บทที่ 146 อันตรายที่ซ่อนอยู่
บทที่ 146 อันตรายที่ซ่อนอยู่
หลันเสวียนเห็นโจวอี้เดินไปอุ้มชายที่หมดสติคนนั้น เธอเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ทำไมนายไม่กลับไปที่ภูเขากับฉันล่ะ นับประสาอะไรกับนิกายดอกบัวขาว แม้ว่าจะมีผู้มีอำนาจมากมายในนิกายเร้นลับมาโจมตีนาย ฉันก็รับประกันความปลอดภัยให้นายได้เลย”
“ไม่เอา!” โจวอี้ปฏิเสธอย่างหนักแน่น
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้คือการดูแลลูกสาว เว้นแต่ว่าลูกสาวของเขาเต็มใจจะกลับไปที่ภูเขาชางหลางกับเขา เพราะเขาจะไม่มีวันกลับไปคนเดียว
“เพราะผู้หญิงคนนั้น?” หลันเสวียนชูกำปั้นของเธออีกครั้ง
“ไม่ เพราะลูกสาวของผม” โจวอี้รีบตอบทันที
“ลูกสาวของนายสำคัญกับนายขนาดนั้นเลยเหรอ” หลันเสวียนลดกำปั้นของเธอและขมวดคิ้ว
“สำคัญกว่าชีวิตของฉัน” โจวอี้พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หลันเสวียนเงียบไป
เธอเห็นโจวอี้อุ้มชายคนนั้นลงมาจากภูเขา และเธอก็เดินตามเขาไปช้า ๆ เธอไม่ได้พูดอะไรจนกระทั่งเห็นโจวอี้พาชายคนนั้นไปที่รถ “ฉันก็อยากมีลูกกับนายเหมือนกัน”
“นี่เธอ…”
โจวอี้ถึงกับสั่นสะท้าน เขาหันไปมองหลันเสวียนทันที
“นายไม่ต้องการ?” หลันเสวียนจ้องมองอีกฝ่าย คราวนี้แทนที่จะยกกำปั้นขึ้นมา เธอกลับดึงดาบยาวออกมาจากฝัก
“ไม่ได้บอกว่าไม่ต้องการ แต่…” โจวอี้หยุด
“แต่อะไร?” หลันเสวียนถามด้วยความโกรธ
“แต่สถานะของเธอมันพิเศษมาก ๆ ถ้าเรามีลูกกัน คนในตระกูลของเธอจะต้องถลกหนังฉันไปทำไส้ตะเกียงแน่นอน อย่าทำให้ฉันลำบากเลย!” โจวอี้ร้องขอความเมตตาในทันที
เขาไม่กลัวอะไรเลยนอกจากคนป่าเถื่อนที่เทือกเขาเมิ่งหลาน
คนเหล่านั้นมักเพ่งเล็งเขาเสมอ โดยเฉพาะเวลาที่เขาและหลันเสวียนอยู่ด้วยกัน สายตาของคนเหล่านั้นราวกับว่าอยากจะฉีกเนื้อลอกหนังของเขาออกทั้งเป็น แค่เดินคุยกันเองนะ! ถ้าขืนเขาและหลันเสวียนมีลูกด้วยกันขึ้นมา คนพวกนั้นจะต้องคลั่งแน่ ๆ แค่นึกถึงฉากที่คนเหล่านั้นคลั่งเพราะความโกรธขึ้นมามันก็ทำให้โจวอี้รู้สึกหนาวไปถึงสันหลังแล้ว
“พวกเขาไม่กล้าหรอก!” หลันเสวียนกล่าวด้วยความโกรธ
“พวกเขาไม่กล้าทำอะไรเธอ แต่กล้าที่จะทำกับฉัน!” โจวอี้รู้สึกอยากสูบบุหรี่ทันทีที่คิดเรื่องนี้ เขาจุดบุหรี่และสูดควันเข้าปอดอย่างแรง
หลันเสวียนตะคอกและถามว่า “มีศัตรูอยู่รอบตัวนายใช่ไหม ถ้านายบอกฉัน ฉันจะแก้ปัญหาให้นายทั้งหมดเลย”
“ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีอีกไหม” โจวอี้ไม่แน่ใจ
“น่าเสียดาย เมื่อเร็ว ๆ นี้ฉันเพิ่งทะลวงระดับการบ่มเพาะมาได้ ฉันกำลังอยากหาใครสักคนมาทดสอบ!” หลันเสวียนเก็บดาบยาวเข้าฝักและถามว่า “นายแน่ใจนะว่าไม่ต้องการกลับไปที่ภูเขากับฉัน?”
