ความคิดที่บ้าๆนี้ จนกระทั่งหยวนหลุนเหวินไปแล้ว ยังคงดำเนินต่อไป

นางตรวจดูกล่องยาตัวเองอยู่ในห้อง ยาสลบมีแล้ว ผ้าก๊อซมีแล้ว ยาห้ามเลือดมีแล้ว โดปามีนที่ใช้ในการช่วยชีวิตมีแล้ว อะโทรปีนมีแล้ว ยังมียาอื่นๆเล็กๆน้อยๆ

มีดสั้น ไม่มี ยืมกับสวีอีได้

ทุกอย่างเตรียมพร้อม เหลือเพียงการตรวจสอบ

นางต้องการตรวจสอบว่าเจ้าพระยาหุ้ยติ่งชอบไปเที่ยวที่ไหน ตรวจสอบว่าเวลาไหนจะผ่านเส้นทางอะไรบ้าง ลูกน้องที่ติดตามมีจำนวนกี่คน และพกพาอาวุธอะไรบ้าง

สวีอีรู้สึกช่วงนี้พระชายาแปลกๆ เดี๋ยวก็มายืมมีดสั้นกับเขา เดี๋ยวก็มาถามเขาว่ามีอาวุธลับอะไรมั้ย เดี๋ยวก็ถามว่าอะไรคือสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของผู้ชาย

สองข้อแรกนั้นไม่เท่าไหร่ สองข้อหลังเขาไม่รู้จะพูดยังไง สัญลักษณ์ที่โดดเด่นของผู้ชายไม่ใช่กล้ามเนื้อหน้าอกกับช้างน้อยที่อยู่ด้านล่างหรอกเหรอ?

พระชายานั้นไร้เดียงสาเกินไปแล้วจริงๆ

จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาก็เห็นพระชายาสวมใส่ชุดผู้ชายที่ใหม่เอี่ยมออกไป อีกอย่างยังได้ออกไปจากประตูหลัง ไม่ได้พาลู่หยาไป และก็ไม่ได้พาแม่นมทั้งสองคนไปด้วย

เขารู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่กล้าที่จะถาม พระชายามีความลับ เขาไม่กล้าที่จะถามเลยจริงๆ

วันที่สอง พระชายาหยิบหมั่นโถวสองลูกก็ออกไปอีก เมื่อออกไปก็ไปทั้งวันเลย ฟ้ามืดแล้วจึงจะกลับมา

วันที่สาม ก็เช่นเดียวกัน

สวีอีรู้สึกว่า ควรที่จะรายงานท่านอ๋องแล้ว

หลังจากที่หยู่เหวินเห้าหายบวมแล้วก็รีบไปรับมอบงานที่กรมการพระนคร รับตำแหน่งเจ้ากรมการพระนครอย่างเป็นทางการ

บุคลากรใหม่ ต้องได้รับการปรับเปลี่ยนแก้ไข มีเจ้าหน้าที่ใหญ่เล็กหลายสิบคนในกรม ความขัดแย้งที่ซับซ้อนหลายอย่าง ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมีเกี่ยวพันกัน ต่างคนต่างถือดี แก่งแย่งชิงดี ล้วนไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย

หยู่เหวินเห้าต้องการทำความคุ้นเคยกับแต่ละสายงานโดยเร็วที่สุด ดังนั้นเขาจึงยุ่งตั้งแต่เช้าจรดค่ำ

เมื่อกลับถึงจวน สวีอีก็เข้ามารายงาน “ท่านอ๋อง ช่วงนี้พระชายาทำตัวแปลกมาก”

หยู่เหวินเห้าที่มีอาการบาดเจ็บอยู่แล้ว ได้ยินเรื่องของหยวนชิงหลิง ก็ไม่มีความสนใจเลย “ข้าไม่อยากได้ยินคำว่าพระชายาหรือหยวนชิงนี้สามคำนี้”

สวีอีมองดูท่านอ๋องที่เหนื่อยล้า ก็ได้เก็บคำพูดที่จะพูดลงไปในท้อง “ขอรับ”

ทังหยางดึงตัวสวีอีออกไป แล้วถาม “พระชายาทำตัวแปลกยังไง?”

สวีอีกล่าว “หลายวันมานี้พระชายาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าผู้ชายออกไปข้างนอก ออกไปแต่เช้ากลับมาอีกทีตอนค่ำ”

“ได้เบิกเงินไปด้วยหรือไม่?”

“ไม่ขอรับ เอาไปแต่หมั่นโถวกับเหล้า”

ทังหยางก็รู้สึกแปลกใจ “แล้วเจ้าได้ถามลู่หยากับแม่นมฉีหรือยัง?”

