บทที่ 151 รู้สึกเหมือนเป็นพี่ชายกับน้องชาย
“ส…” ฉินปู้เข่อจ้องไปที่ประตูอย่างหวาดระแวง ขณะที่นางกำลังจะถามว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ชายที่อยู่ข้างนางก็ปิดปากของนางและดึงตัวเข้ามาในอ้อมแขนของเขา
“ชู่~ อย่าเพิ่งพูดแล้วไปนอนเสีย” หมี่โม่หรู่ตะแคงข้างแล้วหลับตา จับนางไว้ในอ้อมแขนของเขาและดึงผ้าห่มมาคลุมนางให้มิดชิดจนถึงศีรษะ
ในเวลานี้เมื่อมองไปด้านนอกของเตียง มีเพียงหมี่โม่หรู่เท่านั้นที่นอนตะแคงและสามารถเห็นได้ ส่วนฉินปู้เข่อไม่สามารถมองเห็นได้เลย
“มีคนแอบเปิดประตู” ฉินปู้เข่อเปิดผ้าห่มเป็นช่องเล็ก ๆ และกระซิบ
หมี่โม่หรู่ส่งเสียง ‘อืม’ และไม่พูดอะไร แล้วใช้มือใหญ่กดนางลงไปเพื่อซุกตัวนางเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้ง
แอ๊ด~
กลอนประตูถูกเปิดออกจนหมด และประตูห้องก็ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเล็กน้อย แล้วชายในชุดคลุมสีดำก็แอบเข้ามา
ฉินปู้เข่อแทบไม่หายใจออก และดวงตาของนางก็เบิกโพลงอยู่ในผ้าห่ม แม้ว่าตอนนี้นางจะรู้ว่าคนผู้นี้ถูกหมี่โม่หรู่ปล่อยให้เข้ามาโดยเจตนา แต่นางก็ไม่อาจยับยั้งความวิตกกังวลและความตื่นเต้นของตัวเองได้
เขาจะเริ่มการต่อสู้กันในภายหลังหนักหนาเพียงใด? จำเป็นต้องทำให้บาดเจ็บสาหัสเลยหรือไม่?
นางถูกจับให้อยู่บนเตียงจึงจับมือของหมี่โม่หรู่ และเขียนคำถามลงในฝ่ามือของเขา
หมี่โม่หรู่เม้มริมฝีปากและกลั้นรอยยิ้มไว้ และใช้หลังมือตบหลังนาง
หากเขาไม่หยุดพระชายาตัวน้อย เขาก็เกรงว่าจะหยุดหัวเราะไม่ได้และขับไล่ชายชุดดำที่เข้ามาข้างในออกไป
ฉินปู้เข่อขดตัวและกะพริบตาอยู่ใต้ผ้าห่ม นางสาบานในใจว่าอีกไม่นานนางจะกัดเขาอย่างรุนแรงทันที เกิดอะไรขึ้นเขาถึงได้กล้าตีนางอีกแล้ว!
ชายชุดดำเข้ามาค้นหาในห้องสองสามครั้ง และในที่สุดก็ยกผ้าห่มขึ้นมองแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่คนผู้นั้นจากไปแล้ว มือและเท้าของฉินปู้เข่อก็กลับมามีอิสระอีกครั้ง นางโผล่หัวออกจากผ้าห่มและสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าลึก ๆ
“ท่านกำลังพยายามจะทำให้หม่อมฉันหายใจไม่ออก และจะหาอนุอีกหนึ่งคนหรือ?” ฉินปู้เข่อเงยหน้าขึ้นและกัดคางของเขา
“โอ๊ย!” หมี่โม่หรู่แตะคางของเขาและนึกอยากจะตีนางอีกสักครั้ง
แต่เนื่องจากตอนนี้นางรู้สึกตัวแล้ว คราวนี้เขาจึงไม่กล้าแม้แต่จะยกมือขึ้น
ฉินปู้เข่อดูเขินอายและขอโทษทันที “หม่อมฉันขออภัย หม่อมฉันกัดท่านแรงเกินไป เป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันกัดคางจึงกะความแรงไม่ถูก”
หมี่โม่หรู่หันหลังให้นางแล้วพูดอย่างขุ่นเคือง “หลับซะ”
“เอ๊ะ ท่านโกรธหรือ? เช่นนั้นหม่อมฉันจะให้ท่านตีเบา ๆ เพื่อระบายความโกรธดีหรือไม่?” ฉินปู้เข่อแตะเอวของเขา “มีโอกาสเพียงครั้งเดียว หลังจากนี้จะไม่มีโอกาสแล้ว ห้า สี่ สาม…”
“อืม”
หมี่โม่หรู่หันกลับมาและก้มศีรษะลงเพื่อให้ถึงปากเล็ก ๆ อันอ่อนนุ่มของนาง เมื่อจุมพิตนางแล้วก็ขยับออกไป “เอาหนวดของเจ้าออกไป มันทิ่ม!”
