ตอนที่ 139 ลิ้นจี่ที่แย่งมา

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 139 ลิ้นจี่ที่แย่งมา

สื่อเจินเซียงตกใจจนส่ายหน้าไปมาราวกับกลองป๋องแป๋ง พูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ฉันไม่ได้จะมาราวีคุณนะคะ แค่อยากจะบอกคุณว่าหลินม่ายเลี้ยงคนเถื่อนอยู่ในบ้าน”

หล่อนกับแม่สังเกตมานานแล้วว่าหลี่หมิงเฉิงพนักงานใหม่ของเปาห่าวชือเสี่ยวชือเตี้ยนอยู่ในบ้านของหลินม่ายตลอด นอกจากนี้ทั้งสองคนก็พูดคุยกันอย่างสนิทสนมมากทีเดียว

หลี่หมิงเฉิงคนนี้จะต้องเป็นชู้รักของหลินม่ายแน่นอน

คราวก่อนเป็นเพราะหลินม่ายทำให้แม่ของหล่อนถูกสันติบาลจับแล้วเสียค่าปรับ หล่อนจึงจำความแค้นนั้นได้จนถึงตอนนี้

ตอนนี้มีโอกาสชำระแค้นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่มีทางพลาดแน่!

“อ๋อ? งั้นเหรอ?” มุมปากของฟางจั๋วหรานประดับรอยยิ้มที่ไม่อาจตีความหมาย “คุณเอาสิ่งที่พูดเมื่อครู่ทั้งหมดเขียนลงบนกระดาษสิ”

สื่อเจินเซียงรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันตรายจางๆ จึงเอ่ยถามอย่างติดๆ ขัดๆ “ทำ… ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ?”

“ผมกลัวว่าพอผมไปพิสูจน์กับหลินม่ายแล้วจะไม่มีหลักฐานน่ะ”

สื่อเจินเซียงแบมือ “ถึง… ถึงฉันจะเขียนใส่กระดาษแล้ว หล่อนก็คงไม่ยอมรับหรอก เรื่องแบบนี้ฉันเองก็เอาหลักฐานแน่ชัดมาไม่ได้หรอกค่ะ”

ฟางจั๋วหรานแค่นหัวเราะ “คุณยังรู้ตัวเลยว่าเอาหลักฐานออกมาไม่ได้! อย่างนั้นคุณก็สาดโคลนใส่คนอื่นสินะ! เรื่องนี้ผมคงปล่อยผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้ ผมจะต้องทำให้คุณได้ชดใช้กับการปลุกปั่นครั้งนี้แน่นอน!”

สื่อเจินเซียงตกใจมาก หล่อนแทบจะอ้อนวอนทั้งน้ำตา “ศาสตราจารย์ฟาง ฉันจะไม่พูดเหลวไหลอีกแล้ว คุณปล่อยฉันไปเถอะนะคะ~”

ฟางจั๋วหรานพูดอย่างเย็นชา “คุณไปขอให้หลินม่ายยกโทษให้สิ ถ้าหล่อนยอมยกโทษให้คุณ ผมก็จะปล่อยคุณไป แล้วก็ หากมีข่าวซุบซิบนินทาที่เกี่ยวกับหลินม่าย ไม่ว่ามันจะเกี่ยวกับคุณหรือไม่ ผมจะโทษว่าเป็นฝีมือคุณทั้งหมด!”

สื่อเจินเซียงมองแผ่นหลังที่เดินไกลออกไปของเขา อยากจะร้องก็ร้องไม่ออก

ถ้ารู้แต่แรกหล่อนคงไม่วิ่งไปหาไอ้ตัวซวยนี่เพื่อใส่ร้ายยัยสารเลวนั่นหรอก ตอนนี้มันจบแล้ว ยกหินขึ้นมาแต่ดันหล่นทับขาตัวเอง

หล่อนไม่ไปทำงานแล้ว หลังจากซื้อของขวัญเสร็จก็แอบหลบแม่ตัวเองไปที่ร้านของหลินม่าย

หล่อนไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ตนใส่ร้ายเธอต่อหน้าฟางจั๋วหรานออกมา เพียงแค่บอกว่าเรื่องบางเรื่องแม่ของตนก็ทำเกินไปจริงๆ หล่อนจึงมาขอโทษแทนแม่ตัวเอง และยอมรับผิด

หลินม่ายสับสนงุนงง

สายตาที่สื่อเจินเซียงมองมายังเธอทุกๆ ครั้งนั้นร้ายกาจขนาดไหน เรื่องนี้เธอรู้ชัดดี

