“ตึกหลังนั้นนั่นน่ะหรอพี่อิซานางิ?”
หลังจากที่นีเซลและเรเกียน่าขึ้นรถม้าออกจากเมืองกราวิทัสไปแล้วได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง ที่บ้านเช่าหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้กับอาคารประจำการทหารยามบริเวณชานเมืองกราวิทัสทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือเองก็ได้มีเสียงของเด็กสาวผมสีทองผู้ใช้ตะบองเหล็กติดไฟนามว่า ซัมเมอร์ พูดถามหญิงสาวผมสีชมพูผู้ใช้ดาบยักษ์และอุปกรณ์แขนกลดังขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงเอาไว้ด้วยความหงุดหงิด
ซึ่งนั่นก็ทำให้อิซานางิที่สวมใส่หน้ากากที่มีท่อเชื่อมต่อไปยังกระเป๋าด้านหลังของเธอและกำลังใช้กล้องส่องทางไกลแบบเลนส์เดียวส่องสำรวจที่พักทหารยามของเมืองกราวิทัสอยู่จำเป็นต้องละสายตาออกมาเพื่อพูดตอบกลับไป
“ถ้าจากที่ฮานะกับนิโคลบอกมาก็น่าจะใช่ล่ะ”
“ถ้างั้นนี่พวกเรามานั่งรออะไรกันอยู่เล่า!! หนูอยากจะฟาดพวกมันให้เกลี้ยงจะตายอยู่แล้วเนี่ย!!”
เด็กสาวผมสีทองผู้ที่เคยเห็นพ่อแท้ๆ ของตัวเองถูกทหารของเมืองกราวิทัสฆ่าต่อหน้าต่อตาและเคยเกือบจะโดนทหารเหล่านั้นทำมิดีมิร้ายนั้นได้ตวาดขึ้นมาด้วยท่าทีกระเหี้ยนกระหือรือราวกับว่าเธอกำลังจะอดใจไม่ไหวที่จะได้ไล่ฆ่าเหล่าทหารในตึกนั้นตามใจชอบ
ซึ่งท่าทีที่ดูราวกับจะอดใจไม่ไหวที่จะได้ละเลงเลือดโดยที่แทบจะไม่มีคำว่าภารกิจช่วยเหลือรากูน่าอยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อยของซัมเมอร์นั้นก็ได้ทำให้อิซานางิที่เคยเป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติภารกิจลับของเมืองซากิไม่ก็เมืองยูกิต้องเก็บกล้องส่องทางไกลของเธอลงและเอ่ยปากพูดห้ามปรามเพื่อนร่วมทีมของเธอในคราวนี้ขึ้นมา
“ใจเย็นๆ ก่อน คราวนี้พวกเรามาทำภารกิจช่วยเหลือกันนะไม่ได้จะมาล้างบางทหารพวกนั้นเธอจำได้หรือเปล่าเนี่ย?”
“ภารกิจช่วยเหลือมันก็แค่เรื่องง่ายๆ ไม่ใช่หรอไงพี่อิซานางิ”
“ที่คราวก่อนเรื่องมันง่ายขนาดนั้นมันเป็นเพราะว่านิโคลเขาวางระเบิดเอาไว้ก่อนแล้วก็ใช้แก๊สพิษอะไรนั่นเล่นงานพวกทหารของรีมินัสจนหมดสภาพไม่ใช่หรอไง คราวนี้พวกเราต้องทำงานกันเองเพราะงั้นต้องรอบคอบกันหน่อยเข้าใจมั้ย ดูอย่างคราวก่อนที่หมู่บ้านโมริกะหรือโมริโกะอะไรนั่นที่เธอประมาทสิ ผลมันออกมาเป็นยังไงล่ะ?”
“ก็นั่นมันเป็นเพราะว่ายัยพยาบาลนั่นมันเล่นทีเผลอต่างหากเล่า! แล้วใครจะไปคิดละว่าแค่น้ำธรรมดาๆ มันจะทำให้ลูกตาแทบหลุดออกมาได้แบบนั้นน่ะ!!”
ซัมเมอร์ที่โดนอิซานางิพูดย้ำเตือนเกี่ยวกับเรื่องที่เธอพลาดท่าถูกนางพยาบาลสาวของอารอนสาดสารเคมีใส่หน้าจังๆ ที่หมู่บ้านโมริโกะนั้นได้ร้องโวยวายออกมาด้วยความฉุนเฉียว ซึ่งท่าทางเหมือนกับไม่ยอมรับในความผิดพลาดของตัวเองนั้นก็ได้ทำให้อิซานางิตัดสินใจที่จะพุ่งมือคว้าไปยังศีรษะของเด็กสาวแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาตรงๆ
หมับ
“ยัยเบื๊อกเอ๊ย ก็เพราะว่าเธอประมาทน่ะสิถึงได้โดนเล่นงานเข้าแบบไม่รู้ตัวแบบนั้นน่ะ แล้วก็เพราะว่าพวกฉันไม่อยากจะโดนแบบเธอเพราะงั้นก็เลยต้องมานั่งวางแผนให้รอบคอบกันอยู่นี่ไง”
“โธ่เอ๊ย แล้วแผนของพี่อิซานางิมันเคยได้ผลซะที่ไหนกันล่ะ ไหนใครกันที่เคยวางแผนเอาไว้ซะดิบซะดีเสร็จแล้วก็ดันโดนเด็กนักเรียนแค่สองคนเข้ามาป่วนจนแผนพังจนต้องให้พี่ฮานะเข้าไปช่วยเอาไว้น่ะ!”