“ฮ่า ๆ” ฉินปู้เข่อรู้สึกภูมิใจอย่างยิ่งเมื่อได้สัมผัสตอหนวดเขียวครึ้มบนปากของนาง “ไม่ หม่อมฉันจะเอามันออกเมื่อกลับไปแล้ว”
“เจ้ากล้ารึ!” หมี่โม่หรู่ตบหน้าผากพระชายาตัวน้อยอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้และมองนาง
ครั้งนี้ด้วยประสบการณ์และความแข็งแกร่งพอประมาณ เขาจะไม่มีวันปล่อยให้ตนเป็น ‘คนสร้างความรุนแรงในครอบครัว’ อีก
ฉินปู้เข่อฝังใบหน้าร้อนรุ่มไว้บนอกหนาของเขา และเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างมีเสน่ห์ และเอานิ้วแตะอกของเขาแล้วพูดยั่วยุว่า “ท่านคิดว่าหม่อมฉันกล้าหรือไม่ เดือนนี้หม่อมฉันจะทิ่มท่านทุกคืน เพื่อให้ท่านได้สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของการถูกหนวดทิ่ม!”
“งั้นคืนนี้เรามาทำกันใหม่นะ ลองหรือไม่?” หมี่โม่หรู่กอดนางแน่นใต้ผ้าห่ม ราวกับว่าจะฝังนางไว้ในร่างของเขา
ฉินปู้เข่อลูบหน้าอกของเขาและตอบกลับว่า “ท่านรู้สึกอย่างไร?”
“ไม่ดี รู้สึกเหมือนเป็นพี่ชายกับน้องชาย” เสียงแหบห้าวของหมี่โม่หรู่นั้นดูมีเลศนัยเล็กน้อย “ข้าต้องหาส่วนอื่นที่ให้ความรู้สึกแบบสตรี”
ในเวลานี้ที่สวนหลังบ้านผู้ว่าราชการเขตหลินเป่ย
ชายชุดดำที่เพิ่งแอบเข้าไปในห้องของโรงเตี๊ยมถอดหมวกคลุมสีดำแล้วนั่งบนเก้าอี้เชวียนอี่*[1] หยิบกาน้ำชาขึ้นมาแล้วเทชาให้ตัวเอง
ชายผู้นี้เป็นหัวหน้าสำนักงานเขตหลินเป่ย ซ่งกู และเขายังเป็นน้องเขยของเจียวหย่ง ผู้ว่าราชการเขตอีกด้วย
ซ่งกูผู้นี้แต่เดิมเป็นอันธพาลในเขตเซี่ยหลินจื่อและเขตหลินเป่ย เขามีรูปลักษณ์ที่ดีและดูเหมือนบัณฑิตหลังจากสวมใส่เสื้อผ้าอย่างดี
ตอนที่พ่อของซ่งกูยังมีชีวิตอยู่ ครอบครัวของเขาก็สุขสบายดี เมื่อเห็นว่าลูกชายคนสุดท้องกำลังยุ่งอยู่ทั้งวัน พ่อของเขาก็ยืนถือไม้เท้าอยู่ข้างโต๊ะ และบังคับซ่งกูให้อ่านหนังสืออยู่สองสามปี หลังจากสอบผ่านในฐานะบัณฑิต เขาจึงย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนในเขตหลินเป่ย
เพียงแต่ว่าซ่งกูไม่อยู่ที่นั่น เขาใช้เวลาทั้งวันเที่ยวเตร็ดเตร่อย่างราบรื่น เมื่ออยู่บนถนนเขาก็ได้เจอกับผู้หญิงตัวเล็กที่งดงามและช่างพูด หลังจากพูดคุยหัวเราะกันไม่กี่คำ สตรีผู้นั้นก็เห็นว่าเขาหน้าตาดีและพูดจาดี ไม่กี่วันต่อมาเขาก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นลูกเขย
ปรากฏว่าความจริงแล้วผู้หญิงตัวเล็กคนนี้ก็คือเฉินเฉี่ยว ลูกสาวคนที่หกของสกุลเฉินที่ร่ำรวยในเขตหลินเป่ย ซ่งกูขี้เกียจและเฉื่อยชายิ่งนัก ลูกเขยที่เอาแต่อยู่ที่บ้านและเพิกเฉยต่อคำแนะนำ ทำให้พ่อตาและแม่ยายของเขาโกรธจัดที่ให้เขามาเป็นภาระของสกุลเฉิน
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซ่งกูติดตามเฉินเฉี่ยวและพี่น้องอีกสองสามคนเพื่อเรียนรู้กิจการ เขาเป็นคนที่ค่อนข้างซื่อสัตย์ แต่หลังจากนั้นไม่นานมือและเท้าของเขาก็สกปรก เขาใช้เงินทุนหมุนเวียนของร้านเพื่อกักตุนเกลืออย่างจริงจัง โดยตั้งใจที่จะขึ้นราคาเกลือ แต่เขาไม่คิดว่าจะล้มเหลวและเขาไม่สามารถชดเชยได้ เนื่องจากการสูญเสียเงินจึงทำให้สกุลเฉินไม่เต็มใจที่จะให้เขาร่วมกิจการอีกต่อไป
