ตอนที่ 95 เรียนรู้เพื่อเติบโต

หลังจากมู่อี้จากไปแล้ว ชิวเยวี่ยถงก็ออกคำสั่งให้พวกคนที่กำลังซุ่มโจมตีอยู่ก่อนหน้านี้ถอนกำลังออกไปทันทีและตัวนางเองก็รีบกลับไปที่สวนเล็กๆของตนเอง

แต่หลังจากได้ก้าวเข้ามาในสวนแห่งนี้ร่างกายของชิวเยวี่ยถงก็รู้สึกอ่อนแรงขึ้นมาทันทีและนางกำลังจะหมดสติไปในตอนนี้

ชิวจูที่ยืนอยู่ด้านหลังนางก็รีบวิ่งเข้ามาประคองชิวเยวี่ยถงอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่นางจะได้พูดอะไรออกมานั้นซุนยี่ก็ก้าวออกมาจากมุมมืดภายในสวนแห่งนี้ทันที

“ท่านหมอซุน นายหญิง …” ชิวจูไม่รู้ว่าทำไมซุนยี่ถึงอยู่ที่นี่และนางก็รู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกันเมื่อได้เห็นซุนยี่ในตอนนี้

“วางใจเถอะ นายหญิงของเจ้าแค่หมดพลังไปเท่านั้น ให้นางพักผ่อนสัก 2-3 วันก็น่าจะดีขึ้นแล้ว” ซุนยี่เดินมาหาชิวเยวี่ยถงจากนั้นก็จับมือของนางขึ้นมาพร้อมพูดกับชิวจู

เมื่อได้ยินคำพูดของซุนยี่ ชิวจูก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที

หลังจากชิวจูประคองชิวเยวี่ยถงกลับไปพักผ่อนที่ห้องแล้ว นางก็รีบวิ่งไปหาซุนยี่และยื่นยันต์สะกดวิญญาณที่ได้รับมาจากมู่อี้ให้กับซุนยี่ทันที

“เช่นนั้นพวกเราก็ช่วยน้องสาวของเจ้าได้แล้ว” ซุนยี่รับยันต์สะกดวิญญาณไปและตรวจสอบดู แต่ชิวจูที่กำลังมีความสุขอยู่ในตอนนี้ไม่ได้สังเกตเห็นประกายแห่งความโดดเดี่ยวและความปรารถนาในสายตาของซุนยี่เลย

หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นภายในบ้านที่น้องสาวของตนเองกำลังพักผ่อนอยู่ชิวจูก็ไม่อาจรับรู้ได้ แต่เมื่อนางเข้าไปในบ้านอีกครั้งหนึ่งนั้นนางก็พบว่าใบหน้าของน้องสาวตนเองนั้นเริ่มมีสีชมพูแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแม้แต่ลมหายใจก็ยังสงบนิ่งมากยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดว่ามันแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

เมื่อได้เห็นเช่นนี้ชิวจูก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที

ในตอนที่มู่อี้กลับเข้าไปในเมืองนั้น ซูจงซานและซูจินหลุนเป็นสองคนแรกที่รู้สึกตกตะลึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นว่ามู่อี้ได้รับบาดเจ็บซูจงซานก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมาทันที

โชคดีที่หลังจากได้พักผ่อนเพียงพอพละกำลังของมู่อี้ก็ค่อยๆฟื้นฟูกลับมาและก่อนหน้านี้เขายังได้กำจัดเจตจำนงแห่งดาบที่หลงเหลืออยู่ในบาดแผลออกไปแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงรอให้บาดแผลหายดีเท่านั้น เสียเวลาพักฟื้นไปหน่อยก็ไม่เป็นอะไรหรอก

แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อซูจงซานได้เห็นมู่อี้ในวันต่อมา เขาก็ยังรู้สึกผิดและคิดว่าทั้งหมดมันเป็นเพราะเขา ถ้าหากเขาห้ามไม่ให้มู่อี้กลับขึ้นไปบนภูเขาอีกครั้งในตอนนั้นมู่อี้ก็คงไม่ต้องบาดเจ็บเช่นนี้

ในเรื่องนี้มู่อี้ไม่ได้โทษซูจงซานเลยเพราะเรื่องราวของกลุ่มโจรภูเขานั้นเขาเป็นคนเริ่มต้นเขาก็ต้องเป็นคนจบเรื่องนี้ด้วยตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นการที่เขาได้รับบาดเจ็บก็ต้องโทษฝีมือที่อ่อนด้อยของเขาเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับซูจงซานเลย

โชคดีที่ทุกอย่างจบลงไปได้ด้วยดี เขาสังหารหลีหู่ได้สำเร็จและถือเป็นการเรียกคืนศักดิ์ศรีของเขาและตระกูลซูกลับมา เขาเชื่อว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้คงไม่กระจายไปมณฑลหลินอานในช่วงเวลาสั้นๆนี้อย่างแน่นอน ในตอนที่ตระกูลซูอยากจะเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปเขาก็คงออกจากที่นี่ไปแล้ว

