บทที่ 162 จะไม่อร่อยได้อย่างไร มันมีค่าดั่งทองหนึ่งพันชั่งเชียว

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 162 จะไม่อร่อยได้อย่างไร มันมีค่าดั่งทองหนึ่งพันชั่งเชียว

บทที่ 162 จะไม่อร่อยได้อย่างไร มันมีค่าดั่งทองหนึ่งพันชั่งเชียว

หนานกงสือเยวียนนึกถึงราชฎีกาที่เขาเพิ่งอ่านไปในวันนี้ บังเอิญมีเรื่องเกี่ยวกับข้าวในนาหลวงพอดี

แน่นอนว่าฮ่องเต้ที่มีงานยุ่งอยู่เสมอ ไม่อาจไปติดตามสังเกตการเจริญเติบโตของต้นข้าวในนาหลวงได้ แต่อย่างไรเสีย เขาก็มีผู้ใต้บังคับบัญชาคอยช่วยดูให้

เขารู้ว่าเมล็ดข้าวของเสี่ยวเป่าที่นำมาปลูกนั้นดีเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะเติบโตจนสุกงอมได้ภายในหนึ่งเดือน

นอกจากนี้ ต้นข้าวอื่น ๆ ที่ได้รับการใส่ปุ๋ยเองก็เจริญเติบโตงอกงาม คาดว่าในปีนี้จะได้ผลผลิตมากขึ้นเป็นสองเท่า ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ข้าวเหล่านั้นน่าจะพร้อมเก็บเกี่ยวได้เร็วมากกว่าที่เคยคาดการณ์เอาไว้ถึงอย่างน้อยครึ่งเดือน

“อีกสามวันค่อยไปดูกัน”

“ตกลง!”

เสี่ยวเป่าตื่นเต้นจนแกว่งขาไปมา ดวงตาเปล่งประกายราวดวงดารา

วันรุ่งขึ้นเด็กเล็กตื่นตั้งแต่เช้า จากนั้นก็กลับไปยังโถงปีกข้าง ทว่ายังไม่ทันได้เข้าใกล้ประตู เจ้าก้อนแป้งหลายตัวก็พลันวิ่งโซซัดโซเซเข้าใส่ ด้านหลังตามมาด้วยชุนสี่และข้ารับใช้คนอื่น ๆ

ขันทีที่สามารถตัดขนแกะได้ก็อยู่ภายในกลุ่มข้ารับใช้ เนื่องด้วยความสามารถในการดูแลสัตว์ ทำให้ประสบความสำเร็จในการย้ายมาอยู่ข้างกายองค์หญิงน้อยผู้เป็นที่รักที่เอ็นดูของฮ่องเต้ สิ่งนี้ทำให้เขามีความสุขเป็นอย่างมาก จึงทุ่มเทแรงกายแรงใจในการดูแลสัตว์อย่างขยันขันแข็ง

ส่วนเจ้าก้อนแป้งเหล่านั้น นอกจากกินแล้วก็ไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก เหล่าลูกหมาป่านั้นมีนิสัยดุร้ายและดื้อรั้นอยู่เสมอ

พวกมันยังไม่ได้กินสิ่งใดตั้งแต่เช้า จึงวิ่งออกมาเพื่อหาของกิน

พวกมันวิ่งไปทางเสี่ยวเป่าอย่างมีความสุขทันทีที่เห็น ไม่ต้องคาดเดาเลยว่ามันกำลังมองหาสิ่งใดอยู่

“องค์หญิง”

ชุนสี่มองเสี่ยวเป่าด้วยความตื่นเต้นดีใจ ขอบคุณสวรรค์! ในที่สุดองค์หญิงน้อยก็มาแล้ว ไม่เช่นนั้นเกรงว่าหมาป่าน้อยเล่านี้จะต้องก่อเรื่องวุ่นวายอย่างแน่นอน

เมื่อถูกลูกหมาป่าล้อมรอบตัวเองพร้อมทั้งกระดิกหางให้ เสี่ยวเป่าก็ลูบหัวมันทีละตัว ๆ

“ดีมาก ดูดีขึ้นกว่าเดิมมาก ไว้เดี๋ยวข้าจะส่งไปให้พวกท่านพี่”

เหล่าลูกหมาป่าที่กำลังกระดิกหางอย่างมีความสุขฟังภาษามนุษย์ไม่เข้าใจ แต่เหตุใดพวกมันจึงเกิดความรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมากันนะ?

เมื่อเสี่ยวเป่ามาแล้ว ในที่สุดพวกมันก็ยอมกินข้าว อีกทั้งยังกินเนื้อมากกว่าเมื่อวานไม่น้อย

ด้วยความช่วยเหลือจากพลังวิญญาณของเสี่ยวเป่า เหล่าลูกหมาป่าจึงฟื้นตัวกลับมาอยู่ในสภาพที่ดีสุดภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงแค่วันเดียว

หลังจากดูแลพวกมันกินอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวเป่าก็พาเสี่ยวไป๋ไปดูแกะทั้งสองตัว เสี่ยวไป๋ยืดอกเชิดหัว เดินสำรวจรอบตัวแม่แกะ ดวงตากลมใสมองไปทางแม่แกะที่ถูกโกนขนด้วยความรังเกียจ

เสี่ยวเป่า “…”

เจ้ายังไม่จบไม่สิ้นอีกหรือ ถึงได้ทำท่าทางอวดดีเช่นนั้นออกมาน่ะ!

