ต่อให้ฉังเหยียนเป็นคนมีเหตุผลเพียงใดแต่เมื่อได้ยินแล้วก็ไม่อาจสงบใจได้
นางเรียก “ท่านแม่” เสียงหนึ่งด้วยดวงตาแดงก่ำ ประคองนายหญิงรองเอาไว้
นายหญิงรองได้สติกลับมา อดที่จะกล่าวปลอบโยนบุตรสาวไม่ได้ว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ตั้งแต่วันที่เจ้าถือกำเนิดออกมาข้าก็สะสมสินเจ้าสาวเอาไว้ให้เจ้าแล้ว สินเจ้าสาวของพวกเราไม่แพ้พวกเขาก็ไม่พอ”
แม้นกล่าวเช่นนี้ แต่ทั้งสองต่างกระจ่างแจ้งแก่ใจดี นายหญิงสามมิใช่คนสายตาตื้นเขิน ตรงกันข้าม เนื่องจากภูมิหลังของนายท่านสามไม่โดดเด่น นางจึงรักและสงสารบุตรสาวมากเป็นพิเศษ สินสอดที่ตระกูลเวินให้มา โดยมากนางน่าจะมอบเป็นสินติดตัวเจ้าสาวให้ฉังเคอนำติดตัวไปที่ตระกูลเวินด้วยทั้งหมด
ต่อให้นายหญิงรองเริ่มสะสมสินเจ้าสาวให้ฉังเหยียนมาตั้งแต่ที่นางถือกำเนิด แต่เมื่อมีเงินหนึ่งหมื่นหนึ่งตำลึงของตระกูลเวินเป็นเงินตั้งต้นแล้ว อย่างไรสินเจ้าสาวของฉังเคอก็ไม่มีทางน้อยหน้า
สองแม่ลูกต่างไม่พูดอะไรกันอีก รับมื้อเย็นเสร็จแล้วต่างคนต่างแยกย้าย
นายหญิงรองคำนวณบัญชีอยู่ใต้โคมไฟ ครุ่นคิดว่าพอจะโยกเงินจากตรงไหนไปให้บุตรสาวได้บ้าง
ส่วนฉังเหยียนเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินมาถึงสวนร่มวสันต์โดยไม่รู้ตัว
ภายในสวนร่มวสันต์จุดโคมไฟสว่างไสว มีเสียงหัวเราะกังวานใสดุจเสียงระฆังดังมาให้ได้ยินเป็นระลอกตั้งแต่ไกลๆ
เมื่อก่อน นางอยากไปสวนร่มวสันต์ ผู้ใดกล้าไม่ประจบประแจงนางบ้าง แต่นับตั้งแต่ที่นางหมั้นหมายกับตระกูลหวงเป็นต้นมา นอกจากคนบ้านสามแล้ว แม้แต่คุณหนูพานและคนอื่นๆ ยังไม่เคารพนางเหมือนเมื่อก่อนด้วย
แต่นี่โทษนางได้หรือ
คุณหนูจวนโหวที่มีเพียงชื่อเสียงอย่างเดียวเช่นนาง เมื่อต้องเจรจาเรื่องงานแต่งขึ้นมาจริงๆ มีใครไม่สนใจสินเจ้าสาวบ้าง
จะให้นางทำเหมือนฉังเคอ แต่งงานกับเศรษฐีบ้านนอก ใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาอาศัยตระกูลชั้นสูงอย่างจวนเจียงชวนป๋อไปตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ?
นางทำไม่ได้!
ขณะที่ฉังเหยียนขบคิดอยู่นั้น ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับมีหยาดน้ำตารื้นชื้นขึ้นมาตรงหางตา
สาวใช้คนสนิทของนางเรียกเสียงหนึ่งอย่างเป็นห่วงว่า “คุณหนู”
ฉังเหยียนสั่นศีรษะ กำลังจะเดินกลับ กลับได้ยินเสียงพูดคุยของพวกบ่าวไพร่ดังขึ้นมาจากอีกฟากหนึ่งของกำแพง
“คิดไม่ถึงว่าคุณหนูพานจะเป็นคนร่าเริงขนาดนี้ ยังจัดงานแสดงความยินดีให้คุณหนูสี่ด้วย แสดงความยินดีที่คุณหนูสี่หมั้นหมาย ยังทำโคมมังกรด้วยตัวเองจำนวนมาก ฝีมือดีจริงๆ”
มีคนกล่าวว่า “เห็นได้ชัดว่าเมื่อก่อนคุณหนูพานปกปิดนิสัยแท้จริงเอาไว้”
“เนื่องจากเป็นแขก จึงสู้คนในบ้านไม่ได้” สาวใช้อีกคนหนึ่งกล่าวยิ้มๆ “ในบ้านยังมีฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ด้วยมิใช่หรือ”
มีคนได้ยินแล้วก็กล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าได้ยินข่าวหรือยัง คุณหนูสกุลหวังกล่าวว่า นางเติมหีบสินเจ้าสาวให้คุณหนูสี่เป็นเงินสามพันตำลึง ทั้งยังมอบร้านค้าให้อีกหนึ่งร้านด้วย ไม่รู้จริงหรือเท็จ?”