“ยัยเด็กนี่…! เอ้า! ไหนถ้าเกิดว่าเธอจะไม่ให้ฉันวางแผนแล้วเธอคิดจะเข้าไปช่วยเป้าหมายออกมาได้ยังไงล่ะ ไหนลองว่ามาสิ?”
“เอ๊ะ—เอ่อ… ก็หาตรงจุดที่เป้าหมายน่าจะอยู่แล้วก็พังกำแพงเข้าไปเลยก็น่าจะสิ้นเรื่องนี่ แล้วระหว่างนั้นก็แวะฆ่าพวกทหารสักคนสองคนแล้วค่อยกลับ…”
ซัมเมอร์ที่โดนอิซานางิจับหัวให้หันไปมองทางด้านอาคารสองชั้นอันเป็นเป้าหมายนั้นได้เสนอแผนการอันแสนเรียบง่ายขึ้นมา ซึ่งนั่นก็ทำให้อิซานางิแทบจะต้องเหลือกตาให้กับเด็กสาวหน้าเลือดคนนี้พร้อมกับพูดบ่นขึ้นมา
“พังกำแพงเข้าไป? จะพังยังไงล่ะ? ดาบฉันก็ไม่มี ระเบิดก็ไม่มี หรือว่าจะใช้คบเพลิงของเธอทุบกำแพงเข้าไปล่ะ? กว่าจะสำเร็จมีหวังทหารพวกนั้นได้รู้ตัวกันหมดแล้วมั้ง… อ๋อใช่… แล้วก็บังเอิญว่าคราวนี้เป้าหมายอยู่ในคุกใต้ดินด้วย ถ้าเธออยากจะพังกำแพงเข้าไปก็เชิญเลย”
“อย่ามาเรียกอาวุธที่พี่ฮานะให้หนูมาว่าคบเพลิงนะ!! แล้วถ้าจะพูดอย่างงั้นทำไมพี่อิซานางิถึงไม่พกอาวุธมาด้วยเล่า! หรือว่าลืมดูแลจนสนิมกินไปแล้วกันหะ!!”
“บอกว่าอาวุธของใครสนิมกินกันหะ!!”
คำพูดของซัมเมอร์ที่เกี่ยวข้องกับดาบยักษ์ของอิซานางินั้นได้ทำให้หญิงสาวผมสีชมพูถึงกับคิ้วกระตุกและกระชากหัวของซัมเมอร์ที่เธอยังคงบีบเอาไว้เข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับชี้ให้เด็กสาวดูหน้ากากติดท่ออะไรบางอย่างที่เธอสวมใส่เอาไว้ชัดๆ พร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ก็เผื่อเธอยังไม่รู้นะว่าเจ้านี่น่ะมันคือหน้ากากช่วยหายใจที่ช่วยให้คนเจ็บหายใจได้สะดวกขึ้นน่ะ! ตอนที่คุณพี่ฮานะของเธอได้ยินว่าเธอถูกสั่งให้มาทำงานนี่คนเดียวก็ตาลีตาเหลือกมาตามฉันที่ยังไม่หายดีจากการฝึกให้มาช่วยดูแลเธอน่ะรู้มั้ย!! แล้วดูสิ เป็นคนส่งฉันที่ยังไม่หายดีมาเองแท้ๆ แต่ดันมีหน้ามาบอกว่าคนเจ็บต้องพักผ่อนเพราะงั้นไม่ต้องเอาอาวุธมาด้วยเฉยๆ เลย! มันจะอะไรกันนักกันหนาก็ไม่รู้คุณพี่ฮานะของเธอน่ะ!”
“เอ๋? เป็นคำสั่งของพี่ฮานะหรอกหรอ? ถ้างั้นก็คงจะช่วยไม่ได้สินะคะ”
“ทีงี้ทำเป็นเข้าใจง่ายเลยนะยัยตัวแสบเอ๊ย ไป ถ้าว่างนักก็ไปซ้อมหวดลมเล่นตรงนู้นไป๊!”