ตอนนี้เธอมาทำตัวเป็นมิตรราวกับถูกผีสิง หลินม่ายจึงสับสนมึนงงโดยสมบูรณ์

ศัตรูคู่แค้นควรแก้ไม่ควรผูก มือที่ยื่นมาย่อมไม่ทำร้ายคนที่ยิ้มให้

หลินม่ายยอมรับน้ำใจของสื่อเจินเซียงแต่โดยดี

แต่ก็เดาได้ว่าเบื้องหลังคงจะเป็นฝีมือของฟางจั๋วหราน

พอถึงเวลาที่ฟางจั๋วหรานมากินข้าวที่ร้านเธอจึงตั้งใจถามเรื่องนี้กับเขา และฟางจั๋วหรานก็ยอมรับอย่างเปิดเผย

เหล่าพนักงานที่รับสมัครเข้ามาเรียนรู้การทำเซาเข่าพวกนั้นของร้านหลินม่ายล้วนแต่มีฝีมือในการทำอาหารอยู่บ้าง หลังจากฝึกฝนอยู่ไม่กี่วัน ทุกคนต่างก็ทำเซาเข่าเป็น

ส่วนการทำเหลียงไช่นั้น สำหรับพวกเขาก็ยิ่งไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย

นอกจากนี้พนักงานทุกคนต่างก็ปรับตัวกับงานได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้หลินม่ายคอยสั่งคอยชี้แนะ โจวฉายอวิ๋นจึงสามารถควบคุมดูแลได้อย่างดี

การรับสินค้ามีหลี่หมิงเฉิงรับผิดชอบให้ หลินม่ายต้องทำเพียงแค่ผสมไส้ในทุกเช้าเท่านั้น โดยรวมก็ได้ปลดปล่อยตัวเองบ้างแล้ว เธอจึงตัดสินใจไปที่ชนบทเพื่อรับซื้อพืชผลทางการเกษตรเข้ามาขายต่อให้เมือง

นายช่างจางได้ปรับปรุงบ้านพักหลังนั้นที่หมู่บ้านซานหยางให้หลินม่ายแล้ว

ก่อนจะรับซื้อผลผลิต หลินม่ายได้กลับไปยังหมู่บ้านซานหยางรอบหนึ่ง เธอนำของขวัญไปเยี่ยมเยียนผู้ใหญ่ และฝากเขาช่วยปล่อยเช่าบ้านให้เธอ

เธอติดข้อมูลการเช่าบ้านไว้ที่ป้ายรถเมล์ทั่วละแวกนั้น ถ้ามีคนมาดูบ้าน ผู้ใหญ่บ้านช่วยพาไปดูบ้านแล้วปล่อยเช่าให้ก็เรียบร้อยแล้ว

ในยุคนี้ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ หลินม่ายจึงไม่มีวิธีติดต่อกับผู้เช่าได้ตลอดเวลา และไม่สามารถเสียเวลาอยู่เฝ้าที่หมู่บ้านซานหยางได้ ทำได้เพียงฝากให้ผู้ใหญ่บ้านช่วยเหลือเท่านั้น

อีกทั้งเธอยังสัญญากับผู้ใหญ่บ้านว่า จะแบ่งค่านายหน้าให้เขาสิบเปอร์เซ็นจากค่าเช่า

ค่านายหน้านี้ไม่น้อยเลย นอกจากนี้ของขวัญที่หลินม่ายนำมาด้วยเองก็มีมากมายหลายอย่าง ผู้ใหญ่บ้านจึงพยักหน้าตกลง

หมู่บ้านชนบทของเมืองหู แต่ละครัวเรือนต่างก็ชอบปลูกท้อและไหน ซึ่งผลไม้ทั้งสองอย่างนี้มีคุณภาพไม่เลว

เดือนห้าเป็นฤดูกาลที่ลูกท้อและลูกไหนออกตลาดพอดี

หลังกลับมาจากหมู่บ้านซานหยาง หลินม่ายก็เริ่มลงมือจัดการธุรกิจในร้าน เพื่อจะไปรับซื้อลูกท้อและลูกไหนที่ชนบทมาขายในเมืองวันพรุ่งนี้

ในเวลานั้นเอง พนักงานส่งสินค้าของโรงงานผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียมหงฉีก็มาส่งกล่องอาหารอะลูมิเนียมที่พิมพ์อักษร“เปาห่าวชือ เสี่ยวชือเตี้ยน”สามร้อยกล่อง