“เจ้าเองก็ได้ยินมาเหมือนกันหรือ” ทันใดนั้นสาวใช้เหล่านั้นก็พากันตื่นเต้นขึ้นมา กล่าวว่า “ข้าเองก็ได้ยินมาเช่นกัน ซือหมัวมัวคนข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าเป็นเล่า เรื่องนี้น่าจะมีมูลความจริง”
มีคนกล่าวว่า “พวกเจ้าลองคิดดู คุณหนูสกุลหวังพูดจาไม่น่าเชื่อถือตั้งแต่เมื่อใดกัน ยังน่าเชื่อถือว่าเหล่าคุณชายในบ้านเสียอีก!”
จึงมีคนกล่าวยิ้มๆ ว่า “หากข้าเป็นคุณหนูสกุลหวัง ข้าเองก็คงน่าเชื่อถือกว่าเหล่าคุณชายเหมือนกัน!”
“กล่าวเช่นนี้ไม่ได้” มีคนกล่าวแย้ง “เงินของตระกูลหวังหาได้พัดมาตามสายลม ต่อให้อยากมอบให้ ก็ต้องเป็นคนที่คุณหนูสกุลหวังชื่นชอบด้วยถึงจะถูก” ขณะที่กล่าว เสียงของคนผู้นั้นหยุดลงครู่หนึ่ง คล้ายกำลังทำท่าทางอะไรบางอย่าง จากนั้นถึงได้กล่าวต่อว่า “ไม่กล่าวอะไรเลยมิใช่หรือ ทว่าหมัวมัวของตระกูลซือท่านนั้นกลับไม่รู้จักความเป็นความตาย วิ่งไปถามหวังหมัวมัว พูดอะไรทำนองว่าคุณหนูของพวกเจ้าช่างไม่รู้จักหลักการของโลกนี้เลยจริงๆ ทั้งที่เป็นคุณหนูใกล้ออกเรือนแล้ว การเลือกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมเช่นนี้ ไม่กลัวทำให้คนขุ่นเคืองใจหรือ”
“แล้วหวังหมัวมัวว่าอย่างไรบ้าง” ทุกคนถามอย่างตื่นเต้น
“ใช่ว่าพวกเจ้าไม่เคยปฏิสัมพันธ์กับหวังหมัวมัวมาก่อน นางเป็นคนที่ยอมถูกเอาเปรียบหรือ” คนที่พูดก่อนหน้านี้กล่าวยิ้มๆ “ผู้อื่นก็รีบตอบกลับไปทันที บอกว่าไม่เลือกปฏิบัติคงไม่ได้! ตระกูลซือเป็นคนตระกูลใหญ่ตระกูลโต คาดว่าตอนคุณหนูซือออกเรือน เงินเติมหีบของลุงป้าน้าอาคงไม่มีใครน้อยหน้าใคร แม้นคุณหนูของพวกนางจะไม่ขาดแคลนเงินทอง แต่ก็ไม่อาจไปกดข่มเหล่าญาติๆ ของตระกูลซือ ให้มากกว่าพวกเขาได้ นี่ต่างหากถึงจะเป็นการทำให้คนขุ่นเคืองที่แท้จริง! จึงทำได้แค่ตั้งราคาตามราคาในตลาด เห็นผู้อื่นให้อย่างไร คุณหนูของพวกนางก็ให้ตามนั้น ทำเอาตานหมัวมัวโกรธจนสะบัดแขนเสื้อเดินหนีไป”
บ่าวไพร่เหล่านั้นพร้อมใจกันหัวเราะดังลั่น ราวกับว่าได้เห็นบ่าวของตระกูลซือผู้นั้นเสียหน้าแล้วมีความสุขมากก็ไม่ปาน
ใบหน้าของฉังเหยียนเขียวครึ้มไปหมด
แต่คนเหล่านั้นกลับไม่รู้ว่ากำแพงมีหู ยังคงกล่าววาจาเลื่อนเปื้อนอยู่ตรงนั้นต่อ
“จะว่าไปแล้ว บ้านนั้นก็เป็นพยัคฆ์หน้ายิ้มผู้หนึ่งเหมือนกัน พูดอย่างแต่กลับทำอย่าง ก่อนหน้านี้ก็ฉกฉวยงานแต่งของคุณชายสี่ มาวันนี้ก็ขโมยงานแต่งของคุณหนูสี่อีก คนไม่รู้ อาจคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวพวกเขา ทั้งบุตรชายบุตรสาวต่างเหมือนกับแต่งไม่ได้ ขายไม่ออกกันหมดก็ไม่ปาน อำนาจและความมั่งคั่งดีเพียงนั้น? การขโมยของผู้อื่นทำให้ตัวเองรุ่งโรจน์ได้?”
