บทที่ 173 วาสนาระดับจักรพรรดิ

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 173 วาสนาระดับจักรพรรดิ

สวี่ชิงมองภาพนี้ ต่อให้รู้ว่าเจ้าเงาถูกตนเองสะกดจนสติปัญญาลดลง ส่งผลกระทบกับความเฉลียวฉลาด ดังนั้นจึงถูกบรรพจารย์สำนักวัชระหลอกเอา

แต่เขาก็ยังอดหุนหันเข้าไปสะกดอีกไม่อยู่

แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังมีเหตุผลอยู่ จึงสะกดความคิดที่จะลงมือลงไป ถลึงตามองบรรพจารย์สำนักวัชระผาดหนึ่ง

บรรพจารย์สำนักวัชระรีบแสดงสีหน้าเอาใจออกมา ไม่เข้าไปชักนำเจ้าเงาเพิ่มความรู้สึกชั่วร้ายกับสวี่ชิงต่ออีก

สวี่ชิงมองเจ้าเงา จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น

“เหตุใดเจ้าถึงดึงยักษ์ลากราชรถมาได้ เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่ แล้วตัวตนที่เหมือนกับเจ้ามีอยู่มากหรือไม่!”

เจ้าเงาสั่นเครือ พยายามแสดงอารมณ์ออกมา

“ผ่าน…เงา…” พูดจบ มันก็รีบร้อนมองไปทางบรรพจารย์สำนักวัชระ

บรรพจารย์สำนักวัชระคุกเข่าลงสอบถามเสียงต่ำพักหนึ่ง และหลังจากที่เจ้าเงากระพริบตาและพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง บรรพจารย์สำนักวัชระก็หันหน้ามาคารวะให้ทางสวี่ชิง เอ่ยอย่างนอบน้อม

“นายท่าน เจ้าเงาหมายถึงว่ามันเองก็ไม่รู้ว่าตนเองคือตัวตนแบบใด ตอนที่มีจิตสำนึกมันก็เป็นเงามืดกลุ่มหนึ่ง สามารถเป็นกาฝากแล้วหลับไหลอยู่ในเงาของเจ้าของได้”

พูดถึงจุดนี้ บรรพจารย์สำนักวัชระกระพริบตาปริบๆ ก่อนหน้านี้ตอนที่สวี่ชิงสอบถามว่าตัวตนแบบเจ้าเงามีอยู่มากหรือไม่ ก็สัมผัสถึงจิตสังหารที่แฝงอยู่ได้

จึงเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ

“เจ้าเงาบอกว่า จนถึงตอนนี้มันก็ยังสัมผัสถึงตัวตนแบบเดียวกับมันไม่ได้เลย…แต่ข้าน้อยรู้สึกว่า บนโลกนี้ตัวตนที่มีเพียงหนึ่งเดียวอยู่น้อยมาก

“ส่วนเรื่องที่ดึงดูดยักษ์ลากราชรถเข้ามา มันก็บอกว่าไม่รู้เพราะเหตุใดเช่นกัน คล้ายกับว่าตอนที่เห็นยักษ์ ก็สามารถส่งเสียงหาอีกฝ่ายได้โดยสัญชาตญาณ จึงลองอัญเชิญมันดู ข้าน้อยคิดว่าการก่อกำเนิดของมันกับราชรถสัมฤทธิ์น่าจะเกี่ยวข้องกัน”

สวี่ชิงหดม่านตาลง เขาเชื่อคำอธิบายนี้ของเจ้าเงาเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่จนถึงขั้นนี้อีกฝ่ายก็ยังคงพูดเช่นนี้ จะสะกดต่อเพื่อเค้นถามก็คงจะไม่มีความหมาย

อีกทั้งส่วนที่น่าจะเป็นความจริงก็น่าจะมีอยู่มากด้วยเช่นกัน

“สามารถดึงดูดยักษ์ลากราชรถ…ถ้าใช้ให้ถูกที่ ก็จะกลายเป็นไม้ตายประเภทหนึ่งได้”

สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือเวท มองไปยังมหาสมุทรต่อ ในใจจมดิ่งในความคิดอีกครั้ง ตอนนี้เป็นช่วงบ่ายแล้ว แม้แสงตะวันจะยังคงแรงอยู่ แต่ก็มีแววว่าจะลาลับแล้วเช่นกัน

สมองของเขามีคำบรรยายของผู้อาวุโสเจ้าถึงยักษ์ลากราชรถสะท้อนก้องอยู่ตลอด ยิ่งขบคิด สวี่ชิงก็ยิ่งหวั่นไหว ความปรารถนายิ่งรุนแรงมากขึ้น

หากพบแค่ครั้งเดียวยังพอทำเนา ตอนนี้พบเจอครั้งที่สอง ยิ่งกว่านั้นเจ้าเงายังมีวิธีดึงดูดมันมาอีก เช่นนั้นสวี่ชิงรู้สึกว่าหากตนเองวางแผนเสียหน่อย ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสได้รับวาสนาวิชาเวทระดับจักรพรรดิเช่นกัน

เพียงแต่ระดับความยากของเรื่องนี้ก็ยากเอาการ สวี่ชิงระลึกไปถึงความรู้สึกตอนที่พบกับยักษ์ลากราชรถก่อนหน้านี้ แรงกดดันที่มาจากอีกฝ่ายทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณเขาที่อยู่ห่างๆ ก็ยังไม่อาจทานรับไหว

นึกภาพออกว่าถ้าหากยักษ์เข้ามาใกล้อีกหน่อย เลือดเนื้อของตนเองคงแตกสลายอย่างแน่นอน

แรงกดดันที่เกิดขึ้นจากความต่างชั้นของระดับพลังชีวิตเช่นนั้น สวี่ชิงเคยสัมผัสมาแล้วจากภาพฝาผนังด้านในเกาะเงือก ปัจจุบันพลังบำเพ็ญของเขาไม่เหมือนครั้งนั้นแล้ว แต่ระดับชั้นของยักษ์ลากราชรถสูงเกินกว่าตัวตนเทพเจ้าในภาพฝาผนังอย่างเห็นได้ชัด

‘เข้าใกล้มากเกินไปไม่ได้ ก็เหยียบขึ้นราชรถสัมฤทธิ์ไม่ได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ฝืนบุกเข้าไปโดยไม่สนวิธีการบางอย่างก็ตาม แต่แค่ยักษ์หันหน้ากลับมามอง ข้าคงจะรับพลานุภาพของมันไม่ไหวแน่นอน

‘ไม่รู้ว่าพันธมิตรหลักของพันธมิตรเจ็ดสำนักเมื่อตอนนั้นบุกเข้าไปได้อย่างไรกัน…” สวี่ชิงทอดถอนใจ เขารู้สึกว่านอกจากตอนยักษ์หลับสนิท เช่นนั้นตนเองก็ไม่มีทางที่จะเข้าไปในราชรถสัมฤทธิ์ได้เลย

“เจ้าเงา จะให้โอกาสทำความดีล้างบาปเสียหน่อย เจ้าเรียกยักษ์ลากราชรถมา จากนั้นยื่นแผ่เข้าไป จัดการประทับตราวิชาเวทระดับจักรพรรดิในนั้นออกมา” สวี่ชิงก้มหน้ามองเจ้าเงา

เจ้าเงาแผ่คลื่นสะพรึงกลัวออกมาอย่างชัดเจนทันที รุนแรงอย่างมาก

“จำกัด….กลัว…”

บรรพจารย์สำนักวัชระก็จิตวิญญาณสั่นสะเทือน ไม่จำเป็นต้องให้สวี่ชิงเอ่ยปาก เขาก็รีบร้อนตรงไปสื่อสาร เพียงไม่นานก็หันมาอธิบาย

“นายท่าน เจ้าเงาบอกว่าบนตัวยักษ์นั่นมีคลื่นความเป็นเทพที่ประหลาดอยู่ มันไม่สามารถเข้าใกล้ อาจถูกจำกัดไว้ อีกทั้งยังรู้สึกว่าเจ้ายักษ์นั่นไม่มีเงาอีกด้วย ดังนั้นเนตรเงาจึงไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปได้