หลินม่ายรู้ว่าฟางจั๋วหรานคงช่วยเหลือเธออย่างลับๆ อีกครั้ง

ในตอนแรกที่เธอไปสั่งทำกล่องอาหารอะลูมิเนียมพิมพ์อักษร “เปาห่าวชือ เสี่ยวชือเตี้ยน”สามร้อยกล่องที่ผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียมหงฉี แต่โรงงานปฏิเสธ เพราะจำนวนที่สั่งซื้อน้อยเกินไป

พอฟางจั๋วหรานออกหน้าให้ก็ไม่รังเกียจที่จำนวนน้อยเกินไปแล้ว พูดได้แค่ว่าเส้นสายของฟางจั๋วหรานนั้นทั้งกว้างขวางและแข็งแกร่ง

หลินม่ายจัดการให้พนักงานนำกล่องอาหารอะลูมิเนียมสองสามร้อยกล่องนั้นไปฆ่าเชื้อทั้งหมด จากนั้นจึงติดประกาศในร้านว่าสามารถวางมัดจำแล้วเช่ากล่องอาหารได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

อย่างไรก็ตาม เมื่อคืนกล่องข้าวแล้วก็จะได้รับเงินมัดจำคืนเต็มจำนวน ไม่มีผลกระทบต่อลูกค้าเลยแม้แต่น้อย

เที่ยงวันนั้น ก็มีลูกค้าหลายคนเช่ากล่องอาหารเพื่อซื้ออาหารกินเล่นห่อกลับไป

ธุรกิจร้านอาหารของหลินม่ายจึงดียิ่งขึ้นไปอีก

ตอนที่ฟางจั๋วหรานมากินอาหารเย็นหลังเลิกงาน ได้นำลิ้นจี่มาด้วยไม่น้อย

หลินม่ายเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ญาติคนไข้ที่กวางตุ้งส่งลิ้นจี่มาให้คุณอีกแล้วเหรอคะ?”

ฟางจั๋วหรานพูดขึ้นอย่างประหม่าเล็กน้อย “ไม่ใช่ที่กวางตุ้ง ที่กวางสีน่ะ”

เขาบอกหลินม่ายไม่ได้ ว่าลิ้นจี่พวกนี้ไม่ใช่ของที่ญาติคนไข้ส่งมาให้เขา แต่ส่งมาให้หมออีกคนหนึ่งต่างหาก

เพราะได้ยินหนูน้อยบอกว่าหลินม่ายชอบกินลิ้นจี่ เขาจึงไปแย่งเอามาให้

หลินม่ายพูดด้วยความดีใจ “จะกวางตุ้งกวางสีก็ช่างมันเถอะ พรุ่งนี้ฉันกำลังจะกลับไปเมืองซื่อเหม่ยพอดี ถ้าเอาลิ้นจี่พวกนี้ไปให้คุณปู่คุณย่ากิน พวกเขาจะต้องชอบแน่ๆ”

แม้ฟางจั๋วหรานจะไม่ได้โตมากับคุณปูคุณย่าฟาง แต่กลับรู้สึกผูกพันกับพวกเขามาก

เมื่อเห็นหลินม่ายกตัญญูต่อผู้สูงอายุทั้งสองเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่งยิ่งขึ้นไปอีก

เช้าตรู่วันต่อมา หลินม่ายก็ขับรถแทรกเตอร์กลับไปยังชนบท พร้อมกับของขวัญของผู้อาวุโสตระกูลฟางทั้งสองและลิ้นจี่เหล่านั้นของฟางจั๋วหราน

กลับมาครั้งนี้ ไม่ทันได้บอกกล่าวล่วงหน้า คุณปู่คุณย่าฟางทั้งสองคนถึงทั้งรู้สึกคาดไม่ถึงทั้งดีใจ

ตอนที่หลินม่ายหยิบลิ้นจี่ออกมา บอกว่าฟางจั๋วหรานตั้งใจให้เธอเอามาให้พวกเขา คุณปู่และคุณย่าฟางก็ยิ่งดีใจ

คุณย่าฟางมีความสุขเสียจนขอบตาแดงก่ำ “จั๋วหรานเจ้าเด็กคนนี้ทำงานยุ่งขนาดนั้นยังนึกถึงพวกเรา กลัวว่าเราจะมีเงินไม่พอใช้ จึงส่งเงินมาให้พวกเราทุกเดือน ตอนนี้ยังให้หนูช่วยเอาผลไม้มาให้”

