บทที่ 106 ถ้าแม่ตีเจ้าอีก เจ้าต้องหลบนะ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

เมื่อเหยาซูได้ยินคำพูดของอาซือ อีกทั้งสบสายตาที่ดูหยอกเย้าก็ไม่ปานของแม่เฒ่าเหยาอีกครั้ง จึงทำได้แค่พึมพำว่า “ต้าเป่าเด็กคนนี้ ไม่เห็นได้ยินเสียงเลย …เขาไปไหนหรือ?’

ก่อนถามอาซืออีกว่า “เอ้อเป่า พี่ชายเจ้าละ?”

เด็กน้อยกะพริบตาส่ายหน้าพลางพูดว่า “ไม่รู้สิเจ้าคะ หลังจากที่ท่านยายออกไป พี่ชายก็ออกไปเลย”

เหยาซูและหลินเหราสบตากัน ในตอนที่ทั้งสองคนกลับมานั้นก็ไม่เห็นอาจื้อแล้ว เด็กคนนี้ไปเดินเตร่ที่ไหนอีกนะ?

หลินจื้อที่ถูกหลินเหราเรียกว่า ‘เด็กส่งสาร’ ในเวลานี้กำลังเก็บตัวอยู่ในห้องหนังสือกับพี่คนโต เด็กน้อยขมวดคิ้วเล็กน้อยและทอดถอนใจออกมาอย่างอดไม่ได้

เหยาต้าหลางจึงปลอบใจเขา “เรื่องของผู้ใหญ่ ให้ผู้ใหญ่จัดการเถอะ เรากลุ้มใจไปก็ไร้ประโยชน์”

อาจื้อไม่ได้รับการปลอบใจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับเป็นกังวลยิ่งกว่าเดิม “พี่ใหญ่ ท่านว่า… ท่านพ่อและท่านแม่ของข้า จะหย่ากันจริง ๆ หรือไม่ขอรับ?”

กล่าวถึงลูกพี่ลูกน้องทั้งสองของตระกูลเหยาแล้ว เหยาต้าหลางมีนิสัยสุขุม ขณะที่เหยาเอ้อหลางนั้นหละหลวม ทั้งยังได้นิสัยของบิดาติดมาอีกด้วย เพียงแต่เมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ทั้งสองคนแล้ว ความเฉลียวฉลาดของพวกเขายังน้อยมาก คิดเรื่องราวได้ตื้นเขินเกินไป

เหยาต้าหลางเห็นใบหน้าเล็ก ๆ ของญาติผู้น้องนั้นบูดเบี้ยวจนกลายเป็นเหมือนซาลาเปาที่มีจีบรอบ จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อโน้มน้าวเขา “เป็นไปไม่ได้! ท่านพ่อและท่านแม่ของข้าก็มักจะทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง หากท่านแม่โกรธจริง ๆ ก็แค่กลับมาบ้านท่านยายของข้า…”

อาจื้อเงยหน้าขึ้นอย่างเป็นกังวล “แต่ท่านป้าสะใภ้ก็ไม่เคยพูดว่าเลิกกันไม่ใช่หรือไร?”

เหยาต้าหลางลังเลเล็กน้อย

อาจื้อและอาซือไม่ได้มาบ้านตระกูลเหยาเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว จึงถูกญาติผู้พี่ทั้งสองคนดูแลราวกับเป็นน้องชายและน้องสาวแท้ ๆ

ระหว่างปลอบโยนน้องชายและขุดหลุมฝังพ่อของตัวเอง เหยาต้าหลางเลือกอย่างหลังแน่นอนอยู่แล้ว

“ต้าเป่า เจ้าวางใจเถอะ ท่านอาและท่านอาเขยไม่มีทางเลิกกันหรอก ท่านพ่อของข้ามักนอนกรนในเวลากลางคืน และยังไม่ชอบล้างเท้า ท่านแม่ของข้าก็ไม่เลิกกับเขาอยู่ดีนี่?”

