บทที่ 171 คำเตือน

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

บทที่ 171 คำเตือน

ใครคือคนที่ยุ่งที่สุดในเดือนมิถุนายน

ก็คงหนีไม่พ้นเด็กๆ ที่เพิ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จกับพ่อแม่ที่นั่งหน้าเครียดกัน

การสอบเข้าวิทยาลัยถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดในชีวิตของคนเรา สังคมปัจจุบันจึงให้ความสำคัญกับการศึกษาของเด็กๆ มากขึ้นเรื่อยๆ

มีสถาบันกวดวิชาเกิดขึ้นมากมาย ทั้งยังเอาใจใส่ตั้งแต่สอบเข้ายันสมัครงาน

ทว่าสองวันที่ผ่านมานี้ สถาบันการศึกษาในมณฑลจิ้นซีต่างกำลังวิตกกังวล

ทำไมถึงเป็นแบบนั้น

ก็เพราะว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีนั้นทำให้สถาบันอื่นๆ อึดอัดมาก ทั้งที่ปีก่อนๆ คะแนนของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีก็ไม่ได้สูงมาก แค่ผ่านค่าเฉลี่ยของประเทศมาเล็กน้อย

และในปีนี้ การแข่งขันความรู้แพทย์แผนจีนก็ได้ทำให้ประเทศจีนหันมาสนับสนุนการแพทย์แผนจีนอย่างจริงจังมากขึ้น

ซึ่งมหาวิทยาลัยที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักอย่างมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีก็ได้กลายเป็นจุดสนใจของสาธารณะขึ้นมา

เนื่องจากผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันความรู้แพทย์แผนจีนนั้นเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ห้าจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซี

การที่นักศึกษาระดับปริญญาตรีคนหนึ่งก้าวข้ามอุปสรรคและคว้ารางวัลชนะเลิศมาได้นั้นถือเป็นเรื่องน่าทึ่งยิ่งนัก

และความเก่งกาจของนักศึกษาคนนั้นก็ทำให้ผู้คนเริ่มหันมามองสถาบันที่บ่มเพาะเขาขึ้นมา

เมื่อทุกคนค้นพบว่าสถาบันแห่งนี้ไม่ธรรมดาอย่างไร ก็เริ่มหาช่องทางติดต่อเข้ามาทันที

แม้แต่สถาบันวิจัยชั้นนำจากต่างประเทศก็ยังเลือกตั้งหน่วยวิจัยย่อยขึ้นที่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซี ว่ากันว่าอาจจะมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความรู้กับต่างชาติด้วย

จากนั้นกระทรวงศึกษาธิการและกรมสามัญศึกษาประจำมณฑลก็เตรียมการจัดตั้งหลักแห่งศาสตร์วิชาขึ้นอย่างแข็งขัน

หลักแห่งศาสตร์วิชานี้จะถูกจัดตั้งขึ้นในมหาวิทยาลัยชั้นนำเท่านั้น มหาวิทยาลัยระดับด้อยลงมาจะได้รับโอกาสนี้ได้อย่างไรกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมผู้คนถึงจะไม่พุ่งเป้ามาที่สถาบันแห่งนี้กันล่ะ

สุดท้ายแล้ว มหาวิทยาลัยที่ดีก็ไม่สู้สาขาวิชาที่ดี การให้ความสำคัญกับเอกที่ต้องการเข้าศึกษานั้นเริ่มได้รับความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ

มีคำกล่าวว่า ผู้ชายกลัวมีหน้าที่การงานไม่ดี ส่วนผู้หญิงกลัวการแต่งงานกับผู้ชายที่มีหน้าที่การงานไม่ดี ถ้าผู้ชายคนนั้นมีหน้าที่การงานไม่ดี จะมีผู้หญิงคนไหนกล้าแต่งงานด้วย เอ๊ะ ชักจะออกทะเลแล้วสิ…

ยิ่งในตอนนี้มีข่าวว่ามหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีกำลังจะร่วมมือกับบริษัทเป่ยจิงน่าย่า ซึ่งแม้แต่บริษัทขนาดยักษ์ใหญ่มูลค่าเกือบหนึ่งหมื่นล้านหยวนยังต้องเซ็นสัญญาการจ้างงานกับทางมหาวิทยาลัยด้วย

ทำให้ผู้คนต่างร้อนรนกันไปหมดว่าสรุปคนเราเรียนมหาวิทยาลัยเพื่ออะไร

คงไม่ใช่แค่เพราะจะได้มีหน้าที่การงานที่ดีและมั่นคง แต่เพราะว่าบริษัทเป่ยจิงน่าย่าซึ่งมีมูลค่านับหมื่นล้านหยวนจะได้มาเซ็นสัญญาการจ้างงานด้วย…

ย้ายที่เรียนทันไหม!