“ไม่กลับ!” โจวอี้ส่ายหัว
“ก็ได้! ถ้านายถูกพวกมันฆ่า ฉันจะล้างแค้นให้” หลันเสวียนพูดจบก็หันหลังเดินจากไป
โจวอี้มองตามแผ่นหลังของเธอและชูนิ้วกลางใส่อย่างเงียบ ๆ
“ผมยังไม่ตายเหรอ?” เสียงแผ่วเบาดังมาจากในรถ
โจวอี้หันกลับมาและพบว่าเฉิงฮ่าวซึ่งหมดสติได้ตื่นขึ้นมาแล้ว
แต่อีกฝ่ายหน้าซีดมาก
“ยังไม่ตาย แต่เฉียงจื่อตายเพื่อคุณ” โจวอี้ตอบ
“เฉียงจื่อ…”
ดวงตาของเฉิงฮ่าวเผยความเจ็บปวด เขาจำช่วงเวลานั้นได้ดี เฉียงจื่อตัดข้อมือของเขาและปกป้องเขาด้วยร่างกาย
โจวอี้มองสีหน้าที่เจ็บปวดของอีกฝ่าย ก่อนจะถอนหายใจและพูดว่า “คุณไม่สามารถชุบชีวิตคนที่ตายไปแล้วได้ แต่คุณสามารถมีชีวิตให้ดีขึ้นได้เพื่อตอบแทน อย่าปล่อยให้เขาตายอย่างไร้ค่า ผมขอถามคุณอย่างหนึ่ง พวกนิกายดอกบัวขาวที่ถูกส่งมายังมีคนอื่นอีกไหม และพวกเขาเป็นใคร?”
“ผมไม่รู้” เฉิงฮ่าวส่ายหัว
“แล้วตัวตนของผม คุณได้บอกกับใครไปอีกบ้าง? แม้ว่าวันนี้ผมจะฆ่าพวกเขาไปทั้งหมด แต่ผมก็ไม่อยากมีปัญหาในอนาคต” โจวอี้กล่าว
“ผมบอกแค่ไป่เยว่ถิง แต่ผมไม่รู้ว่าเขาบอกใครอีกไหม” แต่แล้วเฉิงฮ่าวก็ทำสีหน้าราวกับว่าเขาคิดอะไรบางอย่างได้ เขาจึงรีบถามว่า “ไป่เยว่ถิงอยู่ที่ไหน เขายังมีชีวิตอยู่นะก่อนที่ผมจะสลบไป…”
“เขาตายแล้ว” โจวอี้ตอบ
“คุณฆ่าเขางั้นเหรอ” เฉิงฮ่าวมองโจวอี้ด้วยความประหลาดใจ
คนอื่นไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของไป่เยว่ถิง แต่เฉิงฮ่าวรู้ดี อีกฝ่ายเป็นกึ่งปรมาจารย์ที่มีความแข็งแกร่งอย่างมาก อีกฝ่ายติดอันดับหนึ่งในห้าของผู้เก่งกาจที่สุดในนิกายดอกบัวขาว
“ผมไม่เพียงแต่ฆ่าเขา แต่ยังฆ่าชายชราผู้แข็งแกร่งกว่าเขาด้วย” โจวอี้พ่นลมอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “นิกายดอกบัวขาวรอบคอบไม่น้อย เพื่อที่จะฆ่าผม พวกเขาถึงขั้นส่งกึ่งปรมาจารย์สองคนมาที่นี่ ถ้าพวกเขาร่วมมือกัน ผมคงไม่รอดชีวิต”
“สอง? อีกคนคือใคร?” เฉิงฮ่าวถามด้วยความประหลาดใจ
“ไม่รู้สิ ชายชราที่ถือดาบยาว เขามีไฝที่คิ้ว และมีแผลเป็นที่ใบหน้าด้านซ้าย”
“ผู้อาวุโสเกาอู๋ คุณ… คุณสามารถฆ่าเกาอู๋ได้งั้นเหรอ!? อีกก้าวเดียวเกาอู๋จะทะลวงสู่ระดับปรมาจารย์แล้วนะ เขาคือคนที่ติดอันดับหนึ่งในสามของการจัดอันดับความแข็งแกร่งของนิกายดอกบัวขาว!” เฉิงฮ่าวกล่าวด้วยความตกใจ
“ความแข็งแกร่งเท่านั้นแต่ติดอันดับหนึ่งในสามแล้ว? ความแข็งแกร่งของนิกายดอกบัวขาวก็ไม่เห็นจะเท่าไหร่เลย!” โจวอี้พูดอย่างดูถูก
“ส่วนอีกสองคนที่ระดับสูงกว่าคือปรมาจารย์” เฉิงฮ่าวยิ้มอย่างขมขื่น
มีปรมาจารย์ถึงสองคนในนิกาย?
