ตอนที่ 123 เป้าหมายขององค์ชายเก้า (4)

หวนคืนชะตาแค้น

“ขอบพระทัยเพคะ ส่วนหม่อมฉันนั้นจนปัญญาที่จะเชื่อมั่นในตัวองค์ชายเก้าได้เลยแม้เพียงสักนิด” มู่ชิงอีกล่าวอย่างไม่ไว้น้ำใจ ไม่ใช่ว่านางอยากยั่วโมโหหรงจิ่น แต่แค่มองจากมุมบุตรสาวอนุแก่งแย่งกับบุตรสาวภรรยาเอก หรงจิ่นไม่มีข้อได้เปรียบเลยจริงๆ ไม่ว่าจะชื่อเสียงอำนาจ เกรงว่าแม้แต่อิทธิพลบารมีในราชสำนักของหรงจิ่นเองก็ยังห่างชั้นจากพวกพี่น้องอยู่ไกลโข สิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นข้อได้เปรียบเพียงอย่างเดียวของหรงจิ่นก็คงเป็นเพียง ‘ศัตรูอยู่ในที่ลับเราอยู่ในที่แจ้ง[1]’ ไม่มีใครคิดจะป้องกันเขาเลย นอกเสียจากว่าชั่วชีวิตนี้เขาจะไม่คิดลงมือ ขอแค่เข้าไปร่วมด้วยย่อมถูกคนสังเกตเห็นเข้าสักวัน กระทั่งพอถึงตอนนั้นอาจจะดึงดูดให้คนมากมายพุ่งเป้ามาจู่โจมเขาแทน ในเมื่อหรงจิ่นเป็นคนโปรดปรานของฮ่องเต้นแคว้นเย่ว์เลยทำให้เหล่าองค์ชายองค์หญิงมากมายไม่พอใจเขามาโดยตลอด

หรงจิ่นมองมู่ชิงอีด้วยท่าทีน่าสงสาร “ชิงชิงช่างใจร้ายนัก”

มู่ชิงอีกลอกตาใส่ไปหลายทีจนคร้านจะทำใส่แล้วเลยฟุบลงข้างโต๊ะ จ้องมองการแสดงขององค์ชายหรงจิ่นด้วยท่าทีไร้อารมณ์ กระทั่งองค์ชายหรงจิ่นเบื่อหน่ายไปเองและรู้ว่าวันนี้มู่ชิงอีเหนื่อยมาไม่น้อยเลยหยัดกายขอตัวกลับ

“ถ้าสุดท้ายหม่อมฉันไม่ยินยอม ท่านจะทำเช่นไรเพคะ” มู่ชิงอีเบิกตามองคนตรงประตูแล้วเอ่ยถามเสียงสงบ

องค์ชายหรงจิ่นหันมายิ้มให้ กล่าว “อืม…แต่ข้าคิดว่าชิงชิงต้องตอบรับแน่นอน”

ยามค่ำคืนมืดมิดที่เงียบสงัดเช่นกัน ทว่าในจวนกงอ๋องกลับไม่ได้เงียบสงบและผ่อนคลายอย่างจวนตระกูลจัง

ในเรือนของจูหมิงเยียน พระชายาผิงหนานเอ่ยปลอบจูหมิงเยียนที่กำลังร้องไห้สะอื้นเสียงต่ำอยู่บนเตียงด้วยเสียงเล็กแหลม ปีนี้พระชายาผิงหนานยังอายุไม่ถึงสี่สิบ ถึงแม้จะผ่านช่วงเวลาที่งดงามที่สุดของหญิงสาวมาแล้ว ทว่าวันเวลาไม่ได้ทิ้งริ้วรอยบนตัวนางมากนัก นางยังคงสดใสอิ่มเอิบงดงามชวนให้หลงใหลเช่นเคย ไม่แปลกที่จูเปี้ยนถึงโปรดปรานพระชายาผู้นี้คนเดียวและไม่สนใจเหล่าสนมพวกนั้นเลยสักนิด