“ถามแล้ว แม่นมฉีบอกว่าไม่รู้ว่าพระชายาจะไปหายาอะไรมาถวายให้กับไท่ซ่างหวง บอกว่าจะถึงวันคล้ายวันประสูติของไท่ซ่างหวงแล้วไม่ใช่รึ? เพียงแต่ห้ามไม่ให้พวกนางตามไปด้วย กลัวความรั่วไหลแล้วจะไม่เป็นที่ประหลาดใจ”

“ระยะนี้ไม่ว่าพระชายาจะทำอะไรก็ดูแปลกไปหมด” ทังหยางคิดๆแล้วก็รู้สึกว่าไม่มีปัญหาอะไร วันเกิดไท่ซ่างหวง ใครๆก็ให้ความสำคัญ หากพระชายามีของล้ำค่าถวายให้กับไท่ซ่างหวง ทำให้ไท่ซ่างหวงพอพระทัย ก็เป็นประโยชน์ต่อท่านอ๋อง

อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัย ทังหยางกล่าว “ต่อไปพระชายาออกไป เจ้าแอบตามไปด้วย แต่อย่าให้พระชายาสังเกตเห็น”

“รับทราบ” สวีอีตอบกลับ

หลังจากที่ทังหยางเข้าไปแล้ว ก็ได้บอกกับหยู่เหวินเห้า “พระชายาได้เตรียมของขวัญวันเกิดให้กับไท่ซ่างหวง”

หยู่เหวินเห้ารับคำไปหนึ่งที “เรื่องประจบประแจงนางทำได้ดีมากทีเดียว”

หยวนชิงหลิงตรวจสอบไปหลายวัน พบว่าเจ้าพระยาหุ้ยติ่งชอบไปฟังเพลงที่กระท่อมสุดหรูชิงเฉิง

เพียงแต่ เขาไม่ได้ระบุเวลาไป ตอนที่มีเวลาว่างถึงจะไป และก็ไม่ได้ไปทุกวัน โดยปกติจะเป็นเวลาที่กลับจากค่ายทหาร เป็นทางผ่านกระท่อมสุดหรูชิงเฉิงจึงจะเข้าไปฟังสักสองสามเพลง

ตอนแรกหยวนชิงหลิงเข้าไปไม่ได้ เพราะว่าเข้าไปฟังเพลงต้องจ่ายค่าชาและตกรางวัล นางไม่ได้พกเงินมาด้วย ดังนั้นจึงได้รออยู่ข้างนอก

เจ้าพระยาหุ้ยติ่งขี่ม้ากลับเมือง โดยปกติจะพาลูกน้องแค่สองคน สองคนนี้ในเอวคาดกระบี่เอาไว้ ใบหน้าเข้มขรึม คนหนึ่งตามเข้าไปฟังเพลง อีกคนหนึ่งรออยู่ด้านนอก

วันนี้ หยวนชิงหลิงได้พกเงินมาแล้ว จึงเข้าไปฟังเพลง

แต่งกายด้วยเสื้อผ้าผู้ชายสีน้ำเงิน เอวคาดด้วยเข็มขัด ผมนุ่มสลวยเป็นมันถูกมัดเอาไว้ ไม่ได้ทาแป้ง แต่ริมฝีปากแดงฟันขาว คิ้วสวย เผยให้อิริยาบถของผู้หญิง

อย่างไรก็ตาม นางยังได้จงใจวาดคิ้วให้มันเข้มขึ้นมาหน่อย หางคิ้วเชิดขึ้น ในความอ่อนหวานนี้ เพิ่งขึ้นด้วยกลิ่นอายความเป็นชายเล็กน้อย

อยู่ในจวนนางได้เลียนแบบการเดินของสวีอี ตั้งใจเรียนแบบอย่างจริงจัง รัดหน้าอก ยืดตัวตรง ก้าวเดินอย่างมั่นคง สวีอีมีกระบี่ แต่นางประดับพัดให้ตัวเองหนึ่งเล่ม บัณฑิตพร้อมด้วยอากัปกิริยาของนักบู๊ ก็ไม่ได้แปลกประหลาดแต่อย่างไร

วันนี้ตอนที่ออกมาทำให้ล่าช้าไปหน่อย เพราะว่าหยวนชิงผิงบอกว่าจะกลับจวนแล้ว นางก็เลยทานข้าวเป็นเพื่อนน้องสาว เห็นแววตาที่มืดมนของหยวนชิงผิง นางก็ปลอบประโลมไปสองสามคำ

เมื่อไปถึงกระท่อมสุดหรูชิงเฉิง นางดีใจที่เห็นลูกน้องคนหนึ่งของเจ้าพระยาหุ้ยติ่งยืนรออยู่ด้านนอก งั้นเจ้าพระยาหุ้ยติ่งก็ต้องอยู่ด้านใน

รอมาตั้งหลายวัน ในที่สุดก็สามารถที่จะเข้าใกล้เจ้าพระยาหุ้ยติ่งแล้ว ในใจของหยวนชิงหลิงตื่นเต้น