ในทันทีที่ซัมเมอร์ได้ยินว่าที่อิซานางิไม่ได้พกดาบยักษ์ประจำตัวและพาร์ทแขนกลมาด้วยมันเป็นเพราะคำสั่งของฮานะนั้นเด็กสาวก็ได้พยักหน้าอย่างว่าง่ายจนทำให้อิซานางิแทบจะถอนหายใจออกมา
ซึ่งในขณะที่อิซานางิกำลังเอ่ยปากพูดไล่ซัมเมอร์ให้ไปหวดลมดับความกระหายเลือดอยู่นั้นเอง ประตูห้องเช่าที่พวกเธอใช้เป็นจุดเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ก็ได้ถูกเปิดออกพร้อมๆ กับที่มีชายวัยกลางคนที่มีเขาสัตว์สีขาวประดับอยู่ที่ข้างศีรษะคนหนึ่งเดินเข้ามา
“พวกผมสำรวจพื้นที่รอบอาคารเสร็จเรียบร้อยแล้วครับคุณอิซานางิ”
“อ่าหะ… ว่าแต่นายคือเพื่อนร่วมงานของอัลเดรียงั้นหรอ? ตกลงว่าพวกนายจะเข้าร่วมภารกิจรอบนี้ด้วยจริงๆ สินะ?”
“ก็ถ้าเกิดว่านั่นมันเป็นคำขอสุดท้ายของอัลเดรียล่ะก็ พวกผมก็ต้องเอาด้วยอยู่แล้วล่ะครับ… อีกอย่างนึงถึงพวกผมจะรู้ว่าเมืองกราวิทัสมันเน่าเฟะไปแล้วก็เถอะ… แต่ก็คิดไม่ถึงว่ามันจะตกต่ำถึงขั้นจับเด็กคนนึงที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยมาทรมาณแบบนี้น่ะ”
“อ่า… ขนาดเมืองซากิของฉันที่ว่ามันห่วยแตกแล้วก็ยังไม่ถึงขั้นนี้จริงๆ นั่นแหล่ะ”
อิซานางิที่ได้ยินชายวัยกลางคนพูดบ่นเรื่องเมืองกราวิทัสขึ้นมานั้นได้พยักหน้าเห็นด้วยกลับไป ในขณะที่ทางด้านซัมเมอร์ที่ยืนว่างอยู่นั้นก็ได้เอ่ยปากพูดถามขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน
“ว่าแต่พวกลุงออกไปเดินร่อนเร่ข้างนอกแบบนั้นมามันจะไม่เป็นไรหรอ? ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ก็เพิ่งจะโดนพวกทหารนั่นจับส่งไปที่เมืองรีมินัสมารอบนึงแล้วหรอกหรอ?”
“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอกนะซัมเมอร์ ที่พวกลุงโดนจับมันไม่ได้มีการออกหมายจับอย่างเป็นทางการน่ะ เพราะงั้นพวกทหารทั่วๆ ไปก็คงจะไม่รู้เรื่องอะไรหรอก แล้วถึงทางเมืองรีมินัสจะส่งคนมาแจ้งเรื่องที่ว่ามีคนบุกชิงตัวนักโทษออกมาแล้วแต่พวกข้างในวังหลวงเน่าๆ นั่นก็คงจะไม่ใส่ใจอะไรเท่าไหร่หรอก”
“ทั้งๆ ที่เจ้าพวกนั้นทำกับพวกลุงเอาไว้ตั้งขนาดนั้นน่ะนะ? ”
“อื้ม… ก็เพราะว่าเจ้าพวกข้างในนั่นคิดว่าตัวเองกุมอำนาจเบ็ดเสร็จเอาไว้ทุกอย่างแล้วเพราะงั้นกับคนธรรมดาๆ ไม่กี่คนก็คงจะไม่มีปัญญาทำอะไรพวกมันอยู่แล้วอะไรประมาณนั้นน่ะ ขอแค่พวกลุงไม่ทำตัวเด่นจนไปเตะตาพวกมันอีกรอบนึงก็พอแล้ว…”
ชายผมสีเทาวัยกลางคนพูดตอบซัมเมอร์กลับไปด้วยท่าทีใจดีก่อนที่เขาจะหันกลับไปพูดบอกอิซานางิขึ้นมา
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวหลังจากนี้พวกผมจะออกไปก่อเรื่องที่บาร์เหล้าแถวนี้สักหน่อยก็แล้วกันนะครับ เพราะถ้าเกิดอยู่ๆ มีเหตุทะเลาะวิวาทกันขึ้นมาทหารส่วนหนึ่งก็คงจะต้องออกไปดูอยู่บ้างแหล่ะจริงมั้ยล่ะครับ”
“เรื่องนั้นไม่ต้อง”
“เอ๋?”
ชายผมสีเทาที่กำลังทำท่าเหมือนกับว่าจะเดินออกไปจากห้องนั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยเมื่ออิซานางิได้พูดห้ามเขาเอาไว้เสียก่อน
ซึ่งทางด้านอิซานางิที่เห็นว่าชายผมสีเทาได้หยุดเท้าลงแล้วนั้นก็ได้กวักมือไปทางด้านมุมมืดของห้องเล็กน้อยเผยให้เห็นหน่วยทหารในชุดผ้าที่สวมใส่เกราะแขนสีดำหน้าตาเป็นเอกลักษณ์เอาไว้นับสิบคนก่อนที่เธอจะพูดสั่งพวกเขาขึ้นมา
“ออกไปก่อเรื่องวุ่นวายกันหน่อย เอาแค่เล่นซนเล็กๆ น้อยๆ พอ อย่าให้หนักข้อมากนักล่ะเข้าใจมั้ย”
“ครับ!!”