สำหรับเขาแล้วเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นก็ถือเป็นประโยชน์มากมาย

แต่จริงๆแล้วเขาก็ไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่นัก เพราะที่อยู่ของเขาคือภูเขาฟุเนียวไม่ใช่มณฑลหลินอานแห่งนี้

เหตุผลที่เขาไม่ลังเลที่จะทำลายหมู่บ้านของกลุ่มโจรภูเขาในครั้งนี้และยังสังหารหลีหู่ไปนั่นก็เพราะว่าเขามีแผนการอยู่แล้วในอนาคต เพราะว่าเขาใช้เวลาในการก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจนานเกินไป ตราบใดที่เขาสามารถก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 ได้แล้วเมื่อถึงตอนนั้นเขาก็พร้อมที่จะออกเดินทางเพื่อตามหาเรื่องราวต่างๆของท่านปู่

เมื่อถึงตอนนั้นถ้าหากตระกูลซูเกิดปัญหาขึ้นมาเขาก็คงไม่สามารถรีบเดินทางกลับมาหาเพื่อช่วยเหลือได้

แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านของกลุ่มโจรภูเขาในครั้งนี้ทำให้หลายๆคนเริ่มตระหนักถึงตัวตนของเขาและย่อมรู้ว่าตระกูลซูมีผู้ที่แข็งแกร่งคอยช่วยเหลืออยู่ การที่พวกเขาจะเข้ามาล่วงเกินนั้นตระกูลซูก็ต้องคิดให้มากยิ่งขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็จะสามารถลดปัญหาที่เกิดขึ้นไปได้มาก

นี่คือสิ่งเดียวที่มู่อี้สามารถกระทำเพื่อช่วยเหลือตระกูลซูได้ อย่างน้อยมันก็เป็นการใช้ตัวตนของเขาให้เป็นประโยชน์

มู่อี้ไม่ชอบการที่เขาต้องติดหนี้บุญคุณคนอื่น ฉีต้าช่วยทำแผลให้กับเขาเขาจึงมอบยันต์ให้กับฉีต้าเป็นการตอบแทน

ตระกูลซูช่วยเหลือและให้ความเคารพเขามาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงต้องช่วยเหลือตระกูลซูตอบแทน

มู่อี้รีบเดินทางกลับไปที่ภูเขาฟุเนียวทันทีและเขาไม่อยากเสียเวลาในมณฑลหลินอานไปมากกว่านี้ แม้ว่าด้วยจำนวนคนที่มากกว่าทำให้มณฑลหลินอานจึงมีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่าเมืองฟุเนียวอย่างไม่ต้องสงสัยแต่มู่อี้ก็ไม่ได้ชื่นชอบสถานที่ที่มีคนเยอะเช่นนี้ เขาชอบที่จะอาศัยอยู่คนเดียวบนภูเขาฟุเนียวมากกว่า

ส่วนข้อตกลงที่เขาให้ไว้กับท่านผู้พิพากษานั้น มู่อี้ไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้มากนักเพราะเขาเองก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหาคนที่สามารถซ่อมแซมอาวุธวิญญาณได้เร็วขนาดนี้แม้ว่ามันจะเป็นอาวุธวิญญาณระดับแรกเริ่มก็ตาม

ยิ่งไปกว่านั้นการต่อสู้กับชิวเยวี่ยถงครั้งนี้ยังทำให้ผืนธงราชันย์แห่งวิญญาณเสียหายมากยิ่งขึ้น ดังนั้นพลังของธงราชันย์แห่งวิญญาณจึงลดลงไปมากเลยทีเดียว

ในตอนนี้ถ้าหากเขายังไม่สามารถซ่อมแซมธงราชันย์แห่งวิญญาณได้ เขาก็คงทำได้เพียงปล่อยให้มันเป็นที่พักชั่วคราวของเนี่ยนหนิวเอ้อร์เท่านั้น

ไม่มีใครมารบกวนการพักผ่อนของมู่อี้ในตอนนี้ แต่ซูจงซานก็มาเยี่ยมเยียนเขาครั้งหนึ่งและนำสมุนไพรมามอบให้เป็นจำนวนมาก แม้แต่โสมที่มีอายุหลายร้อยปีก็ยังมีซึ่งทำให้มู่อี้รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของการได้ครอบครองสิ่งที่หรูหรา

เมื่อก่อนนั้นเมื่อเขาติดตามท่านปู่ออกเดินทางไปยังที่ต่างๆอย่าว่าแต่สมุนไพรที่ล้ำค่าเช่นนี้เลย บางครั้งแม้แต่เงินจะจ่ายก็ยังไม่มีและมีหลายครั้งที่เขาต้องอดทนต่อความหิว

