร้อนและของว่าง

การตกปลาในวันนี้ถือว่าเป็นการบริการอย่างดีแน่นอน

ในมือของเซิ่นซูเหวินถือตำราเล่มหนึ่ง คราวนี้เขาไม่มีสมาธิอ่าน

เมื่อเห็นการจัดเตรียมภายในศาลาเล็ก เขาก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ตกปลาวันนี้ช่างเป็นการดื่มด่ำเสียจริง ทำให้ข้าอดนึกถึงช่วงเวลาที่อยู่ในจวนขึ้นมาไม่ได้ เมื่อเหนื่อยจากการอ่านตำราในฤดูหนาว ออกจากจวนไปตกปลา แอบอยู่ในบริเวณที่ลมพัดมาไม่ถึง ข้างกายมีสุนัขตัวหนึ่งเคียงข้าง ช่างมีความสุขเสียจริง เมื่อนึกขึ้นในเวลานี้ก็คิดถึงอย่างมาก”

เยียนอวิ๋นเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “วันอื่นหากท่านพี่เซิ่นว่าง พวกเราสามารถนัดกันออกไปตกปลาได้”

เซิ่นซูเหวินพูด “หากมีโอกาส น้องอวิ๋นเกอไปบ้านเกิดของข้า ทิวทัศน์งดงามอย่างมาก”

“หวังว่าจะมีโอกาสออกจากจวนไปยังสถานที่ต่างๆ”

ทั้งสองคนเงียบลงเพื่อเข้าสู่ท่าทีของการตกปลา

เซียวฮูหยินนั่งอยู่ริมหน้าต่างชั้นสองบนหอซิ่วโหลว หน้าต่างเปิดออกเพื่อมองดูสถานการณ์ทางทะเลสาบ

นางยิ่งมองยิ่งพอใจ บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้

นางเอ่ยถามกับแม่นมคนสนิท “เจ้าว่าอวิ๋นเกอกับซูเหวินเป็นอย่างไร”

แม่นมคนสนิทรู้ใจนาง “ท่านหญิงมองเห็นอนาคตที่ดีของนายน้อยเซิ่น จึงคิดจะหมั้นหมายคุณหนูสี่ให้นายน้อยเซิ่นหรือเจ้าคะ”

เซียวฮูหยินเงียบ แต่ไม่ได้ปฏิเสธ

แม่นมคนสนิทมองไปยังริมทะเลสาบ พลันพูด “นายน้อยเซิ่นเป็นคนมีความสามารถ รูปลักษณ์ก็ดี มารยาทและชาติตระกูลก็ไม่มีปัญหา สิ่งที่น่าเสียดายคือตระกูลเซิ่นล่มสลายไปแล้ว ไม่ถือว่าเป็นตระกูลชนชั้นสูง คุณหนูสี่แต่งกับนายน้อยเซิ่นจะเป็นการลดตัวหรือไม่เจ้าคะ”

เซียวฮูหยินพูดเสียงเบา “สิ่งสำคัญคือคนดี อวิ๋นเกอไม่รังเกียจเขา สองคนมีเรื่องให้พูดคุยกันได้”

แม่นมคนสนิทหัวเราะขึ้นมา “ท่านหญิงพูดถูก คุณหนูสี่ยากที่จะมีรอยยิ้มต่อคนนอก แต่นายน้อยเซิ่นท่านนี้กลับได้รับการชื่นชมจากคุณหนูสี่”

เซียวฮูหยินเม้มปากยิ้ม “อวิ๋นเกอชื่นชมคนที่มีความสามารถอยู่เสมอ นางไม่เคยให้ความสำคัญกับตระกูล นางให้ความสำคัญกับนิสัยและความรู้ ข้ารู้จักนาง ข้ารู้ว่านางไม่รังเกียจเซิ่นซูเหวิน”

ฟังจากน้ำเสียงนี้ เหมือนต้องการรีบหมั้นหมายในทันที