แล้วปีนี้การรับสมัครนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีเป็นอย่างไรบ้าง ปีนี้หน่วยวิจัยสัตว์ทดลองจะรับนักศึกษาไหม

ถ้าอยากผ่านต้องได้คะแนนเท่าไหร่ คำนวณคะแนนอย่างไรบ้าง

สถาบันกวดวิชาหลายแห่งเริ่มถูกกดดันโดยมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซี

ไม่เพียงแต่สถาบันกวดวิชาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบรรดาผู้ปกครองที่กำลังวิตกกังวลไม่ต่างกันด้วย ทว่าพวกเขาก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปเช่นกัน

แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีก็เริ่มกลายเป็นที่รู้จักของคนหมู่มาก ไม่ใช่สถาบันไร้ชื่อเหมือนดั่งเคยอีกต่อไปแล้ว

ช่วงนี้จางฮั่นหลินยุ่งมากจนไม่มีเวลาพักผ่อน ทำให้น้ำหนักของเขาลดลงเล็กน้อย

แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงมีเรี่ยวแรง!

ถึงเขาจะยุ่งแต่เขาก็มีพลังเต็มเปี่ยม จนพอเขากลับไปบ้าน ภรรยาของเขาถึงกับคิดว่าเขาเป็นไฮเปอร์ไทรอยด์

แม้ว่าเขาจะเหนื่อย แต่จางฮั่นหลินก็ตื่นเต้นมาก มหาวิทยาลัยของเขากำลังเดินทางไปในทิศทางที่ดี ไม่มีที่ว่างเหลือไว้สำหรับความล้มเหลวอีกต่อไปแล้ว ซึ่งนั่นทำให้เขาต้องทำงานหนักขึ้นด้วย

ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่ยุ่ง ทั้งมหาวิทยาลัยเองก็กำลังยุ่งเช่นกัน ปกติแล้วหลังจากที่มีการก่อตั้งวิทยาเขตใหม่ขึ้น อาคารเทคนิคการแพทย์ต้องพร้อมเปิดให้ใช้งานแล้ว แต่เพราะมีการก่อตั้งหน่วยวิจัยสัตว์ทดลองขึ้นด้วย ทำให้ทางมหาวิทยาลัยเตรียมการต่างๆ ไม่ทัน อาคารหลังนั้นจึงถูกใช้เป็นหน่วยวิจัยสัตว์ทดลองทันที

นั่นทำให้ไป๋เยี่ยผู้อยู่ในฐานะผู้นำทางด้านวิชาการของมหาวิทยาลัย ผู้อำนวยการกิตติมศักดิ์ และตำแหน่งอื่นๆ อีกมากมายกลายเป็นคนว่างคนหนึ่ง…

ดีตรงเป็นผู้อำนวยการกิตติมศักดิ์นี่แหละ!

ตอนนี้ยังไม่มีอะไรที่น่าเป็นกังวลนัก แน่นอนว่าไป๋เยี่ยเองก็ยังไม่ต้องกังวลอะไร เพราะทุกอย่างยังอยู่ในขั้นตอนเตรียมการ เขาจึงไม่จำเป็นต้องยื่นมือไปช่วยเลย

ในขณะที่ผู้อำนวยการผู้ทรงอิทธิพลอย่างจางฮั่นหลินต้องทำหน้าที่หลายอย่างจนหัวแทบหมุน

ไป๋เยี่ยรู้สึกละอายใจเล็กน้อยจึงพยายามเข้าไปช่วย ทว่าเมื่อไปถึงหน้างานจริงๆ เขากลับไม่รู้อะไรเลย

สุดท้ายก็ได้แต่ยืนดูเฉยๆ

ทั้งเอ็นเดอร์สและอวี๋ลี่พักอยู่ที่มหาวิทยาลัยอีกหนึ่งคืนก่อนจะเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น

ก่อนออกเดินทาง ไป๋เยี่ยจึงไปส่งเอ็นเดอร์สพร้อมกับมอบรายงานผลสรุปให้กับเอ็นเดอร์ส เพื่อที่เขาจะได้นำมันไปตีพิมพ์

เอ็นเดอร์สอ่านรายงานทั้งรอยยิ้ม “คุณสนใจมาเป็นบรรณาธิการให้วารสารของเราไหม”