ทั้งตกใจทั้งกลัวทั้งดีใจ

น้ำเสียงที่กังวาน นางเดินเข้าไปด้วยความเย่อหยิ่งของบัณฑิต

แวบแรกก็เห็นเจ้าพระยาหุ้ยติ่งที่สวมชุดผ้าแพรสีดำนั่งอยู่ตรงแถวหน้า ข้างกายเขามีลูกน้องยืนอยู่หนึ่งคน ล้วนกำลังมองนางคณิกาที่กำลังร้องเพลงอยู่บนเวที

นางคณิกาคนนี้หน้าตาคมมาก พลางร้องเพลงพลางชายตามองไปทั่ว น้ำเสียงที่กังวาน อ่อนหวาน เต็มไปด้วยความอ่อนโยน

หยวนชิงหลิงเลือกนั่งที่ที่ห่างจะเจ้าพระยาหุ้ยติ่งไม่ไกลนัก ก็มีนักชงชามาเสิร์ฟชาและขนม หยวนชิงหลิงก็ได้ตกรางวัลไป นักชงชาโค้งคำนับขอบคุณแล้วก็จากไป

ขณะที่หยวนชิงหลิงดื่มชา ก็ได้ใช้สายตาแอบมองเจ้าพระยาหุ้ยติ่ง เห็นเขากำลังหลับตาเบาๆ ดีดนิ้วมืออย่างแผ่วเบาบนด้ามจับเก้าอี้ ท่าทางเพลิดเพลินนัก

เขามีใบหน้าของผู้ชายในวัยสามสิบ และในขนาดที่เขาหลับตาตรงหว่างคิ้วของเขาเห็นได้ชัดว่ามีเส้นสามเส้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นคนที่ขี้โมโห

ผิวสีน้ำผึ้ง หากใช้สายตาคนสมัยนี้มอง ผิวพรรณแบบนี้เป็นที่นิยมนัก

ใบหน้าสี่เหลี่ยม หน้าผากอิ่มเอิบ คิ้วหนาเข้ม แต่ว่าขนคิ้วนั้นยุ่งเหยิงมาก แวบแรกที่มองไป รู้สึกว่าเป็นคนที่โหดเหี้ยมมาก

จู่ๆเขาก็ลืมตาขึ้นมา แววตานั้นกะพริบเหมือนมีดที่คมกริบ หยวนชิงหลิงตกใจ รีบถอนสายตาออกมาทันที มองไปนางคณิกาที่กำลังร้องเพลงอยู่

ปรากฏว่า ท่วงทำนองเปลี่ยนไปกะทันหัน เสียงพิณดังมาพร้อมกับความโกรธแค้น ในอากาศเหมือนจะเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวอ้างว้าง ที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญ เป็นเสียงที่ไพเราะและน่าเศร้า มือที่ขาวนวลของนางคณิกาดีดอยู่บนสายพิณ ริมฝีปากแดงก็ได้ขยับขึ้น ร้องเพลงขึ้นมา “ลมทรายที่พัดผ่าน ทำให้ใบหน้าข้าแก่ลง เมื่อพิงประตูไม้แล้วมองไปข้างหน้า ท่านแม่ทัพเคยมั้ยที่จะหันกลับมามอง…….”

สาวงามร้องไห้คร่ำครวญ โดนจิตโดนใจ เข้าไปในจิตวิญญาณ ท่วงทำนองที่เศร้าสร้อยร้องจนหยวนชิงหลิงรู้สึกโศกเศร้า จนลืมไปว่าตัวเองนั้นมาจับตามองเจ้าพระยาหุ้ยติ่ง มันอดไม่ได้ที่จะทำให้คิดถึงบ้าน รู้สึกอยากจะร้องไห้ น้ำตาซึมเล็กน้อย

นางมองพิณที่อยู่ในมือของนางคณิกาอย่างไม่รู้ตัว ตามนิ้วมือที่นางดีด ทำให้เห็นภาพในอดีต

เพลงจบลงไปแล้ว นางยังคงตกอยู่ในภวังค์

นางไม่เห็นเลย ว่าสายตาของเจ้าพระยาหุ้ยติ่งนั้นมาหยุดอยู่บนใบหน้าของนางตั้งแต่เมื่อไหร่ เดิมนั้นแค่มองผ่าน สุดท้ายกลับมองตาค้าง

หยวนชิงหลิงที่กะพริบตา สายตานั้นก็ได้ไปประสานกับสายตาเจ้าพระยาหุ้ยติ่ง หยวนชิงหลิงสะดุ้งจนหัวใจเต้นรัว รีบถอนสายตาไปทางอื่น จับแก้วชาเอาไว้ ดื่มมันไปหนึ่งคำ น้ำชาได้ไหลผ่านลำคอ

เจ้าพระยาหุ้ยติ่งมองท่าทางที่นางกลืนน้ำชา มองคอที่สวยระหง ก็ยิ้มอย่างมีความหมายแอบแฝง