สาวใช้ของฉังเหยียนได้ยินแล้วตกใจเป็นอย่างมาก ก้าวออกไปหมายจะไปต่อว่า ทว่าถูกฉังเหยียนจับแขนเอาไว้ กล่าวเสียงเบาว่า “พวกเราไปกันเถอะ”
สาวใช้ผู้นั้นไม่กล้ามากเรื่อง รีบตามฉังเหยียนออกจากชายคาบ้านที่ติดกับกำแพงไป เพียงแต่ว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของบ่าวไพร่เหล่านั้นยังดังมาให้ได้ยินอีกสองสามประโยค
“ใช่ว่าทุกคนมองไม่เห็น พวกเรารอดูกันต่อไปก็ได้แล้ว”
“น่าเห็นใจเมื่อก่อนก็เป็นคนมีหน้ามีตาผู้หนึ่ง บัดนี้ขังตัวอยู่ในบ้านไม่กล้าขยับตัวไปไหน ไม่รู้ว่าสิ่งที่พยายามแสวงหาคืออะไร”
“โชคดีที่คุณหนูสี่ยังได้รับโชคดีในเคราะห์ร้าย คนมีวาสนาดีอย่างไรก็มีวาสนาดีจริงๆ”
“เห็นบุตรเขยสี่ผู้นั้นแล้ว เป็นคนรูปงามจริงๆ อีกทั้งยังให้ความเคารพนายท่านสาม ดีกว่าบ้านนั้นมากโข มาถึงก็รู้จักแต่มองคุณหนูผู้เดียวเท่านั้น ไม่รู้จักไปพูดคุยกับลุงกับอาท่านอื่นๆ บ้าง”
ฉังเหยียนเจ็บหน้าอกเหลือจะทานทน กลับไปแล้วป่วยอยู่หลายวัน
ฉังเคอไม่แม้แต่จะรักษามารยาทหรือหน้าตา แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ไม่ส่งสาวใช้ไปถามไถ่ด้วยซ้ำ กลับเป็นฉังหนิงที่มาเยี่ยมฉังเหยียนด้วยตัวเอง แต่ไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง นั่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็กลับไป
หวังซีกับคุณหนูพานก็ไม่ได้ไปเยี่ยมคนป่วยเช่นกัน น้ำปรุงรสเห็ดปลวกที่ทั้งสองช่วยกันทำเมื่อคราวก่อนรับประทานได้แล้ว คนที่ชอบก็ชอบกินเป็นอย่างมาก ส่วนคนที่ไม่ชอบกินแค่ดมก็รู้สึกไม่ดีแล้ว ดีที่คุณหนูพานอยู่ในกลุ่มคนชอบกิน นี่ยังเป็นครั้งแรกที่นางทำของกินออกมาแล้วประสบความสำเร็จขนาดนี้ หลังจากดีอกดีใจเป็นอย่างมากไปแล้ว นางก็ลากหวังซีไปศึกษาวิธีทำน้ำปรุงรสชนิดอื่นๆ ทุกวัน
หวังซีถูกรบกวนจนไม่ทนไม่ไหวแล้ว พอคุณหนูพานมานางจึงหลบไปคัดพระธรรมอยู่ในห้อง ให้ไป๋กั่วพานางไปที่ห้องครัวแทน
ภายใต้การชี้แนะของแม่ครัวตระกูลหวัง คุณหนูพานหอบผักหมักที่ทำสำเร็จออกมาหนึ่งไห ใช้โหลแก้วบรรจุแล้วส่งไปให้ทุกคนอย่างมีความสุข
ไป๋กั่วเม้มปากกลั้นหัวเราะ พูดกับหวังซีเป็นการส่วนตัวว่า “โหลแก้วนั่นไม่รู้ว่าเอาไปซื้อผักหมักได้มากมายเพียงใด”
“นั่นไม่เหมือนกันนี่นา!” พระธรรมที่หวังซีคัดคือพระธรรมที่จะส่งกลับไปที่สู่จง วันที่หนึ่งเดือนสิบของทุกปี ตระกูลหวังจะไปถวายพระธรรม จัดงานสวดพระธรรมและบริจาคเงินค่าธูปเทียนที่วัดเล่อซาน