เหล่าหน่วยทหารในชุดผ้าที่สวมใส่ปลอกแขนสีดำนั้นได้ขานตอบอิซานางิกลับไปเสียงดังฟังชัดก่อนที่พวกเขาจะพากันเดินออกจากห้องเช่าแห่งนี้ไปพร้อมๆ กับที่อิซานางิได้หันไปพูดบอกชายวัยกลางคนผมสีเทาขึ้นมา
“เรื่องวุ่นวายน่ะปล่อยให้พวกมืออาชีพเขาจัดการเถอะ นายพาคนอื่นๆ ไปจุดนัดพบที่นอกเมืองไป”
“แต่… ถ้าเป็นอย่างงี้มันก็เหมือนกับว่าพวกผมไม่ได้ทำอะไรเพื่ออัลเดรียเขาเลยสิครับ…”
“ฉันรู้ว่านายอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยลูกของอัลเดรียที่เป็นเพื่อนของนาย แต่ว่าฝีมือระดับชาวบ้านธรรมดาๆ แบบนั้นน่ะอย่างดีก็คงจบที่โดนจับไปขังอีกรอบ อย่างร้ายก็คงจะไปจบที่จบชีวิต เพราะงั้นปล่อยเรื่องนี้ให้พวกฉันจัดการกันเองดีกว่า”
“ก็ตามที่พี่อิซานางิบอกนั่นแหล่ะ เรื่องนี้ปล่อยให้มือดีอย่างพวกหนูจัดการกันเองดีกว่า~”
ซัมเมอร์ที่ดูเหมือนจะรู้ว่าใกล้จะได้เวลาที่เธอจะได้ลงมือปฏิบัติงานเสียทีนั้นได้พูดขึ้นมาด้วยความอารมณ์ดีและเหวี่ยงไม้กระบองเหล็กของเธอไปมาจนเกิดเสียงแหวกอากาศเสียงดัง
ส่วนทางด้านอิซานางิที่จับตามองดูชายวัยกลางคนผมสีเทาที่ยังคงทำท่าเหมือนกับว่าอยากจะช่วยเหลืออะไรสักอย่างอยู่ดีอยู่นั้นก็ได้พ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะคว้าเอาดาบคาตานะที่ถูกวางเอาไว้ใกล้ๆ กันขึ้นมาโยนออกไปเบื้องหน้า
แคล๊ง!
“—!?”
“ในแผนการส่วนของฉันไม่ต้องการชาวบ้านธรรมดาๆ ที่เอาตัวรอดเองไม่ได้เข้ามายุ่งหรอกนะ เพราะงั้นถ้านายอยากจะทำอะไรสักอย่างนึงจริงๆ ล่ะก็หยิบดาบนั่นขึ้นมาแล้วก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ซะ”
“คุณลุงไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะ ตอนแรกหนูก็เป็นแค่ลูกสาวชาวบ้านธรรมดาๆ ที่สู้ใครเขาไม่เป็นเหมือนกันนั่นแหล่ะ กว่าจะมาได้ขนาดนี้ก็โดนพี่ไคเลอร์เขาจับไปฝึกแทบตายเหมือนกัน”
ซัมเมอร์ที่ได้ยินอิซานางิทำท่าเหมือนกับว่าจะทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยคำพูดเท่ๆ นั้นได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยอีกคนหนึ่ง ซึ่งนั่นก็ทำให้อิซานางิถึงกับคิ้วกระตุก เพราะว่าแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่ค่อยจะมั่นใจสักเท่าไหร่นักว่าพวกเธอเพียงแค่เกือบตายในการฝึกกับไคเลอร์หรือว่าอาจจะตายไปจริงๆ แล้วกันแน่
“อย่างเธอน่ะถ้าเกิดว่าไม่ได้ฮานะคอยพูดห้ามไคเลอร์เอาไว้แล้วก็ได้นัวร์คอยช่วยรักษาให้ล่ะก็มีหวังป่านนี้ได้นอนขึ้นอืดอยู่ที่ชายฝั่งตั้งแต่คืนแรกแล้ว…”
“พี่อิซานางิพูดเยอะเกินไปแล้ว! ขอหนูพูดทิ้งท้ายเท่ๆ เอาไว้บ้างไม่ได้หรอไงอ่ะ!”
คำพูดของอิซานางินั้นได้ทำให้ซัมเมอร์ต้องหันไปพูดโวยวายขึ้นมาก่อนที่หญิงสาวและเด็กสาวจะเดินออกจากห้องเช่าเก่าๆ แห่งนี้ไป เหลือทิ้งเอาไว้เพียงแค่ชายวัยกลางคนที่ได้แต่ก้มลงไปหยิบดาบคาตานะขึ้นมาจ้องมองอยู่เพียงแค่คนเดียว
“ชาวบ้านธรรมดาๆ งั้นหรอ…”
“ห๊าววววววว…..”
