บทที่ 149 เด็กหนุ่มผู้ร่าเริง

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

บทที่ 149 เด็กหนุ่มผู้ร่าเริง

เขาจะฉลาดและน่ารักในบางครั้ง แต่ตอนนี้เขาไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว เขาจะทะเลาะหรือ มันเป็นเพียงการแสดงท่าทางโกรธจัดเพราะความรัก

นอกจากนี้ชายใดจะยอมให้ภรรยาของตนไปหาชายอื่น?!

อาจจะมี แต่ไม่ใช่เขาแน่นอน

“ที่นี่ไม่มีเสื้อคอกว้างจากคลิปให้ดู หม่อมฉันสูญเสียโอกาสมากมายในการดูหนุ่มน้อยและสาวน้อยหน้าตาดี ขอหม่อมฉันดูหน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง หม่อมฉันจะดูด้วยเงินของตัวเอง”

ความปรารถนาของฉินปู้เข่อพังทลาย นางรู้สึกเสียใจมากและกรงเล็บของนางก็ไม่แสดงความเมตตา ในช่วงเวลาสั้น ๆ บริเวณคอและแก้มของหมี่โม่หรู่ก็เต็มไปด้วยรอยเล็บข่วนหลายรอย

“พอแล้ว!”

ดวงตาของฉินปู้เข่อเบิกกว้าง “ท่านตวาดใส่หม่อมฉัน!”

นั่นเรียกตวาดหรือ?! เขาแค่เสียงดังขึ้นเล็กน้อย

เมื่อเห็นว่าพระชายาตัวน้อยกำลังจะกระโจนใส่ด้วยฟันและกรงเล็บของนาง หมี่โม่หรู่ก็ดึงฉินปู้เข่อเข้าไปในอ้อมแขน เพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของนาง แล้วเอนตัวกระซิบที่ข้างหูว่า “ห้ามข่วนหน้า พรุ่งนี้จะต้องออกเดินทาง”

“การข่วนจะส่งผลต่อการมองเห็นของข้าด้วย นอกจากนี้เจ้าคิดว่าจะมีชายใดที่หล่อเหลาเท่าข้า เจ้าไม่ได้ชอบข้ามากที่สุดหรอกหรือ?”

หมี่โม่หรู่แสดงความเจ้าเล่ห์และยั่วยวนใจอีกครั้ง เขาไม่ลังเลที่จะเปิดเผยให้เห็นผิวกายของเขาในทุกส่วน

ฉินปู้เข่อเลิกคิ้วและพึมพำด้วยเสียงเบา “บางครั้งหม่อมฉันก็เบื่อที่จะดูเป็นสตรีผู้อ่อนหวาน และหม่อมฉันก็ต้องการแก้เบื่อด้วยการดูเป็นผู้ชายบ้าง… ได้หรือไม่?”

ชายหนุ่มดึงคอเสื้อของเขาลงจนกล้ามเนื้อหน้าอกที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปิดออกครึ่งหนึ่ง เขาดึงฉินปู้เข่อเข้าไปใกล้ตัวเองด้วยแรงเล็กน้อยในมือของเขา ชายหนุ่มลดเสียงของเขาและกระซิบที่หูของนาง “ข้ายุ่งอยู่ข้างนอกมาสองสามวันแล้ว ลืมมันไปหมดหรือยัง?”

หัวใจของฉินปู้เข่ออดไม่ได้ที่จะเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง นางกะพริบตาสองครั้ง “ท่านกำลังกำหนัด และยั่วยวนหม่อมฉัน”

“ใช่” หมี่โม่หรู่จับมือเล็ก ๆ ของนางมาวางบนหน้าอกของเขา “ก็กลัวว่าเจ้าจะไปหาชายอื่น”

กล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งทำให้รู้สึกดีนัก ฉินปู้เข่อสัมผัสมันด้วยมือทั้งสองข้างอันสั่นเทาเล็กน้อย และแอบดูถูกตัวเองในก้นบึ้งของหัวใจ

“หมี่โม่หรู่”

“ไม่ต้องพูดแล้ว หากเจ้าพูดอีกครั้ง ข้าจะจัดการกับเจ้าเดี๋ยวนี้” หมี่โม่หรู่หรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วกัดริมฝีปากของเขาเบา ๆ

ฉินปู้เข่อหันศีรษะไปมองฉากกั้นห้อง ใบหน้าหนาของนางร้อนผ่าวเล็กน้อย อย่างไรเสียก็มีหมี่ฉงอยู่ข้างนอก หากนางส่งเสียง ‘สิบแปดบวก’ นางก็จะออกไปสู้หน้าเขาไม่ได้

“อีกสักครู่จะกลับไปที่ตำหนักเพื่อเก็บสัมภาระ และย้ายไปที่รถม้าตอนกลางคืน พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่” หมี่โม่หรู่ลูบไล้ตัวนางครู่หนึ่งก่อนที่จะปล่อยนางออกจากอ้อมแขนอย่างไม่เต็มใจ

“ตกลงหรือเพคะ?!”