เสี่ยวเป่ามองเจ้าแกะน้อยที่กำลังกินนม รู้สึกเกิดความอยากกินขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

“ขอโทษนะเจ้าแกะน้อย”

เสี่ยวเป่าลูบหัวแกะน้อยพร้อมเอ่ยขอโทษออกมา จากนั้นก็สั่งให้คนมาแบ่งอาหารของเจ้าแกะน้อยไป

นมแกะอุ่น ๆ ถูกรีดออกมา

แกะน้อยเฝ้ามองคนเหล่านั้นขโมยนมของมันแล้วจากไปด้วยความฉงน

“แบะ?”

แม่แกะยังคงกินหญ้าอย่างสงบ เมื่อต้องอยู่ในสภาพอากาศร้อนอบอ้าวเช่นนี้ มันก็รู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง แต่เมื่อตัดขนแกะหนา ๆ ออกไปแล้ว มันก็รู้สึกโล่งสบายมากขึ้น

ดังนั้นมันจึงกินหญ้าอย่างสบายใจ กวาดตามองไปรอบด้านด้วยความเฉื่อยชา

ส่วนเสี่ยวเป่าน่ะหรือ?

หลังจากจัดการกลบกลิ่นคาวของนมแกะแล้ว นางก็สั่งให้คนนำใบชาใส่ลงไปต้มด้วย

แต่นางไม่มีใบชาอยู่กับตัว เพราะปกติชอบดื่มน้ำเมล็ดบัวทองคำขาว ทำให้นางแจกจ่ายใบชาที่ได้มาจากเจ้าอาวาสวัดต้ากั๋วไปหมดตั้งแต่แรกแล้ว

ดังนั้นเสี่ยวเป่าจึงรีบวิ่งเข้าไปในตำหนัก จากนั้นก็เปิดตู้ออกด้วยความคุ้นชินแล้วหยิบกระปุกชากระปุกหนึ่งออกมา

ขันทีที่เห็นว่าองค์หญิงเก้าหยิบชาล้ำค่าราคานับทองพันชั่งออกมาก็พลันเปลือกตากระตุก องค์หญิงน้อยผู้นี้ช่างรู้จักเลือกเสียจริง นี่คือชาอวิ๋นอู้ที่มีราคาแพงมากที่สุด! แม้อยากได้ก็ไม่ใช่ว่าจะได้ ขนาดฝ่าบาทยังมีไว้เพียงแค่สองกระปุกเท่านั้น!

หลังจากองค์หญิงเก้าจากไป ขันทีผู้นั้นก็รู้สึกเจ็บหัวใจ แม้ว่าชานั้นจะไม่ใช่ของเขาก็ตามที

ตอนนั้นเอง หมอหลวงจางมาหาองค์หญิงน้อย พอดีกับตอนที่ได้เห็นฉากเด็กน้อยที่ยืนอยู่ด้านบนตั่งไม้ตัวเล็ก ๆ ในครัวกำลังหยิบชาส่วนหนึ่งมาใส่ในนมแกะ

ด้วยรูปร่างและสีของใบชาที่ดูมีราคาแพง ทำให้ดวงตาของหมอหลวงจากเบิกกว้างทันที

“อ อะ อง…องค์หญิง นะ นี่มันชาอันใดกันพ่ะย่ะค่ะ?”

ดวงตาของหมอหลวงจางจับจ้องไปยังใบชาในมือของนาง จากนั้นก็หันไปมองนมแกะที่มีใบชาลอยอยู่ด้านบน สิ่งที่ยิ่งยืนยันการคาดเดาภายในใจของเขามากขึ้น มันทำให้เขาเจ็บปวดใจจนพูดติด ๆ ขัด ๆ

เสี่ยวเป่ามองใบชาด้วยดวงตาไร้เดียงสา “ชาอวิ๋นอู้”

หมอหลวงจางอ้าปากค้างทันที “พระ พระองค์ทรงทราบ”

เมื่อรู้แล้วแต่ยังคงทำลายชาเช่นนี้ ก็พลันทำให้หัวใจของหมอหลวงเจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ไหว

หมอหลวงจางจับหน้าอกของตนเอง แล้วปรับลมหายใจอย่างเงียบงัน ทว่าหลังจากดูอีกครั้งแล้วก็ยังคงเจ็บปวดหัวใจอยู่ดี

เสี่ยวเป่ามองท่าทางแปลกประหลาดของเขาด้วยความฉงน

“ข้าหยิบของท่านพ่อมา ไม่ได้หยิบของท่านมาสักหน่อย”