“เฮ้ย เพิ่งจะเริ่มเข้าเวรก็หาวซะแล้วหรอวะ ถ้าเกิดว่าหัวหน้ามาเห็นนี่โดนหนักเลยวะโว้ย”
ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่พวกอิซานางิเริ่มต้นออกปฏิบัติการนั้นเอง ทางฝั่งอาคารประจำการทหารยามของเมืองกราวิทัสเองก็ได้มีเสียงพูดคุยของทหารยามทั้งสองคนที่ทำหน้าที่เข้าเวรในวันนี้ดังขึ้นมา ซึ่งคำพูดเตือนของนายทหารคนหนึ่งนั้นก็ได้ทำให้นายทหารที่เพิ่งจะหาวจนน้ำตาเล็ดแทบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา
“ฮ่า อย่ามาขู่กันซะให้ยาก ถ้าเกิดว่าหัวหน้าอยู่ในค่ายวันนี้มีหรอจะพลาดไม่ได้ไปเลียแข้งเลียขาคุณคนรับใช้ขององค์หญิงแคร์ที่มาที่นี่วันนี้น่ะ”
“เออ มันก็จริงของแก ว่าแต่เรายอมให้คุณคนใช้เขาเข้าไปข้างในแบบนั้นโดยไม่แจ้งใครมันจะดีจริงๆ หรอวะ? เอกสารเขาก็ไม่มี แถมเป็นตัวจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“เหอะ แล้วต่อให้จะไม่ใช่ตัวจริงแกจะกล้าห้ามเอาไว้มั้ยล่ะ? ขัดคำสั่งหัวหน้าอย่างมากก็แค่โดนลงโทษให้ไปขัดส้วม แต่ถ้าขืนไปขัดคำสั่งของคนที่อาจจะเป็นคนรับใช้ขององค์หญิงแคร์จริงๆ ก็ได้มีหวังเผลอๆ จะได้โดนประหารเอาเถอะ”
“เหอะ พูดอีกก็ถูกอีก อย่างน้อยๆ ตอนขัดส้วมหัวข้าก็ยังอยู่ติดกับตัวล่ะว่ะ ฮะฮะฮะ”
นายทหารทั้งสองคนได้หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยให้กับมุกตลกของพวกเขาก่อนจะหันกลับไปยืนเฝ้ายามกันต่อ แต่ถึงอย่างนั้นช่วงเวลาแห่งความเงียบก็ดำเนินไปได้ไม่นานสักเท่าไหร่นัก เมื่อนายทหารคนที่กังวลกับการมาเยือนของคนรับใช้ขององค์หญิงแคร์ได้เอ่ยปากพูดถามเพื่อนของเขาขึ้นมาอีกครั้ง
“ว่าแต่นายคิดว่ายังไงกับเด็กนั่นบ้างล่ะ? อยู่ดีๆ ก็โดนส่งมาฝากขังเอาไว้กับพวกเราแบบนี้เฉยเลย หรือว่าคุกข้างในเมืองมันเต็มไปแล้ววะ… เพราะเห็นว่าพักนี้มีชุมนุมประท้วงกันไม่เว้นวันเลยนี่”
“ชู่วววว! อย่าพูดอะไรแบบนั้นดิ เขาสั่งให้เราเฝ้าเราก็แค่เฝ้าไปก็พอแล้ว งานสบายๆ แบบนี้มันจะมีอีกที่ไหนล่ะ ขืนพูดมากนักเดี๋ยวก็ได้โดนย้ายไปอยู่ตำแหน่งอื่นกันพอดี”
“เฮ้ย!! ไอ้พวกขี้เมามันกระทืบกันอีกแล้ว รอบนี้ตั้งเกือบยี่สิบคนเลยขอคนไปช่วยกันหน่อย!!”
ในขณะที่นายทหารคนหนึ่งกำลังพูดเตือนเพื่อนของเขาขึ้นมาอยู่นั้นเองอยู่ๆ ก็ได้มีนายทหารอีกคนวิ่งมาตามถนนเพื่อขอกำลังเสริม ซึ่งนั่นก็ทำให้นายทหารเฝ้าประตูทั้งสองคนหันไปมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนที่พวกเขาจะพยักหน้าให้กันและเคาะไปที่ประตูสองสามทีแล้วจึงรีบออกวิ่งไปตามถนนในทันที
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้ทำให้ซัมเมอร์ที่แอบซุ่มอยู่ห่างออกไปไม่ไกลกับอิซานางิต้องพูดขึ้นมาด้วยความเสียดาย
“อ้าว… ไปกันหมดแบบนี้หนูก็อดจัดการเลยสิ”
“ก็ดีแล้วไม่ใช่หรอไง… อีกอย่างนึงก็เพลาๆ มือสักหน่อยก็ได้ ทหารพวกนั้นเขาแค่ทำตามคำสั่งที่ได้รับมาเฉยๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องคุณพ่อของเธอไม่ใช่หรือไง?”
“ก็เพราะว่าพวกมันเอาแต่ทำตามคำสั่งแบบไม่มีหัวคิดแบบนั้นนั่นแหล่ะคุณพ่อของหนูถึงโดนฆ่าแบบนั้นน่ะ…!!”