แต่ในตอนนี้เขากลับได้รับทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่ให้เขามีความสุขได้อย่างไรกัน ในทางกลับกันเขาก็คิดถึงช่วงเวลาเก่าๆในตอนนั้น แม้ว่ามันต้องเจ็บปวดและทรมานแต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีท่านปู่ที่อยู่เคียงข้าง

แน่นอนว่าการต่อสู้กับชิวเยวี่ยถงนั้นไม่ได้มีแต่ผลเสียอย่างเดียว อย่างน้อยมันก็ทำให้ประสบการณ์ในการต่อสู้ของเขาเพิ่มมากขึ้นและมู่อี้ก็ได้เห็นผู้บ่มเพาะในทางยุทธเป็นครั้งแรก

เมื่อเวลาผ่านไปมู่อี้ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของเขาเริ่มแข็งแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

มันเหมือนกับน้ำที่กำลังเดือด หากเปรียบร่างกายของเขาเป็นน้ำที่กำลังต้มในตอนนี้ผิวน้ำก็เริ่มมีฟองอากาศปรากฏขึ้นมาให้เห็นแล้ว เมื่อได้รับความร้อนครั้งสุดท้ายน้ำก็จะเดือดทันที

และมู่อี้ก็ขาดความร้อนครั้งสุดท้ายที่ว่านั้นที่จะทำให้เขาเข้าสู่ระดับความยากแห่งการฝึกฝนจิตใจขั้นที่ 2 ได้

แต่ถึงอย่างนั้นมู่อี้ก็ไม่ได้เร่งรีบแต่อย่างใด อย่างแรกก็เพราะว่าร่างกายของเขายังไม่หายดีและในตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม

อย่างที่สองคือหนทางที่จะเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 นั้นเขาต้องเป็นคนหาด้วยตนเองแม้ว่าเขาจะได้ศึกษามาจากบันทึกเจี่ยเหรินบ้างแล้วก็ตาม

ดังนั้นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนี้เขาไม่จำเป็นต้องเร่งรีบเลย แค่ทำสภาพจิตใจของตนเองให้ดีที่สุดก็พอแล้ว

ในตอนนี้ช่วงเวลาที่มู่อี้รอคอยมาโดยตลอดก็กำลังจะมาถึงแล้ว นั่นคือวันปีใหม่

ในวันปีใหม่นั้นซูจินหลุนพาคนขึ้นมาบนภูเขาและตกแต่งวัดที่มู่อี้อาศัยอยู่ใหม่ทั้งหมด แม้ว่ามู่อี้จะคิดว่ามันไม่จำเป็นแต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธความปรารถนาดีของซูจินหลุนแต่อย่างใดและยังบอกให้ประดับโคมไฟสีแดงอีก 2 ดวงที่ทางเข้าวัดแห่งนี้อีกด้วย

และซูจินหลุนก็ได้เชิญมู่อี้หลายครั้ง เขาหวังว่ามู่อี้จะยอมไปเข้าร่วมงานปีใหม่ของตระกูลซูได้ แต่มู่อี้ก็ปฏิเสธคำขอนี้อย่างสุภาพ นอกจากที่นี่จะเป็นบ้านของเขาแล้วในตอนนี้เขายังมีน้องสาวอีกคนหนึ่งด้วยนั่นก็คือ เนี่ยนหนิวเอ้อร์

ในปีนี้แม้ว่าท่านปู่จะไม่อยู่กับเขาอีกต่อไป แต่เขาก็มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบอีกมาก

ในอดีตที่ผ่านมาตอนที่เขาอยู่กับท่านปู่นั้นแม้ว่าต้องอดอยากอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อถึงวันปีใหม่ท่านปู่จะซื้อเสื้อผ้าตัวใหม่ให้กับเขาอยู่เสมอและในวันนั้นเขาก็จะได้ทานอาหารแบบ “หรูหรา” พร้อมกับดื่มสุราอีกด้วย

ในตอนนั้นมู่อี้ไม่เคยเข้าใจความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นในสายตาของท่านปู่มาก่อนเลย แต่เมื่อท่านปู่จากไปแล้วเขาก็เพิ่งจะมาเข้าใจเรื่องนี้

ในปีนี้มู่อี้ได้ทำเกี๊ยวขึ้นมาด้วยตนเอง แม้ว่ามันจะดูน่าเกลียดมากขนาดไหนและยังมีเนี่ยนหนิวเอ้อร์ที่คอยสร้างปัญหาให้อยู่ตลอดเวลา แต่มู่อี้ก็รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

“ตู้ม!”

เสียงพลุดังขึ้นมาบนท้องฟ้าเหนือวัดแห่งนี้

“ท่านปู่ ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านแล้วขอรับ”