“เจ้าไม่ได้บอกว่าอยู่ในตำหนักแล้วจะเป็นอันตรายหรือ ข้าคิดว่ามันอันตรายจริง ๆ เลยต้องพาเจ้าไปด้วย”

มันอันตรายเกินไป และเขากำลังตกอยู่ในอันตรายเพราะปล่อยให้นางออกไปได้! เขาจะเก็บนางไว้ที่นี่ให้ไปดูหนุ่มน้อยอย่างมีความสุขได้อย่างไร!

ช่วงเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น

ฉินปู้เข่อแต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีตั๊กแตนในฤดูใบไม้ร่วงและเสื้อคลุมลายดอกสน ผมที่เคยมัดเป็นมวยผมถูกรัดด้วยกวาน*[1]หยก ความสูงก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นมากในชั่วข้ามคืน และรูปร่างก็ดูเหมือนชายร่างเล็ก

ใบหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเพราะการแต่งหน้า คิ้วโก่งที่มีเสน่ห์ในอดีตกลับกลายเป็นคิ้วคม ใบหน้าเล็ก ๆ ที่บอบบางดูเข้มขึ้นเล็กน้อยและดูเหมือนว่าจะมีหนวดบาง ๆ ขึ้นที่ริมฝีปาก

ดวงตาของนางยังคงซุกซนเหมือนเดิม ขณะที่นางเดินออกไป หมี่ฉงจำนางไม่ได้อยู่พักใหญ่ และคิดว่านางเป็นเด็กหนุ่มผู้ร่าเริงสดใส

“สวัสดี~ พี่ชายสาม!”

เสียงนี้ทำให้หมี่ฉงถึงกับเซ เสียงผู้หญิงที่นุ่มนวล และละเอียดอ่อนในอดีตกลายเป็นเสียงของเด็กผู้ชายที่แหบเหมือนเป็ดตัวผู้ในชั่วข้ามคืนได้อย่างไร?!

“มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร”

เขาชี้ไปที่ฉินปู้เข่อและหันความสนใจไปที่หมี่โม่หรู่ที่ตามหลังเขาอย่างใกล้ชิด คนข้างหลังดึงปกเสื้อเพื่อแสดงให้เห็นนิ้วมือไขว้สองสามนิ้วแล้วส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ แสดงให้เห็นว่าเขาคัดค้านแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จ

หมี่โม่หรู่ไม่รู้ว่าพระชายาตัวน้อยของเขาจะร้องไห้และสร้างปัญหา และวิธีนี้ก็ได้ผลมากสำหรับเขา

และเขาก็ตกใจยิ่งนักเมื่อเห็นพระชายาตัวน้อยปลอมตัว

นางแอบเตรียมเสื้อผ้าผู้ชาย! เมื่อมองแวบแรกก็รู้ว่ามันเป็นอุปกรณ์ที่จะใช้ไปเที่ยวข้างนอกเมื่อใดก็ได้ ดังนั้นสิ่งที่พระชายาตัวน้อยพูดเมื่อวานนี้เกี่ยวกับการไปดูดอกไม้ไฟและซ่องโสเภณีชายก็ไม่ใช่เพียงการพูดถึงอย่างแน่นอน!

ในขณะนั้นหมี่โม่หรู่คิดว่าการตัดสินใจพานางไปกับเขาด้วยนั้นฉลาดมาก แม้ว่านางจะสวมเสื้อผ้าผู้ชาย และอาจจะถูกเข้าใจผิดได้

“เราไม่ได้ไปเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจกัน และท่านย่อมต้องมีทัศนคติและความคิดเหมือนเป็นข้าหลวง” ฉินปู้เข่อเลิกคิ้วอย่างมีเลศนัย หยิบพัดจากแขนเสื้อของนางแล้วคลี่ออก ‘ฟึ่บ’

ไม่ต้องถูกจำกัด เต็มไปด้วยกลุ่มผู้ชาย

หลังจากขึ้นรถม้าแล้ว หมี่ฉงก็อดไม่ได้ที่จะเอนตัวลงข้างนางและมองดูหนวดบนปากของนางด้วยตาของเขา นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว หากไม่นับเรื่องที่นางไม่มีลูกกระเดือก นางก็เหมือนกับผู้ชายทุกประการ