เมื่อเห็นบุตรสาวร้องไห้เสียงโศกเศร้า พระชายาผิงก็อดถอนหายใจอย่างปวดใจไม่ได้ แต่เรื่องครั้งนี้จูหมิงเยียนทำผิดไปจริงๆ เมื่อครู่พอจูเปี้ยนมาถึงก็ก่นด่านางต่อหน้ากงอ๋องอย่างแรงไปยกหนึ่งโดยไม่ไตร่ตรองด้วยซ้ำ ตั้งแต่เล็กจนโตจูหมิงเยียนไม่เคยถูกท่านพ่อตวาดด่าอย่างเกรี้ยวโกรธมาก่อน ครั้นถูกตวาดใส่อย่างกะทันหันรวมกับหลายวันมานี้ที่รับเรื่องน้อยเนื้อต่ำใจมาไม่น้อย พอได้ร้องไห้จึงหยุดไม่อยู่

“พอเถิดเยียนเอ๋อร์” พระชายาผิงหนานกล่าวเสียงนุ่มนวล

“ท่านแม่…” จูหมิงเยียนโผเข้าไปในอ้อมกอดของพระชายาผิงหนานแล้วร้องไห้เสียงสะอื้น “เหตุใดท่านพ่อถึงต้องว่าข้าด้วย ไม่ใช่ความผิดข้าสักหน่อย! ฮือๆ…ทั้งๆ ที่เรื่องครั้งก่อนก็ไม่ใช่ความผิดของข้า ทำไม…ทำไมข้าต้องยกท่านพี่ให้หลี่จืออี๋ด้วย ท่านแม่…พวกเขาเอาแต่เข้าข้างหลี่จืออี๋ นังสารเลวนั่น…นางทำร้ายข้า!”

“เจ้าเด็กโง่” พระชายาผิงหนานยกมือลูบเส้นผมที่ยุ่งเหยิงอย่างแผ่วเบาแล้วเอ่ย “อย่าโทษที่พ่อเจ้าว่าเจ้าเลย เรื่องนี้เจ้าเองก็กระทำการบุ่มบ่ามเกินไป ถ้าสำเร็จก็ว่าไปอย่าง เจ้าดูตอนนี้สิ…เจ้ากลายเป็นหนูวิ่งบนถนนที่ทุกคนต่างพากันร้องให้ตี[2] ทว่าคุณหนูสามสกุลหลี่กลับเป็นผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งยังเล่าลือกันใหญ่ว่าเป็นสตรีมีคุณธรรมยอมเป็นฝ่ายโอนอ่อนให้” ที่จูหมิงเยียนคิดจะจัดการหลี่จืออี๋นั้น พระชายาผิงหนานรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่ความผิดอยู่ที่จูหมิงเยียนไม่วางแผนให้ดีแล้วกลายเป็นว่าขโมยไก่ไม่สำเร็จดันมาเสียข้าวสารอีกกำมือ[3]เสียได้ ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเขาเลี้ยงเด็กคนนี้จนนิสัยเสียมาตั้งแต่เด็ก พระชายาผิงหนานลอบถอนหายใจอย่างนึกกังวลอยู่บ้าง

เมื่อถูกผู้เป็นมารดาชี้นำสักพัก จูหมิงเยียนถึงค่อยๆ ได้สติกลับมา พอนึกถึงสายตาของมู่หรงอวี้ตอนกลับจวนมาเมื่อครู่ จูหมิงเยียนก็อดหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้ นางดึงชายผ้าของพระชายาผิงหนานเอาไว้แน่นแล้วเอ่ยด้วยท่าทีหวาดผวาว่า “ท่านแม่ ข้า…ข้าควรทำเช่นไรดี ท่านพี่ ท่านพี่จะ…” นึกถึงแววตาของมู่หรงอวี้ขึ้นมา จูหมิงเยียนไม่คิดสงสัยเลยสักนิดว่าตอนนั้นมู่หรงอวี้คิดจะฆ่าตน