“ข้าก็ถามเขาว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเมื่อครู่ถึงยังอัญเชิญยักษ์มา มันก็บอกว่าคิดจะยืมพลังกดดันของราชรถสัมฤทธิ์มาขยี้นายท่านให้ตาย ตัวมันเองรู้สึกว่าภายใต้แรงกดดันนั่นมันยังพอยืนหยัดอยู่ได้นานกว่า ขอแค่นายท่านตายไป มันก็จะเป็นอิสระ เฮ้อ เจ้าเงาเอ๋ย เจ้าทำไมจึงเลอะเลือนได้ขนาดนี้”

พอสวี่ชิงได้ยินก็มองเจ้าเงาผาดหนึ่ง คิดเรื่องที่เจ้าเงาทรยศก่อนหน้า จึงยกมือขึ้นสะกด จนทำให้เจ้าเงาส่งเสียงร้องเวทนาขึ้น หลังจากฟื้นฟูกลับมาก็ส่งอารมณ์สั่นสะพรึงและอ้อนวอนออกมาอีกครั้ง

สวี่ชิงมองท้องฟ้าที่ค่อยๆ พลบค่ำไม่หันไปมองเจ้าเงา ในหัวสมองมีความคิดต่างๆ หมุนวนอย่างรวดเร็ว ในที่สุดตอนที่ฟ้ามืด จิตใจสวี่ชิงก็ปรากฏภาพที่เห็นรูปสลักราชรถสัมฤทธิ์ก่อนหน้านั้นขึ้นมา รวมไปถึง…การเดินเรือสู่ทะเลครั้งแรกของเขาตอนนั้น พบเข้ากับขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาล

‘ทะเลโอฬารมีท่วงทำนองมหัศจรรย์ มนุษย์สามัญมิอาจได้สดับ เป็นคอยรับใช้อยู่เคียงข้างวิหคสีทองชื่อหยาง เรียงร่างร้อยท่วงทำนองเป็นบทเพลง เปล่งร้องเรียกจันทราอย่างอารัญ

‘เทพเจ้าพึงพระทัย เบิกเนตรไปเมียงมอง ทะเลโอฬารแปรเป็นต้องห้าม ร้อยท่วงทำนองผันแปรเป็นความมืดมิด’

ถ้อยคำนี้คือถอยคำที่บรรยายเกี่ยวกับขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาลในบันทึกท้องสมุทร ปรากฏขึ้นในหัวสวี่ชิง หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย ความคิดปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วทีละเรื่อง 艾琳小說

‘ผู้อาวุโสเจ้าบอกว่าราชรถสัมฤทธิ์คือขบวนเสด็จของทินกร เช่นนั้นเด็กหนุ่มที่สลักบนภาพฝาผนังด้านนอกราชรถสัมฤทธิ์ ก็น่าจะเป็นวิหคสีทอง ยิ่งไปกว่านั้นภาพฝาผนังยังบรรยายฉากที่เขากลายเป็นดวงตะวันอีกด้วย

‘จุดนี้สอดคล้องสิ่งที่เขียนอยู่ในบันทึกท้องสมุทร ดวงตะวันก็คือวิหคสีทอง ปกติอยู่ในร่างเด็กหนุ่ม เมื่อตะวันขึ้นจะขึ้นราชรถสัมฤทธิ์มุ่งสู่ท้องนภากลายเป็นดวงตะวัน เมื่อตะวันตกจะกลับมาในราชรถสัมฤทธิ์ นอนฟังเสียงร้อยทำนองที่เรียบเรียงเป็นบทเพลงร้องเรียกจันทราอย่างอารัญอยู่ในวังของเขา

‘หากเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นตอนยักษ์ตนนั้นยังมีชีวิตจะต้องติดตามดวงตะวันแล้วฟังบทเพลงร้องเรียกจันทราอย่างอารัญมาแล้วหลายรอบ ต่อให้ตอนนี้ดับสูญไปแล้ว แต่ยังคงสามารถลากราชรถอยู่ใต้ทะเลต้องห้ามได้ เห็นได้ชัดว่ายังมีสัญชาตญาณอยู่บ้าง หากมันได้ยินบทเพลงร้องเรียกจันทราอย่างอารัญอีกครั้ง มันจะเหม่อลอยหรือไม่นะ…’