“เฮ้อ… ถ้าเกิดว่าอยากจัดการนักงั้นก็รีบๆ เข้าไปได้แล้วไป เสร็จแล้วอย่าลืมเก็บกวาดเองด้วยล่ะ”
อิซานางิที่จงใจพูดจี้ใจดำของซัมเมอร์นั้นได้รีบพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาเมื่อเด็กสาวได้หันมามองเธอด้วยแววตากินเลือดกินเนื้อก่อนที่เธอจะพุ่งตัวออกจากที่ซ่อนและรีบมุ่งตรงไปยังประตูของอาคารที่ว่างเปล่าในทันที
“ห๊าววววว… ให้ตายสิ จะรีบไปกันถึงไหน จัดการกันเสร็จแล้วหรอวะ อดสนุก— พวกแกเป็นใคร!!”
แต่แล้วในทันทีที่พวกเธอเปิดประตูและเร้นกายเข้าไปภายในตัวอาคารนั้นเอง พวกเธอก็ได้พบเข้ากับนายทหารอีกคนหนึ่งที่กำลังนั่งสวมชุดเกราะส่วนเท้าและกำลังพูดบ่นออกมาอยู่
ซึ่งเสียงร้องตวาดของนายทหารคนนั้นที่ดังขึ้นมาหลังจากที่เขารู้ว่าผู้ที่เข้ามาภายในอาคารไม่ใช่เพื่อนร่วมอาชีพของตนนั้นก็ได้ทำให้ซัมเมอร์ส่งเสียงหัวเราะที่ฟังดูบ้าคลั่งออกมาในทันที
“ฮะฮะฮะ!! ยังเหลืออีกคนนึงนี่นา!!”
ผลัวะ!!
ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงของซัมเมอร์ดีไม้กระบองเหล็กที่ถูกเหล่าสาวใช้ปีกแสงเรียกกันว่าไม้เบสบอลนั้นก็ได้พุ่งกระแทกเข้าใส่ใบหน้าของนายทหารคนนั้นในทันทีจนทำให้เขาล้มคว่ำลงไปกับพื้นด้วยความมึนงง
ซึ่งซัมเมอร์ก็ได้ใช้จังหวะนั้นในการกระโดดขึ้นไปนั่งคร่อมลงบนร่างกายของเขาพร้อมกับจับไม้กระบองเหล็กของเธอจ่อหน้าของเขาเอาไว้ในแนวดิ่งบ่งบอกว่าเธอพร้อมที่จะใช้มันทิ่มกระแทกเข้าใส่ศีรษะของเขาอย่างแน่นอนจนทำให้อิซานางิที่เห็นแบบนั้นต้องเอ่ยปากพูดเตือนขึ้นมาก่อนที่เธอจะคว้าเอาดาบเหล็กจากชั้นวางอาวุธขึ้นมาและเดินลงชั้นใต้ดินไป
“อย่าให้มันเละเทะมากเกินไปล่ะ นึกเผื่อถึงตอนเก็บกวาดด้วย”
“ค่าาาาา~”
“ด…เดี๋ย—”
ปึ๊ก!! ปึ๊ก!! ปึ๊ก!! ปึ๊ก!!
“ฮะฮะฮะฮะฮะ!!!”
เสียงของเหล็กที่กระแทกกับกะโหลกศีรษะที่ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและเสียงหัวเราะของเด็กสาวนั้นได้ทำให้อิซานางิที่กำลังเดินลงบันไดไปได้แต่เหลือกตาด้วยความเหนื่อยหน่าย
แต่ถึงอย่างนั้นอิซานางิก็กลับไม่ได้พูดห้ามปรามอะไรขึ้นมาและก้าวเท้าลงบันไดต่อไปด้วยความระมัดระวังจนได้พบเข้ากับห้องขังจำนวนมากที่ตั้งเรียงรายกันเป็นทางยาว
ซึ่งที่ด้านหน้าห้องขังที่อยู่สุดทางนั้นเอง เธอก็ได้พบเข้ากับหญิงสาวหูจิ้งจอกผมสีดำในชุดเดรสสีเข้มประดับด้วยลูกไม้ฟูฟองที่ดูหรูหราไม่เข้ากับสถานที่เลยแม้แต่น้อยกำลังพยายามใช้หนึ่งในลูกกุญแจที่ถูกมัดรวมกันเอาไว้เป็นจำนวนมากไขประตูห้องขังอยู่พร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ
“ข้างบนนั่นเหมือนจะมีเรื่องนิดหน่อยแต่ไม่ต้องกังวลนะจ๊ะ เดี๋ยวพวกเราก็จะหนีออกไปจากที่นี่กันแล้วล่ะ”
คำพูดของหญิงสาวหูจิ้งจอกผมดำในชุดเดรสหรูหรานั้นได้ทำให้อิซานางิต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจก่อนที่เธอจะตัดสินใจเดินตรงเข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“นี่มันอะไรกันเนี่ย? องค์หญิงน้อยจากที่ไหนสักที่กำลังพยายามพาตัวนักโทษหลบหนีงั้นหรอ?”
“ใครน่ะ!!?”