“อะแฮ่ม อะแฮ่ม” หมี่โม่หรู่เหยียดเท้าออกแล้วเตะเขา “พี่ชายสาม มีรถม้าอยู่ข้างหลังซึ่งมีของมีค่ามากมายอยู่ในนั้น และท่านต้องไปดูแลให้ดีในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้”

“ไม่ต้องหรอก มีอู๋เหินและคนตัวใหญ่อีก ใครจะกล้ายุ่งกับรถม้าของเราที่เป็นรถม้าหลวง” หมี่ฉงไม่ได้สังเกตว่ามีรังสีอำมหิตอยู่รอบตัวเขาแล้ว

“พี่ชายสาม” หมี่โม่หรู่จิ้มหลังหมี่ฉงด้วยนิ้วของเขาสองสามครั้ง

“ฮะ! เอ๊ะ!” เสียงของหมี่ฉงสั่นเล็กน้อย เขาหันหลังกลับไปมองหมี่โม่หรู่ “โม่หรู่ เจ้าต้องคลายสกัดจุดข้า เจ้าจะทำอะไรพี่ชายของตัวเอง?”

“ไม่มีโอกาส”

ในวินาทีต่อมา หมี่ฉงที่ถูกทำให้เคลื่อนที่ไม่ได้ถูกชายหนุ่มโยนลงจากประตูรถ

หมี่โม่หรู่กอดฉินปู้เข่อไว้อย่างอ่อนโยน และปล่อยให้นางนอนลงในอ้อมแขนของเขาโดยไม่ถูกรบกวนจากผู้อื่น

“ท่านอ๋อง ท่านไม่คิดว่าชุดในตอนนี้ของหม่อมฉันไม่เข้ากับท่าทางของท่านหรือ คนจะสนใจว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่” ฉินปู้เข่อต้องการนั่งตัวตรง แต่ก็ถูกมือใหญ่ของใครบางคนจับไว้

“มีอะไรน่าสนใจ… โอ้ เจ้าหมายถึงการแบ่งลูกท้อ*[2]หรือ? ไม่เป็นอะไรหรอก มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับข้า ข้าไม่สนอีกแล้ว” หมี่โม่หรู่โอบหญิงสาวด้วยมือข้างหนึ่งแล้วหยิบกล่องหนึ่งออกมาจากใต้เบาะนั่ง

ต้องบอกว่าหมี่โม่หรู่มีความสามารถในการเข้าใจคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยได้ดี มีคำศัพท์ใหม่มากมายที่ฉินปู้เข่อพูด และเขาก็สามารถอนุมานตามบริบทได้โดยที่นางไม่ต้องอธิบายมากเกินไป

หลายครั้งฉินปู้เข่อก็รู้สึกว่าหากชายผู้นี้เป็นคนในยุคปัจจุบันก็คงเป็นนักวิชาการแน่นอน

“ทางไปหลินเป่ยเป็นหลุมเป็นบ่อ เจ้าต้องพักผ่อนให้มากกว่านี้ มิฉะนั้นเจ้าจะรู้สึกคลื่นไส้เหมือนตอนที่อยู่บนถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อตอนไปวังน้ำพุร้อนครั้งล่าสุด” เขาหยิบเกล็ดพิมเสนชิ้นหนึ่งออกจากกล่องแล้วใส่เข้าไปในปากของฉินปู้เข่อ “เอาลิ้นกดไว้เลย”

ความเย็นราวสะระแหน่แผ่ซ่านจากปากไปทั่วสมอง ทำให้จิตใจของฉินปู้เข่อสดชื่นในทันที นางหลับตาลงเล็กน้อยและเพลิดเพลินกับการนอนอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม “เหตุใดหม่อมฉันถึงไม่รู้ว่ามีสิ่งนี้อยู่ในรถม้า จะได้ใช้มันตอนที่ไปวังครั้งล่าสุด”

………………………………………………………………………

[1] กวาน 冠 คือสิ่งที่ชนชั้นสูงชาวจีนในสมัยโบราณใช้สวมครอบบนศีรษะ เพื่อเป็นเครื่องบอกระดับประดับพระยศพระเกียรติ แม้ว่ากวานจะใช้เป็นเครื่องประดับบนศีรษะเหมือนกัน แต่ก็มีความต่างกับหมวก เพราะกวานเปรียบได้กับรัดเกล้าที่จะสวมครอบรัดมวยผม แต่หมวกจะสวมครอบผมบนศีรษะทั้งหมด นอกจากนี้ยังถือเป็นสัญลักษณ์บอกสถานะ เพราะจำกัดเฉพาะชนชั้นสูงมียศฐาบรรดาศักดิ์เท่านั้น ลำดับชั้นต่างกัน รูปแบบของกวานก็ต่างกันไป

[2] การแบ่งลูกท้อ คือ ชายรักชาย