สวี่ชิงคิดถึงจุดนี้ก็หายใจหอบถี่ขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเผยประกายออกมา

เรื่องนี้ถ้าคิดจะทำให้สำเร็จ อันดับแรกต้องไปค้นหาขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาล ถัดมายังต้องครอบครองสิ่งของที่จะกักเก็บเสียงเพลงได้ด้วย แล้วก็คุณสมบัติของสิ่งนี้ก็สำคัญอย่างมาก สวี่ชิงก้มหน้าลงมองถุงเก็บของตนเอง เขามีขวดจับเสียงอยู่

นอกจากเงื่อนไขเหล่านี้ ยังต้องหายักษ์ลากราชรถอีก

ทะเลต้องห้ามกว้างใหญ่เกินไป ปกติอีกฝ่ายอยู่ในทะเลต้องห้าม จะถูกคนพบเห็นเข้าบางครั้งคราว หลักๆ หากคิดจะออกค้นหาด้วยตัวเองนั้นเป็นไปไม่ได้เลย

‘ถ้าหากที่ข้าคิดใช้ได้ เช่นนั้นสิ่งที่ข้าคิดได้ คนอื่นก็ควรจะคิดได้เช่นเดียวกัน ไม่แน่ว่าครั้งนั้นผู้นำพันธมิตรเจ็ดสำนักก็อาจจะทำเช่นนี้ด้วย

’เพียงแต่ข้ามีความสามารถมากกว่าพวกเขาอย่างหนึ่ง พวกเขาต่อให้คิดวิธีการนี้ออก แต่ก็ยังต้องออกไปแสวงหาโอกาสที่จะได้พบโดยบังเอิญ ทว่าเจ้าเงาสามารถอัญเชิญมาเองได้

‘ความไปได้ระหว่างฝ่ายที่ลงมือปฏิบัติและฝ่ายที่อยู่เฉยๆ แตกต่างกันอย่างมาก’

สวี่ชิงใจสั่น เขารู้สึกว่าตนเองต้องเร่งความเร็ว ต่อให้ความไปได้ระหว่างฝ่ายที่ลงมือปฏิบัติและฝ่ายที่อยู่เฉยๆ จะต่างกันมาก แต่ขอแค่มีความตั้งใจก็ยังสามารถทำได้

กระทั่งเป็นไปได้ว่าปัจจุบันนี้ก็น่าจะมีคนที่เตรียมการไว้แล้ว และกำลังค้นหาราชรถสัมฤทธิ์อยู่

และสวี่ชิงก็จำสิ่งที่ผู้อาวุโสเจ้าเคยพูดไว้ได้อย่างชัดเจน ทุกครั้งที่ราชรถสัมฤทธิ์ออกมาค้นหาผู้สืบทอด ขอแค่มีคนตระหนักวิชาระดับจักรพรรดิที่สลักไว้ด้านในจนสำเร็จ มันจะเลือนลางหายไปเอง ยักษ์ก็จะกลับไปหลับใหลอยู่ใต้ท้องทะเลอีกหลายปีเพื่อเฝ้ารอ เมื่อสะสมพลังสืบทอดครั้งใหม่เสร็จก็จะปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง

‘นี่ก็อธิบายอย่างอ้อมๆ ได้ว่าวิชาระดับนั้นบางทีอาจจะได้รับจากการสืบทอดเท่านั้น ยากจะสอนให้กับผู้อื่นต่อด้วยตนเอง แต่จะเป็นจริงหรือไม่ก็ยังยืนยันได้ยาก”

หลังจากสวี่ชิงครุ่นคิดก็รู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองคิดมาน่าจะใช้ได้ เขาคิดจะลองดูเสียรอบหนึ่ง

‘เช่นนั้นอันดับแรกก็ต้องค้นหาขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาล!’ สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก เขารู้ว่าขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาลจะปรากฏแค่ช่วงกลางคืน ยิ่งไปกว่านั้นยังคงอยู่ไม่นานอีกด้วย จะค้นหาวาสนานั้นพบได้หรือไม่