ไป๋เยี่ยรีบส่ายหัวปฏิเสธ เขายังมีเรื่องที่ต้องทำหลังจากจัดการเรื่องหนูทดลองเสร็จอีกหลายเรื่อง

ขืนยังเอาแต่ยุ่งเรื่องหนูทดลอง อาจารย์ที่ปรึกษาคงจะไล่เขาออกแน่นอน

หลังจากที่ไป๋เยี่ยกลับมาถึงหอพักในตอนเย็น เขาก็ได้รับสายจากใครบางคน

สายจากรุ่นพี่ของเขา หลีว์เฟิ่งเซียนนั่นเอง

“ดีครับรุ่นพี่ ว่างแล้วเหรอครับ”

ไป๋เยี่ยจำได้ว่าหลีว์เฟิ่งเซียนเพิ่งจะเข้าไปทำงานวิจัยในโครงการของรุ่นพี่ก่อนหน้านี้

หลีว์เฟิ่งเซียนหัวเราะเสียงดัง “ก็ไม่ได้ว่างหรอก แต่อาจารย์บอกให้พี่โทรบอกนายว่ามหา’ลัยเราจะเปิดเทอมเดือนกันยายนนี้น่ะ”

ไป๋เยี่ยถึงกับชะงัก กันยายนนี้เหรอ ลืมไปได้ไง

แต่เรื่องที่อาจารย์ฝากมาบอกมันไม่ควรเป็นเรื่องแค่นี้หรือเปล่า!

ไป๋เยี่ยนิ่งไป อาจารย์คงหมายความว่าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว อย่ามัวแต่เสียเวลา รีบไปทำสิ่งที่ต้องทำได้แล้วสินะ!

ไป๋เยี่ยยิ้มแห้ง “แล้วอาจารย์ได้ฝากอะไรมาอีกไหมครับ”

หลีว์เฟิ่งเซียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “เมื่อวานฉันก็ไปหาอาจารย์มาเหมือนกันน่ะ ตอนไปส่งรายงานอาจารย์ก็พูดขึ้นมาว่า ให้ตั้งใจทำสิ่งที่ต้องทำก่อน ไม่ใช่เอาแต่เล่นกับหนูทดลอง ผสมอาหารหนูไปวันๆ แบบใครบางคน…”

ไป๋เยี่ยนิ่งไป “จริงเหรอ”

หลีว์เฟิ่งเซียนได้ยินน้ำเสียงกังวลของไป๋เยี่ยก็หัวเราะออกมา “เปล่า พี่ล้อเล่น อาจารย์ดูมีความสุขมากพอได้ยินว่านายกำลังทำเรื่องใหญ่โตอยู่ ทั้งยังบอกว่านายน่ะอุทิศตนเพื่องานวิจัยจริงๆ อ้อ แล้วก็อาจารย์ฝากมาบอกนายว่า ‘จงเลือกเส้นทางชีวิตอย่างระมัดระวัง สุดท้ายแล้วเรี่ยวแรงของคุณก็มีอยู่อย่างจำกัด จงใช้เวลาให้คุ้มค่าไปกับการทำสิ่งที่ควรทำ’ อันนี้พูดจริงละนะ”

ไป๋เยี่ยค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย เขาคงไม่อยากทำให้อาจารย์รู้สึกแย่กับเขาก่อนเปิดเทอมหรอก

อย่างไรก็ตาม ทั้งอาจารย์หลิวและศาสตราจารย์ถูก็เคยพูดแบบนี้ทั้งคู่ คนเรามีขีดจำกัด จงอย่าทำอะไรเกินตัว ต้องเลือกยึดมั่นกับอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น

หลังจากที่ไป๋เยี่ยวางสายโทรศัพท์ เขาก็หันกลับมาครุ่นคิดกับตนเอง เส้นทางที่เขาจะเลือกเดินต่อไปนี้ มันแตกต่างจากเส้นทางอื่นๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่มีวันเบี่ยงเส้นทางไปเด็ดขาด

เหมือนกับที่อาจารย์ทั้งสองท่านได้บอกเขาไว้ ไป๋เยี่ยคิดได้ดังนั้นก็เปิดดูแถบภารกิจของตนเอง เขายังมีภารกิจสองอย่างที่ต้องทำ ภารกิจแรกคือต้องวิเคราะห์และวิจัยส่วนผสมของยาเม็ดตันชีหัวเซวี่ยให้เสร็จ

ว่าแต่ตอนนี้ทักษะการสกัดและแยกสารของเราถึงเลเวลสองหรือยังนะ คงต้องลองดูสักหน่อยแล้ว!