หญิงสาวหูจิ้งจอกในชุดเดรสที่ได้ยินเสียงพูดของอิซานางินั้นได้สะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะผละตัวออกจากประตูห้องขังพร้อมกับโยนมีดสั้นสี่เล่มออกมาจากแขนเสื้อของเธอด้วยท่าทีระแวดระวัง
ซึ่งใบมีดของมีดสั้นทั้งสี่เล่มนั้นก็ได้เรืองแสงสีเขียวอ่อนออกมาเล็กน้อยและลอยหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศโดยหันตรงส่วนใบมีดตรงไปทางอิซานางิในขณะที่ตัวเจ้าของมีดสั้นนั้นก็ได้แสดงท่าทีแปลกใจออกมากับการแต่งกายของผู้มาเยือนที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว
“ชุดแบบนั้นมันเครื่องแบบหัวหน้าหน่วยของกองกำลังลับเมืองซากินี่… เธอมาทำอะไรที่กราวิทัสนี่!?”
“รู้จักชุดของหน่วยฉันด้วยงั้นหรอเนี่ย…? แต่ว่าข้อมูลมันเก่าไปหน่อยนะเพราะว่าหน่วยนั้นมันถูกยุบไปแล้วน่ะ… แล้วเธอล่ะองค์หญิงตัวน้อยจากหอคอยงาช้าง? มาทำอะไรในคุกใต้ดินนี่กันล่ะ?”
“ฉันไม่มีหน้าที่ต้องตอบคำถาม!”
“เฮ้อ… ถ้าเกิดว่ารู้จักหน่วยของฉันก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรอว่าฉันมีฝีมือขนาดไหนน่ะ”
ฟุ๊บ–!
อิซานางิที่เห็นว่าหญิงสาวหูจิ้งจอกที่สวมใส่ชุดหรูหราราวกับว่าเป็นองค์หญิงจากที่ไหนสักที่ไม่ยอมตอบคำถามของเธอกลับมาแต่โดยดีนั้นได้ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะใช้วิซธาตุลมของตนเองสร้างกระแสลมขึ้นมาเพื่อพุ่งตัวเข้าไปประชิดตัวอีกฝ่ายพร้อมกับใช้ท่อนแขนของเธอกระแทกล็อกคออีกฝ่ายเอาไว้กับผนังหินอย่างรวดเร็ว
ปึ๊ก!!
“อุ๊—”
“หึ เป็นแค่พวกขุนนางผู้ดีที่เอาตัวรอดด้วยตัวเองไม่เป็นจริงๆ งั้นสินะเนี่ย ไหนขอดูโฉมหน้าเจ้าชายในห้องขังของเธอหน่อยสิ~”
อิซานางิที่เห็นว่าตนเองสามารถจัดการกับหญิงสาวหูจิ้งจอกได้อย่างง่ายดายนั้นได้พูดเยาะเย้ยออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันไปมองคนที่อีกฝ่ายกำลังพยายามจะช่วยออกมาจากห้องขัง
ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอได้พบเข้ากับเด็กหนุ่มหูแมวผมสีม่วงอ่อนที่สวมใส่ชุดนักเรียนที่ขาดหลุดลุ่ยของโรงเรียนหลวงกราวิทัสเอาไว้อีกทั้งยังมีรอยฟกช้ำอยู่เต็มทั่วร่างกาย และนั่นก็ทำให้อิซานางิเผยท่าทีประหลาดใจออกมา
“รากูน่า ปาปิลอจ?”
“…..”
เด็กหนุ่มที่ถูกล่ามโซ่เอาไว้ในห้องขังนั้นไม่ได้เอ่ยปากพูดตอบอะไรกลับมาและทำเพียงแค่จ้องมองเธออย่างเงียบๆ ด้วยนัยน์ตาสีเขียวของเขาที่คุกรุ่นไปด้วยความกราดเกรี้ยว
ซึ่งแววตาของเด็กหนุ่มที่ดูราวกับว่าเขาพร้อมที่จะเป็นศัตรูกับโลกทั้งใบนั้นก็ได้ทำให้อิซานางิต้องเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“เป็นอย่างที่ฮานะว่ามาจริงๆ ด้วยสินะ… เอ้า รีบๆ ลุกขึ้นมาได้แล้ว เดี๋ยวฉันจัดการยัยองค์หญิงน้อยนี่เสร็จพวกเราจะเผ่นกันแล้ว”
“เผ่น? เธอตั้งใจจะพาเขาหนีไปจากที่นี่งั้นหรอ!?”