โจวอี้ขมวดคิ้วและรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
ถ้าคนที่ถูกฆ่าในวันนี้ไม่ได้บอกคนอื่น ๆ ในนิกายเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของเขา เขาคงจะไม่ต้องกังวลอะไร แต่ถ้าเรื่องของเขาถูกบอกต่อออกไปก็คงจะลำบาก
เขาสามารถฆ่ากึ่งปรมาจารย์ได้ แต่เขาคงไม่สามารถฆ่าปรมาจารย์ได้
ควรทำอย่างไรดี?
หากภัยคุกคามนี้ยังคงอยู่ เขาจะไม่มีวันปลอดภัยถ้าอยู่ในจินหลิง ไม่เพียงแต่ตัวเขาเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงถังหว่านและลูกสาวของเธอด้วย
พาถังหว่านและลูกสาวไปที่ภูเขาชางหลางดีไหม?
โจวอี้คิดอย่างเงียบ ๆ และจ้องไปที่เฉิงฮ่าวอีกครั้ง
เพราะไอ้สารเลวนี่เลย!
ไม่อย่างนั้นเขาจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร?
“คุณกลัวว่าคนอื่น ๆ ของ นิกายดอกบัวขาวจะตามามาล้างแค้นใช่ไหม” เฉิงฮ่าวถาม
“หรือว่าไม่จริง?” โจวอี้กล่าวอย่างโกรธเคือง
“ผมไม่รู้ว่าไป่เยว่ถิงและเกาอู๋เคยบอกคนอื่นเรื่องของคุณไหม แต่ผมสามารถช่วยยืนยันเรื่องนี้ได้ ตอนนี้ผมยังคงเป็นศิษย์ของนิกายดอกบัวขาว”
“ใช่ ผมลืมคุณไปได้ยังไง พ่อคนทรยศ” โจวอี้ตบหน้าผากตัวเอง
เฉิงฮ่าวดูกระอักกระอ่วน แต่เขากลายเป็นคนทรยศไปแล้ว เขาไม่เพียงแต่ทรยศโจวอี้ แต่ยังทรยศนิกายดอกบัวขาวอีกด้วย โจวอี้พูดถูกแล้ว
“ตอนนี้กลับไปที่จินหลิงกันก่อน ระหว่างทาง คุณติดต่อคนอื่น ๆ ของนิกายและช่วยผมหาข้อมูลด้วย”
“ได้” เฉิงฮ่าวพยักหน้า
เมื่อโจวอี้เข้าไปในที่นั่งคนขับ เขาก็จำได้ว่าเขาไม่มีใบขับขี่และขับรถไม่เป็น
เขามองไปที่เฉิงฮ่าวและพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ไปนั่งเบาะข้างคนขับ แล้วสอนผมขับรถ”
“…”
เฉิงฮ่าวจำได้ว่าโจวอี้ไม่มีใบขับขี่และขับรถไม่เป็น
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น
เขาก็ยังคงไปนั่งที่เบาะผู้โดยสารด้านหน้าและให้คำแนะนำกับโจวอี้เล็กน้อย
ไม่นานโจวอี้ก็สตาร์ตรถและขับไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ
สิบนาทีต่อมา โจวอี้มีความชำนาญในการขับขึ้นมาเล็กน้อย และความเร็วของรถก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
…แต่อย่างไรก็ยังไม่เกิน 60