สวี่ชิงจึงไม่ลังเล แผ่ประสาทสัมผัสทั้งหมดออก ควบคุมเรือเวทตรงไปเบื้องหน้าในทะเลต้องห้ามอย่างรวดเร็ว เริ่มค้นหาขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาล

และวันเวลาก็ผ่านไปเช่นนี้ การค้นหาของสวี่ชิงไม่ราบรื่นนัก ถึงอย่างไรทะเลต้องห้ามก็กว้างใหญ่เกินไป แม้ระดับความยากในการค้นหาขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาลจะไม่ถึงกับงมเข็มในมหาสมุทร แต่ก็แทบไม่ต่างกันมากเลย ยังต้องพึ่งดวงอยู่

ทว่าสวี่ชิงก็ไม่ได้ร้อนใจ ในหนึ่งเดือนนี้ เขาก็คุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงของเหล็กแหลมสีดำเช่นกัน หลังจากบรรพจารย์สำนักวัชระกลายเป็นวิญญาณอัสนี ความเร็วของเหล็กแหลมกับพลังสังหารก็ล้วนเปลี่ยนเป็นน่าตกตะลึง

โดยเฉพาะหลังจากที่เหล็กแหลมสีดำถูกยันต์อัสนีที่ก่อตัวขึ้นปรับแต่งทั้งหมดแล้ว พลังที่ระเบิดออกมาก็ทำให้สวี่ชิงยังค่อนข้างตกตะลึง ความเร็วนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้บำเพ็ญสร้างฐานหนึ่งไฟชีวิตไปแล้ว เทียบเคียงได้กับสองดวงเลยทีเดียว

แม้ยังห่างชั้นกันอยู่ แต่ก็ยังเพียงพอจะร่วมมือกับพลังบำเพ็ญปัจจุบันของสวี่ชิงได้ ทำให้กำลังต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นมหาศาล ขณะเดียวกันสวี่ชิงก็สัมผัสความสามารถของเงาได้อย่างชัดเจน

สวี่ชิงทดลองความสามารถหลังจากกลืนกินเงาของผู้อื่นแล้วจะควบคุมได้นั่นกับฉลามบรรพกาลตัวหนึ่งแล้ว เขาเห็นว่าหลังจากเจ้าเงากลืนเงาของอีกฝ่ายไป จัดการควบคุมฉลามบรรพกาลที่ใหญ่โตตัวนั้นแล้วบิดอย่างแรง แล้วจัดการฉีกมันจนเสียงดังกร๊อบมากับตา

ภาพนี้แปลกประหลาดอย่างมากจนทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระที่เห็นก็ยังตกตะลึง โชคดีที่ตนเองเป็นวิญญาณศัสตรา จึงไม่มีเงา

เพียงแต่ขั้นตอนการกลืนกินช้าเล็กน้อย

นอกเหนือจากนี้ ความสามารถอีกอย่างของเจ้าเงาอย่างเนตรเงาก็ทำให้สวี่ชิงยินดีอย่างมาก เขาควบคุมเจ้าเงาให้ส่งเนตรเงาทั้งหมดออกไป กระจายไปบนร่างของอสูรทะเลจำนวนมาก จากการกระจายตัวที่ไม่มีขอบเขตในอสูรทะเลเหล่านี้ก็เท่ากับสวี่ชิงมีดวงตาเพิ่มขึ้นมามหาศาล

และอสูรทะเลที่เขาวางเนตรเงาไว้ ก็ล้วนหามาแต่พวกที่ชอบออกไปใช้ชีวิตในท้องทะเลยามค่ำคืนทั้งสิ้น ดังนั้นจึงช่วยเหลือการค้นหาขบวนร้อยภูตแห่งรัตติกาลอย่างมาก

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือนเช่นนี้

ในคืนนี้ สวี่ชิงที่กำลังสังเกตผ่านเนตรเงา จู่ๆ ใจก็กระตุก เพ่งเป้าไปที่ตาดวงหนึ่งในนั้น

สวี่ชิงเห็นผ่านเนตรเงาดวงนั้นจากในเงาว่า…ในอาณาเขตทะเลผืนนั้น เวลานี้มีเงาภูตเป็นกลุ่มๆ ลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า

“ขบวนร้อยภูตแห่งรัตติกาล!”