พระชายาผิงหนานเองก็ขมวดคิ้วอย่างกังวลใจ ถึงจะบอกว่ากงอ๋องยอมโอนอ่อนให้จูหมิงเยียนเพราะเห็นแก่หน้าของจวนผิงหนานจวิ้นอ๋อง แต่เรื่องที่จูหมิงเยียนทำในครั้งนี้ร้ายแรงเกินไปจริงๆ อีกอย่างถึงแม้สกุลหลี่จะไม่ได้มีเชื้อพระวงศ์แต่ก็ใช่พวกที่จะหาเรื่องได้ง่ายๆ พอเห็นท่าทีหวาดผวาของบุตรสาว พระชายาผิงหนานก็ลูบมือพลางปลอบใจเสียงอ่อนโยน “อย่ากลัวไปเลย ท่านพ่อของเจ้าจะจัดการแทนเจ้าเอง กงอ๋อง…กงอ๋องย่อมเห็นแก่หน้าท่านพ่อของเจ้าอยู่แล้ว เพียงแต่วันหลังเจ้าห้ามทำตัวเอาแต่ใจเช่นนี้อีกเด็ดขาด เดี๋ยวรอท่านพ่อของเจ้ากับกงอ๋องออกมาจากห้องหนังสือแล้ว เจ้าก็ไปยอมรับผิดกับกงอ๋องเสีย”

จูหมิงเยียนอยากบอกว่าตนไม่ผิด แต่เมื่อเห็นสีหน้าแน่วแน่ของพระชายาผิงหนานเลยทำได้แค่กลืนความคิดของตัวเองลงไปอย่างไม่พอใจนัก

ตกดึก การสนทนาระหว่างมู่หรงอวี้และผิงหนานจวิ้นอ๋องถึงสิ้นสุดลง มู่หรงอวี้ที่มีสีหน้าขรึมเย็นชาในตอนแรกนั้นดีขึ้นไม่น้อยหลังจากออกมาจากห้องหนังสือ ทว่าผิงหนานจวิ้นอ๋องกลับสีหน้าย่ำแย่อยู่บ้าง คิดว่าคงเพราะเรื่องของจูหมิงเยียนเลยต้องยอมให้มู่หรงอวี้ไปไม่น้อย

ทันทีที่ออกมา พระชายาผิงหนานก็พาตัวจูหมิงเยียนเดินเข้ามา ดูท่าทางไม่รู้ว่ายืนมานานเท่าไรแล้ว

“พระชายา เหตุใดพวกเจ้าถึงมายืนตรงนี้เล่า” เมื่อจูเปี้ยนเห็นพระชายาผิงหนานยืนอยู่ใต้แสงจันทร์ก็รีบพุ่งเข้าไปหากุมมือทั้งสองของนางไว้แล้วถามเสียงเบาด้วยน้ำเสียงปวดใจอย่างยากจะปิดไว้ได้ พระชายาผิงหนานยิ้มบางๆ แล้วเอ่ย “ก็ไม่ใช่เพราะเยียนเอ๋อร์หรือ ครั้งนี้เยียนเอ๋อร์ทำผิดไปแล้ว นางอยากมาร้องขอท่านอ๋องให้ยกโทษให้นาง และโปรดท่านอ๋องอภัยให้ด้วย”

จูหมิงเยียนเดินเข้ามาและส่งสายตาให้มู่หรงอวี้ด้วยความทุกข์ใจพลางกัดริมฝีปาก ครั้นเห็นว่ามู่หรงอวี้ไร้ท่าทีซึ้งใจ ฉับพลันจูหมิงเยียนเลยกัดฟันคุกเข่าลงพื้นแล้วเอ่ยเสียงเศร้าว่า “ท่านพี่ เยียนเอ๋อร์สำนึกผิดแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเยียนเอ๋อร์เลอะเลือนไปชั่วขณะ…แต่ทั้งหมดนี้ก็เพราะเยียนเอ๋อร์ห่างจากท่านพี่ไม่ได้ เยียนเอ๋อร์ไม่กล้าทำอีกแล้ว โปรดท่านพี่อภัยให้เยียนเอ๋อร์กับเรื่องครั้งนี้ด้วยเถิด”

เดิมทีก็ได้คุยตกลงกับจูเปี้ยนเรียบร้อยแล้ว มู่หรงอวี้จึงย่อมไม่ทำให้จูหมิงเยียนลำบากใจต่อหน้าจูเปี้ยนและพระชายาผิงหนาน เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวยื่นแขนดึงตัวจูหมิงเยียนขึ้นมา “ลุกขึ้นเถิด”

จูหมิงเยียนนึกดีใจขึ้นมาชั่วขณะ “ท่านพี่?”