หลินม่ายค่อนข้างปวดใจ ความจริงแล้วทั้งสองท่านแค่หวังอยากให้หลานชายใส่ใจพวกเขามากขึ้นสักนิด

เธอหยิบของขวัญที่ตนจะให้ผู้อาวุโสทั้งสองออกมาครึ่งหนึ่ง แล้วทำเป็นว่าฟางจั๋วหรานเป็นคนซื้อมัน

ทั้งยังบอกว่า ฟางจั๋วหรานบอกกับเธอ ว่าต่อไปหากเธอกลับชนบทเมื่อไร ก็จะวานให้เธอเอาของมาให้พวกเขา

คุณย่าฟางยิ้มไม่หุบด้วยความปลื้มใจ แล้วจัดการทำข้าวหมากหวานใส่ไข่ให้หลินม่ายชามหนึ่ง

หลินม่ายนั้นกินอาหารเช้ามาแล้ว ในท้องยังอิ่มอยู่ เดิมทีจึงไม่อยากกินข้าวหมากหวานใส่ไข่อีก

แต่เธอก็ไม่อยากหักหาญน้ำใจของคุณย่าฟาง จึงประคองชามเหล้าหวานขึ้นมากิน

ผู้อาวุโสทั้งสองจ้องมองเธอกินด้วยความอ่อนโยน

คุณปู่ฟางถามขึ้น “เธอกลับมาคราวนี้จะเอาอะไรเหรอ? มันฝรั่ง?”

ที่จริงแล้วมันฝรั่งซื้อจากลุงขายผักเอาก็ได้ แต่ทุกๆ วันหลินม่ายก็ซื้อผักของร้านเขาไม่น้อย ช่วยให้สภาพเศรษฐกิจของครอบครัวดีขึ้นอย่างมาก

มันฝรั่งนี้หากซื้อจากคนบ้านเดียวกัน คนบ้านเดียวกันเหล่านี้เทียบกันแล้วยากจนกว่าลุงขายผักเสียอีก

“มันฝรั่งก็จำเป็นเหมือนกัน แต่ฉันอยากรับซื้อลูกท้อกับลูกไหนด้วยค่ะ”

คุณปู่ฟางรีบวางแก้วชาในมือลงทันที “มันฝรั่งจะเอากี่ชั่งดีล่ะ? ลูกท้อกับลูกไหนต้องการเท่าไหร่? ปู่จะช่วยหาให้”

หลินม่ายบอกกับเขาอย่างไม่มากพิธี “ลูกท้อ700ชั่ง ลูกไหน300ชั่ง มันฝรั่ง500ชั่งค่ะ”

ลูกไหนประจำท้องถิ่นมีรสชาติเปรี้ยวอมหวานเยี่ยมยอด แต่ไม่ควรกินมากไป หลินม่ายจึงไม่กล้าสั่งมามากนัก

คุณย่าฟางเกลี้ยกล่อม “สั่งมากขนาดนี้ในคราวเดียว จะขายหมดเหรอจ๊ะ? ลูกท้อท้องถิ่นของเราไม่ใช่ท้อน้ำผึ้งก็เป็นท้อสีเลือดที่มีน้ำมากเป็นพิเศษ ไม่ควรทิ้งไว้นาน หากขายไม่หมดภายในห้าวัน ก็จะเน่าเสียได้ ไม่สู้สั่งไปทีละครึ่งดีกว่า ทุกครั้งก็สั่งผลไม้แค่อย่างละ500ชั่งก็พอ ขายหมดแล้วค่อยมาใหม่ แบบนี้จะปลอดภัยกว่านะ”

คุณปู่ฟางเองก็โน้มน้าว “ฟังที่ย่าพูดเถอะ วางใจได้!”

หลินม่ายแหงนหน้ากรอกเหล้าหวานที่เหลือในชามทั้งหมดเข้าปาก

เธอวางชามลงแล้วพูด “คุณปู่คุณย่าไม่ต้องเป็นห่วง ขายหมดภายในห้าวันแน่นอนค่ะ”

คุณปู่ฟางได้ยินเธอพูดเช่นนั้น ก็ไม่ขัดขวางอีก ก่อนออกไปช่วยเธอรวบรวมมันฝรั่ง ลูกท้อ และลูกไหนมา

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อ้าวพี่หมอ ถึงกับขโมยลิ้นจี่คนอื่นเพื่อเอาใจสาวเลยเหรอ

ม่ายจื่ออย่าไว้ใจนังผู้หญิงข้างบ้านนี่นะคะ นางไว้ใจไม่ได้

ไหหม่า(海馬)