เด็กน้อยถือใบชาอวิ๋นอู้เอาไว้ ขณะมองเขาอย่างตื่นตัว

ใบหน้าของหมอหลวงจากโศกเศร้าลง “ต่อให้ท่านอยากไปหยิบของข้า ก็ไม่มีให้หยิบ”

“ชาอวิ๋นอู้นั้นลำค่ายิ่ง พระองค์ใส่นมแกะเช่นนี้นับว่าสิ้นเปลืองเกินไปแล้ว”

เสี่ยวเป่าเม้มปากด้วยความไม่ยินยอม “ไม่สิ้นเปลืองสักหน่อย เสี่ยวเป่าอยากกิน อีกทั้งเสี่ยวไป๋เองก็ชอบกินชาด้วย”

หมอหลวงจางสำลักขึ้นมาทันใด เขารำพึงออกมาอย่างเหม่อลอย “กระทั่งกวางตัวหนึ่งก็ยังมีชีวิตที่ดีกว่าข้า”

นมแกะต้มจนได้ที่แล้ว แม่แกะตัวนี้มีน้ำนมมาก นางตักหนึ่งถ้วยให้ตนเองเรียบร้อยก็ยังคงหลงเหลือนมอยู่

เสี่ยวเป่าหันไปมองหมอหลวงจางที่ยังคงเหม่อลอย “หมอหลวงจาง ท่านอยากจะลองชานมหรือไม่?”

สติของหมอจางลอยกลับมา จ้องมองชานมในมือของนางแล้วพยักหน้าอย่างจริงจัง “ต้องการพ่ะย่ะค่ะ พระองค์แบ่งให้ข้าหนึ่งชามใหญ่เถิด!”

เสี่ยวเป่าส่งเสียงฮึ่มออกมา “ฝันไปเถอะ ของไม่ได้มีมากมายถึงเพียงนั้น”

สุดท้ายแล้ว หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กก็นั่งเรียงกันบนม้านั่ง เจ้าก้อนแป้งจิบชานมอุ่น ๆ เข้าปากอย่างแช่มช้า

“อร่อยยิ่งนัก”

หมอหลวงจางที่นั่งอยู่ด้านข้างพยักหน้า “จะไม่อร่อยได้อย่างไร? ชามีค่าดั่งทองหนึ่งพันชั่งเชียว”

เขายกขึ้นดื่มด้วยหัวใจหนักอึ้ง สิ่งที่เขาดื่มเป็นเพียงชานมหรือ? สิ่งที่เขาดื่มอยู่คือทองต่างหาก!

ชาอวิ๋นอู้นั้นหายากเป็นอย่างยิ่ง หนึ่งสามารถผลิตออกมาได้เพียงน้อยนิด กระทั่งทางวังหลวงเองยังได้รับมาเพียงไม่กี่กระปุก ดังนั้นย่อมมาไม่ถึงมือคนตัวเล็ก ๆ อย่างเขาแน่นอน นาน ๆ ครั้งเท่านั้นที่จะได้ลิ้มลองมันสักเล็กน้อยจากการไปบ้านผู้อื่น

ทว่าตอนนี้ ชาอวิ๋นอู้กลับถูกองค์หญิงน้อยใช้อย่างสิ้นเปลืองโดยการนำมาต้มใส่นม

แต่อย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีกเลย สิ่งที่เรียกว่าชานมนี่อร่อยจริง ๆ

หลังจากดื่มชานมเสร็จแล้วก็ได้เวลาเข้าเรื่องธุระ เสี่ยวเป่าม้วนแขนเสื้อขึ้น ไม่ฟังคำทัดท้านของชุนสี่ กลับเลือกจะลงมือทำด้วยตนเอง

นางและหมอหลวงจางร่วมมือกันคิดค้นน้ำยาต่าง ๆ หลังจากนั้นจึงหยิบขนแกะหนึ่งกำมือ แช่ลงในน้ำยาแตกต่างกันเพื่อทดลองแช่ล้างให้สะอาด

ผ่านไปประมาณครึ่งก้านธูปก็นำออกมาผึ่งให้แห้ง

หมอหลวงจาง “อันนี้ไม่เลว กลิ่นไม่แรงมาก”

เสี่ยวเป่าขมวดคิ้ว “ไม่ได้ ไม่ได้ ยังมีกลิ่นอยู่นิดหน่อย”

“องค์หญิงน้อยอย่าได้จริงจังมากไป แค่นี้ก็ไม่เลวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

หลังจากไล่ดมทีละกลิ่น ผลสุดท้ายคือได้น้ำยาสองชนิดที่ให้ผลดีที่สุด

ชนิดแรกไม่มีกลิ่นใด ๆ แม้แต่น้อย กระทั่งกลิ่นสาบแกะยังไม่เหลือสักนิด ส่วนอีกชนิดนั้นมีกลิ่นหอมสดชื่นของเซียงเฉ่า*[1]

[1] เซียงเฉ่า (香草味) หมายถึง วานิลลา