มู่หรงอวี้เอ่ยเสียงเรียบ “วันหลังอย่าก่อเรื่องวุ่นวายอีก พรุ่งนี้ไปขอโทษคุณหนูตระกูลหลี่ที่จวนตระกูลหลี่กับข้า”

ว่าอย่างไรนะ จูหมิงเยียนชะงักไป พอนางจะเปิดปากพูดหางตาก็เหลือบไปเห็นพระชายาผิงหนานที่ยืนพิงกายจูเปี้ยนพร้อมจับจ้องมองตรงมาที่ตนพลางส่ายศีรษะเล็กน้อย

พอเห็นสัญญาณจากท่านแม่ ต่อให้จูหมิงเยียนจะไม่เต็มใจก็ทำได้แค่พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เห็นนางเป็นเช่นนี้ สายตาของมู่หรงอวี้จึงอบอุ่นขึ้นมาไม่น้อยแล้วพยักหน้ากล่าว “เช่นนั้นก็ดี วันนี้เจ้าเองก็เหนื่อยแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”

“เพคะ หมิงเยียนขอตัวเพคะ” จูหมิงเยียนมองมู่หรงอวี้ด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์แวบหนึ่งแล้วทำได้แค่ถอยออกไปแต่โดยดี

จูหมิงเยียนรู้สึกว่าการไปขอโทษถึงที่เป็นเรื่องไม่เป็นธรรมนัก แต่คนที่รู้สึกโกรธและได้รับความไม่เป็นธรรมมากกว่าคือคนสกุลหลี่ เดิมทีตระกูลหลี่ไม่ได้มีใจคิดจะยุ่งกับท่านอ๋องคนไหนเลย แต่เพราะฮ่องเต้ทรงประทานสมรสพระราชทานมา พวกเขาย่อมขัดไม่ได้ ทว่าบัดนี้บุตรสาวของตนยังไม่ทันได้อภิเษกเข้าจวนไปก็ถูกพระชายารองทำร้ายเช่นนี้แล้ว อีกทั้งยังมีเหล่าผู้มีอำนาจแทบทั่วทั้งเมืองหลวงเป็นพยานรู้เห็นจับได้ทั้งคนทั้งของ กงอ๋องคิดจะชดใช้ให้คนสกุลหลี่โดยการพาพระชายารองมาขอโทษถึงจวนอย่างไม่เต็มใจก็ถือว่าเป็นอันจบแล้วอย่างนั้นหรือ บนโลกนี้มีเรื่องที่ง่ายดายขนาดนี้เชียวหรือ เป็นเพราะแผนการของจูหมิงเยียนไม่สำเร็จ ถ้าเกิดนางทำสำเร็จขึ้นมา ต่อให้บุตรสาวของตนตายเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์จริงๆ ก็เกรงว่าคงมีคำประณามไม่น้อยที่สาดด่าทอนาง

คิดว่าสกุลหลี่เป็นตระกูลผู้มีความรู้แล้วโกรธไม่เป็นจริงๆ อย่างนั้นหรือ

————————–

[1]ศัตรูอยู่ในที่ลับเราอยู่ในที่แจ้ง เป็นสำนวนแปลว่ายากที่จะระวังตัวได้

[2]หนูวิ่งบนถนนที่ทุกคนต่างพากันร้องให้ตี เป็นสำนวนแปลว่าใครๆ ก็พากันรังเกียจ

[3]ขโมยไก่ไม่สำเร็จดันมาเสียข้าวสารอีกกำมือ เป็นสำนวนแปลว่ากระทำการไม่สำเร็จแล้วยังลามมาเสียเรื่องอื่นอีกต่างหาก

ตอนต่อไป