คำพูดของอิซานางินั้นได้ทำให้หญิงสาวหูจิ้งจอกที่ถูกจับกดอยู่ติดกำลังต้องรีบส่งเสียงร้องถามขึ้นมาก่อนที่มีดสั้นที่ลอยอยู่รอบๆ ที่พร้อมที่จะพุ่งเข้าใส่อิซานางิได้ทุกเมื่อจะหันไปทางอื่นพร้อมๆ กัน บ่งบอกว่าเธอไม่มีเจตนาที่จะโจมตี
ซึ่งถึงแม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจะทำให้อิซานางิรู้สึกแปลกใจไม่น้อยแต่ว่าเธอก็ยังคงยอมพูดตอบคำถามของอีกฝ่ายกลับไปแต่โดยดี
“มันก็อะไรประมาณนั้นนั่นแหล่ะคุณองค์หญิงน้อย พอดีว่ามันเป็นคำขอสุดท้ายของญาติของเขาน่ะ เพราะงั้นฉันคงจะต้องขอตัวเจ้าชายในกรงขังของเธอไปแล้วล่ะนะ”
“ญาติ…? อัลเดรียน่ะนะ? ถ้างั้นก็รีบๆ พาตัวเด็กคนนี้หนีไปได้แล้ว!!”
“หา…?”
“เร็วๆ เข้าสิ!!”
หญิงสาวหูจิ้งจอกที่ได้ยินคำพูดของอิซานางินั้นได้พูดเร่งรัดให้อิซานางิรีบๆ พาตัวรากูน่าหนีไปแทนที่จะห้ามเอาไว้ ซึ่งถึงแม้ว่าอิซานางิจะรู้สึกสงสัยและระแวดระวังอยู่บ้าง แต่ว่าเธอก็ไม่รอช้าที่จะใช้พวงกุญแจที่ยึดมาได้ปลดปล่อยรากูน่าออกมาจากห้องขังในทันที
ซึ่งทางด้านรากูน่าที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากห้องขังนั้นก็ได้เอ่ยปากพูดถามอิซานางิขึ้นมา
“เมื่อกี้… ที่บอกว่าคำขอสุดท้ายนั่น…”
“เดี๋ยวเอาไว้ค่อยคุยกันทีหลังน่าเจ้าหนู ตอนนี้มาจัดการปัญหาตรงหน้าก่อนดีกว่า”
อิซานางิที่ได้ยินคำถามที่น่ายุ่งยากใจของรากูน่านั้นไม่ลังเลที่จะปัดมันไปเป็นภาระหน้าที่ให้คนอื่นอธิบายแทนในทันทีก่อนที่เธอจะหันไปทางหญิงสาวหูจิ้งจอกผมดำในชุดเดรสและเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“เอ้า! เธอจะเอายังไงต่อล่ะองค์หญิงน้อย?”
“ถ้าเกิดว่าเป้าหมายของเธอคือการพาเด็กคนนั้นหนีไปตามที่อัลเดรียขอมาล่ะก็ ฉันก็ไม่มีเหตุผลที่จะเข้าไปขวางหรอกค่ะ เพราะอย่างน้อยๆ มันก็คงจะดีกว่าทางด้านฉันที่คงจะทำได้แค่พาเขาหนีออกไปนอกเมืองเฉยๆ แน่ๆ ล่ะ”
“นี่เธอเข้ามาถึงที่นี่แล้วก็ทำท่าเหมือนกับว่ากำลังจะไขกุญแจพาเขาหนีไปแล้วแต่ดันมาบอกว่ามีแผนแค่จะเอาเขาไปปล่อยป่าเนี่ยนะ?”
“ก็แล้วฉันจะทำอะไรไปได้มากกว่านี้ล่ะคะ ฉันเป็นแค่คนรับใช้ขององค์หญิงเองนะ ไม่ใช่เสนาธิการจากที่ไหนสักหน่อย”
“แค่คนรับใช้งั้นหรอ…?”
อิซานางิที่ได้ยินคำพูดของหญิงสาวหูจิ้งจอกนั้นได้เหลือบตาไปมองรอบๆ คุกใต้ดินแห่งนี้ด้วยท่าทีเคลือบแคลงสงสัยอย่างปิดไม่มิดก่อนที่เธอจะจับรากูน่ามาแบกเอาไว้บนบ่าและเดินจากไปในทันที
“ถ้างั้นพวกฉันขอตัวล่ะ ส่วนเธออย่างน้อยๆ ก็น่าจะเตรียมแผนการหลบหนีออกไปจากที่นี่เอาไว้แล้วสินะ หวังว่าพวกเราคงจะไม่ได้เจอกันอีกล่ะ”
“……..”
หญิงสาวหูจิ้งจอกผมสีดำนั้นได้นิ่งเงียบให้กับคำพูดบอกลาของอิซานางิ จนกระทั่งอิซานางิแบกร่างของรากูน่าหายไปตามบันไดลงคุกใต้ดินแล้วนั้นเองจึงได้มีมีดสั้นจำนวนมากที่ลอยแอบอยู่ตามมุมต่างๆ นับสิบเล่มค่อยๆ ลอยหายกลับเข้าไปด้านในแขนเสื้อของเธอ
“ทำเป็นพูดดีไปเถอะค่ะ… ถ้าเกิดว่าเป้าหมายของคุณไม่ใช่การช่วยเหลือรากูน่าแล้วล่ะก็ ต่อให้เป็นทหารหน่วยลับจากเมืองซากิอย่างคุณที่เข้ามาก่อเรื่องถึงที่นี่ก็ไม่มีโอกาสได้เดินกลับไปง่ายๆ แบบนี้หรอกนะคะ…”