อาจื้อมองไปทางญาติผู้พี่ด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเดิม “ท่านลุงเขา…เขาไม่ล้างเท้าในตอนกลางคืนหรือ?”

เหยาเฟิงเคยชินกับชีวิตแบบนี้ไปแล้ว จึงไม่มีปัญหากับเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ เหยาต้าหลางเองก็ไม่รู้ไปได้ยินข้อกล่าวหานี้มาจากไหน จึงได้มาลงใส่บิดาของตัวเอง

“ก็ใช่นะสิ! เขาไม่เพียงแต่จะไม่ล้างเท้าในตอนกลางคืนเท่านั้นนะ ยังไม่เคยเปลี่ยนชุดชั้นในด้วย ชุดชั้นในตัวนั้นก็ใส่มาจะครบหนึ่งปี…”

ไม่เปลี่ยนชุดชั้นใน เป็นเรื่องที่เหยาต้าหลางคิดเอาเอง

มีอยู่คืนหนึ่งเขาเห็นรอยขาดรอยหนึ่งบนเสื้อของท่านพ่อ แม้ว่าในวันรุ่งขึ้นเหยาเฟิงจะเปลี่ยนชุดชั้นในแล้ว แต่ในตอนที่เปลี่ยนกลับเรียกเหยาต้าหลาง ทั้งยังสอนลูกชายว่าต้องประหยัดและเลี้ยงดูครอบครัว ชุดชั้นในล้วนถูกใส่อยู่ภายใน ถึงขาดไปก็ไม่มีใครเห็น ย่อมใส่ได้

ถึงคำพูดจะเหมือนกัน แต่หากเหยาเอ้อหลางเป็นผู้เอ่ยออกมา อาจื้อคงไม่เชื่อ

ทว่าในฐานะที่เหยาต้าหลางเป็นพี่ชายคนโตของตระกูล คำพูดล้วนมีความน่าเชื่อถือเสมอมา

เขาแสดงสีหน้าเห็นอกเห็นใจพลางพูดกับเหยาต้าหลางว่า “หากเป็นเช่นนี้ ท่านพ่อของข้าก็ดีกว่าท่านลุง…”

เหยาต้าหลางพยักหน้าหงึกหงักราวกับเป็นเรื่องใหญ่โต “ใช่นะสิ ดังนั้นท่านอาไม่มีทางเลิกกับท่านอาเขยเป็นแน่”

ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยพูดเรื่องแย่ ๆ ที่เกี่ยวกับบิดาของตนต่อหน้าญาติผู้น้อง นับประสาอะไรกับปัญหาที่สมมุติขึ้นมาเช่นนี้ หากถูกเหยาเฟิงรู้เข้า ต่อให้เขาจะอารมณ์ดีเพียงใด เกรงว่าคงต้องจัดการตัวเองฉากหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อเห็นสภาพจิตใจของอาจื้อที่เดิมทีไม่สบายใจอยู่แล้วสงบลงได้ในที่สุด เหยาต้าหลางจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “เราไปดูเอ้อหลางกันเถอะ! ไม่รู้ว่าหลังจากที่เขากลับมาอย่างหมดอาลัยตายอยากในวันนี้แล้ว จะถูกอาสะใภ้รองว่า…”

อาจื้อจึงรีบพยักหน้าทันที “ใช่ ๆ พี่รองไปจับกระต่ายให้อาซือบนภูเขา กระต่ายก็จับไม่ได้ ทั้งยังบาดเจ็บกลับมาทั้งตัวอีก เมื่อครู่เห็นสีหน้าของป้าสะใภ้รองไม่สู้ดีนัก เรารีบไปดูกันเถอะ”

หากหนึ่งในพวกเขาสามคนมีปัญหา อีกสองคนจะรีบออกความคิดเห็นทันที ถ้าเหยาเอ้อหลางถูกด่าหรือถูกลงโทษ พวกเขาสองคนอยู่ในสถานการณ์นั้นด้วย ก็จะรีบขอความเมตตาทันใด