ใครจะคิดว่าเจียวหย่งผู้เป็นสามีของลูกสาวคนโตของสกุลเฉิน และเป็นผู้ว่าราชการเขตหลินเป่ยจะได้ยินเรื่องนี้ และรู้สึกว่า ซ่งกูเป็นคู่หูที่หายากและเป็นคนเกียจคร้าน เขาจึงฉวยโอกาสนี้ฝึกให้เขาเป็นองครักษ์ผู้เชี่ยวชาญ
จนถึงตอนนี้ พี่เขยน้องเขยสองคนนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นคนสนิท ในอดีตเมื่อต้องพบกับความคับข้องใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เขาจะรักษาความยุติธรรมและช่วยเหลือผู้คนในเขตหลินเป่ย เพื่อขจัดอันตรายต่อประชาชน เมื่อเจอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนรวยและมีอำนาจ เขาจะปฏิบัติตามนโยบายบางอย่างเพื่อประนีประนอม
ทุกฤดูน้ำหลากในฤดูใบไม้ผลิเป็นโอกาสดีสำหรับสองคนนี้ที่จะทำเงินได้มาก นอกจากนี้ยังเป็นช่วงที่ซ่งกูเริ่มหลอกลวงและต้มตุ๋นชาวบ้านอีกด้วย
หลังจากที่ซ่งกูจิบชาสองอึกจากถ้วยในมืออย่างระมัดระวังแล้ว เขาก็พูดอย่างใจเย็น
“ข้าได้ตรวจสอบแล้ว ข้าคิดว่าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอ๋องหลี่ชินมากนัก เขาออกมาพร้อมกับชุดเครื่องนอนครบครันและเครื่องหอมในห้อง เมื่อมองแวบแรกเขาคือท่านอ๋องผู้มีเสน่ห์ที่ไม่เคยเจอความทุกข์ยากใด ๆ เลย เขาเพียงแค่จัดฉากมาเดินสำรวจที่เกิดเหตุเพื่อแสวงหาความสำเร็จทางการเมืองเท่านั้น”
เจียวหย่งไม่ผ่อนคลายเหมือนเขา และนิ้วมือของเขาก็เคาะโต๊ะอย่างต่อเนื่อง “อ๋องผู้นี้เคยป่วยมาก่อนและไม่เคยข้องแวะในแวดวงการเมือง ข้าได้ยินมาว่าอ๋องจั่วเสียนสนิทสนมกับหลานชายคนนี้มากหลังจากที่กลับมาเมื่อปีที่แล้ว ข้าไม่รู้ว่าอ๋องจั่วเสียนมีเจตนาใดอยู่เบื้องหลังการมาที่นี่ของเขาหรือไม่”
“อย่างไรเสียเขาก็เป็นเพียงชายหนุ่มที่เกี่ยวข้องกับงานราชการเท่านั้น พี่เขยกลัวเขาหรือ?!” ซ่งกูส่งเสียงราวกับได้ลิ้มรสความหวานของชา “นอกจากนี้ พระชายาหลี่ชินองค์นี้ก็เป็นลูกสาวคนที่สองของอาจารย์ของพี่เขยด้วยไม่ใช่หรือ? ด้วยความสัมพันธ์นี้ มหาเสนาบดีจะดูแลเราในระดับหนึ่ง และเราก็คืนเงินกองทุนบรรเทาทุกข์ให้แก่มหาเสนาบดีเป็นจำนวนมากทุกปี”
เจียวหย่งยังไม่ตัดสินใจ “อ๋องหลี่ชินอยู่เงียบ ๆ มานานเกินไปแล้ว และแม้แต่ท่านอาจารย์ก็ไม่ค่อยรู้นิสัยของเขามากนัก ดังนั้นครั้งนี้เจ้ากับข้าก็ยังต้องระมัดระวัง”
“แล้วคืนพรุ่งนี้เล่า?” ซ่งกูมองเจียวหย่ง “จะจัดการอย่างไร? ครั้งนี้ข้าเจอลูกไก่ที่สะอาดเป็นพิเศษหลายตัว”
เจียวหย่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง “เจ้าปล่อยแผนนี้ไปก่อน และไปทำความสะอาดลานบ้านเก่าของเจ้าในวันพรุ่งนี้ ปล่อยให้อ๋องผู้มีเสน่ห์คนนี้อาศัยอยู่ในนั้นและปรับตัวให้คุ้นเคยกับชีวิตในท้องถิ่น”
……………………………………………………………………..
[1] เชวียนอี่ 圈椅 เก้าอี้ที่มีที่เท้าแขนและพนักต่อกันเป็นวงโค้ง ๆ คล้ายรูปเกือกม้า