ทั้งสองคนออกมาจากห้องหนังสืออย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็เลียบไปตามเชิงกำแพงของบ้านหลังที่สอง กระทั่งได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากภายในที่ห่างกันเพียงหน้าต่างกั้น

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงยอมรับผิดอย่างน่าสงสารของเหยาเอ้อหลางจากภายใน “ท่านแม่ ข้ารู้ผิดแล้ว…”

สะใภ้รองเหยากลับยังหนักแน่น “เจ้าไม่ต้องมายอมรับผิดกับข้า รอให้พ่อเจ้ากลับมาก็ไปอธิบายกับเขาเองแล้วกัน”

เหยาเอ้อหลางหัวเราะ ‘ฮิ ฮิ’ ออกมา และพูดว่า “ขอแค่ท่านแม่ไม่โกรธ ท่านพ่อก็พูดง่ายจะตายไป”

“คิดแบบนี้ ยังรู้ผิดอีกหรือ?! รู้ตรงไหน?! ข้าว่าเจ้าต้องโดนตีสักฉาด!”

บางทีอาจเป็นเพราะทำให้สะใภ้รองเหยาโกรธจนต้องลงไม้ลงมือ อาจื้อและเหยาต้าหลางจึงพลันได้ยินเสียงเคลื่อนไหวที่ดังสนั่นจากภายใน ส่วนเหยาเอ้อหลางก็ส่งเสียงร้อง ‘โอดโอย’ ออกมาพลางพูดว่า “ข้าผิดไปแล้ว! ท่านแม่ ข้ารู้ผิดแล้วจริง ๆ ขอรับ!”

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธของสะใภ้รองเหยาพลันดังขึ้น “ผิดตรงไหน?!”

เอ้อหลางพูดอย่างน่าสงสาร “ไม่ควรทำเสื้อผ้าสกปรก…..”

เสียงเพี้ยะ เพี้ยะดังออกมาจากในห้อง อาจื้อและญาติผู้พี่ต่างมองหน้ากัน ก่อนต่างฝ่ายต่างพูดออกมาโดยไร้เสียง “ตีตรงไหน?”

ในความโกรธเคืองของสะใภ้รองเหยาผสมผสานไปด้วยความไม่ได้ดั่งใจ จึงพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “เจ้าลิงซนตัวนี้นี่ หากสามวันไม่โดนตี ต่อไปคงซนจนไปรื้อกระเบื้องหลังคา[1]อีกแน่! เสื้อผ้าก็ขาดรุ่งริ่ง แม่ของเจ้าตีจนเสื้อผ้าขาดเลยอย่างนั้นหรือ? ตระกูลของเราขาดแคลนเสื้อผ้าเหล่านี้หรือ?! ดูเจ้าสิท่าทางเหมือนลูกหมาตกน้ำ ชอบทำให้ตระกูลเหยาของพวกเจ้าอับอายจริง ๆ! แม้แต่อาซือก็ยังเขียนหนังสือได้ดีกว่าเจ้า! เจ้าเขียนไม่ดีก็ช่างเถอะ ทำไมวันนี้ถึงได้ออกไปเที่ยวเล่นได้? นี่มันกี่ครั้งแล้ว?!”

เหยาเอ้าหลางตอบกลับอย่างง่าย ๆ “จำไม่ได้ว่ากี่ครั้งแล้วขอรับ”

สะใภ้รองเหยาหยิบไม้บรรทัดสมัยโบราณข้างกายขึ้นมา จากนั้นก็ฟาดเขาอย่างแรงหลายครั้ง ฟาดลงไปบนแผ่นหลังของเอ้อหลาง เด็กผู้ชายกลับทำได้แค่ขมวดคิ้วและอดทนไว้

หลังจากถูกฟาดเสร็จ สะใภ้รองเหยาถึงกับเหงื่อออกไปทั่วทั้งร่างกาย ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าของลูกชายที่ซีดขาวไปหมด ก็โกรธเคืองขึ้นมาอีกอย่างอดไม่ได้ พร้อมกับก่นด่าด้วยความปวดใจ “ปกติเจ้าปราดเปรื่องมากไม่ใช่หรือ? ทำไมวันนี้ตอนที่ตีเจ้า ถึงได้ยืนนิ่งให้ตีได้เล่า?!”

เหยาเอ้อหลางอดกลั้นความเจ็บปวดและพูดว่า “ท่านลุงสอนเราไว้ ไม้เล็กทนได้ ไม้ใหญ่ให้หนี ท่านแม่ ใช่ว่าท่านจะตีข้าแรงจริง ๆ เสียหน่อย ข้าควรจะอดทนไว้ขอรับ”

เมื่อสะใภ้รองเหยาได้ยินคำพูดนี้ ไม้บรรทัดโบราณในมือก็ลื่นไถลร่วงลงไปบนพื้น

“เจ้า…เอ้อหลาง เจ้ารู้เรื่องเหล่านี้ด้วยหรือ?”

เหยาเอ้อหลางพูดอย่างหดหู่ใจ “ข้าตามท่านลุงไปเรียนหนังสือทุกวัน ไฉนเลยแม้แต่ ‘คัมภีร์หลุนอี่ว์’ ก็ยังท่องไม่ได้ล่ะขอรับ?”

เด็ก ๆ ในตระกูลเหยาล้วนเฉลียวฉลาดมาก เหยาเอ้าหลางแค่ไม่ชอบเรียนหนังสือเท่านั้น ทว่าไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เข้าใจ

สะใภ้รองเหยาดึงลูกชายเข้ามาข้างตัว ก่อนจะเปิดเสื้อด้านหลังของเขาดู เมื่อเห็นว่าแผ่นหลังที่ขาวเนียนเพราะไม่เคยตากแดดของเด็กผู้ชาย เต็มไปด้วยรอยแดงหลายเส้น เห็นแล้วน่าใจหายยิ่งนัก

รอบดวงตาของนางก็พลันแดงก่ำ

เมื่อเห็นมารดาไม่พูดสิ่งใด เหยาเอ้าหลางจึงหันกลับไปด้วยความสงสัยพลันเห็นดวงตาที่แดงก่ำของนาง จึงทำอะไรไม่ถูกในทันที “ท่านแม่ ข้า ข้าไม่เป็นอะไร ข้าหนังหนาจะตายไป ไม่เจ็บสักนิด…”

สะใภ้รองเหยาโอบกอดลูกชาย พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นที่พยายามข่มไว้ “ครั้งต่อไปถ้าแม่ตีเจ้าอีก เจ้าต้องหลบนะ ได้ยินหรือไม่?”

เหยาเอ้าหลางที่โดนด่าเสียเละเทะเมื่อครู่ ทั้งยังโดนตีไปชุดหนึ่ง เมื่อถูกมารดาสวมกอด จึงไร้ปฏิกิริยาตอบสนองทันใด

เขาพยักหน้า พลางตอบรับอย่างเชื่อฟัง “อื้อ”

[1] 三天不打就要上房揭瓦หากสามวันไม่โดนตี ต่อไปคงซนจนไปรื้อกระเบื้องหลังคาอีกแน่ หมายถึง หากไม่จัดการวันนี้ วันหน้าก็ต้องเกิดเรื่องอีก

สารจากผู้แปล

อาจื้ออย่าเพิ่งคิดมากนะคะ ท่านพ่อท่านแม่ยังไม่หย่าๆ

ต้าหลางเผาพ่อตัวเองเฉย ระวังท่านพ่อรู้เข้าแล้วจะโดนโทษสถานหนักนะคะ

ส่วนเอ้อหลางก็เพลา ๆ เรื่องซนบ้าง ท่านแม่จะได้ไม่ปวดใจแบบนี้

ไหหม่า(海馬)