ปีนี้นางไม่รู้ว่าตัวเองจะกลับไปทันหรือไม่ จึงตัดสินใจคัดพระธรรมแต่เนิ่นๆ หากไปไม่ทัน ก็ให้คนนำกลับไปที่สู่จงแทน
“การแสวงหาความสุขสักอย่างหนึ่งก็นับเป็นเรื่องยากมากแล้ว” หวังซีกล่าว ทว่าไม่หยุดพู่กันในมือแต่อย่างใด ไม่นานก็เขียนออกมาได้หนึ่งบรรทัด
ไป๋กั่วนั่งตัดกระดาษให้นางอยู่ด้านข้าง
สาวใช้เด็กอาหนานวิ่งเข้ามา ถือกระดาษมาด้วยหนึ่งกองใหญ่ กล่าวว่า “คุณหนูใหญ่ นายหญิงสามให้ข้าเอามาเจ้าค่ะ บอกว่าขอพี่สาวไป๋จื่อช่วยดูให้หน่อยว่าลายดอกไม้พวกนี้ใช้ได้หรือไม่”
ช่วงนี้จวนหย่งเฉิงโหวเข้าสู่ช่วงมีเรื่องมงคลเกิดขึ้นติดๆ กัน นายหญิงรองวุ่นอยู่กับเรื่องพิธีแต่งงานของคุณชายสามฉังในเดือนเก้าไปด้วย อีกด้านหนึ่งก็วุ่นเรื่องที่ตระกูลหวงจะมาวางสินสอดไปด้วย ส่วนบ้านสามนอกจากวุ่นเรื่องงานแต่งของฉังเคอแล้ว ยังไปหาซื้อสินเจ้าสาวให้ฉังเคอทั่วทุกที่อีกด้วย
ก่อนหน้านี้นางคิดไม่ถึงว่างานแต่งของฉังเคอจะดีขนาดนี้ รู้สึกว่าสินเจ้าสาวที่เคยเตรียมเอาไว้ให้ฉังเคอน้อยเกินไป อีกทั้งกลัวว่าตัวเองความรู้น้อยจะทำให้คนของตระกูลเวินดูแคลน จึงมาขอยืมตัวหวังหมัวมัวไปช่วยเตรียมงานด้วย ผลปรากฏว่าทั้งไป๋กั่วและคนอื่นๆ ต่างก็เริ่มช่วยฉังเคอเตรียมงานแต่งไปด้วยกันทั้งหมดภายใต้การเห็นชอบของหวังซี
หวังซีพยักหน้า
อาหนานวิ่งไปหาไป๋จื่อประหนึ่งควันสายหนึ่ง
หวังซีรู้สึกคันยุบยิบที่หัวใจ
นางไม่ได้เจอเฉินลั่วมาหลายวันแล้ว เฉินลั่วบอกว่าต้องเข้าวังไปร่วมงานวันคล้ายวันประสูติของเจียงไท่เฟย ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ยังมีลู่หลิงอีกคน บอกว่าเจียงไท่เฟยรั้งให้อยู่ในวังหลวงด้วย ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรหรือไม่
คุณหนูตระกูลถานผู้นั้นอายุไล่เลี่ยกับลู่หลิง กลับต้องหมั้นหมายกับองค์ชายสี่แล้ว ลู่หลิงอยู่ในวัง จะถูกจับคู่ให้กับองค์ชายพระองค์ไหนด้วยหรือไม่?
องค์ชายรองและองค์ชายสี่หน้าตาไม่เลวนัก รวมถึงองค์ชายสามและองค์ชายห้าเองต่างก็รูปงามกว่าคนทั่วไปมาก กลัวแต่ว่าลู่หลิงจะถูกลากไปข้องเกี่ยวกับคนตุ้ยนุ้ยอย่างองค์ชายหกผู้นั้น
ขณะที่หวังซีคิด ก็รู้สึกนั่งไม่ติดที่เล็กน้อย นางกวักมือเรียกอาซี สาวใช้เด็กอีกคนเข้ามา ให้นางเอาระฆังไปแขวนบนต้นหลิวข้างกำแพง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเฉินลั่วจะได้รับหรือไม่
รอจนถึงปลายยามโหย่ว แสงอาทิตย์อัสดงตรงขอบฟ้ายังเหลืออยู่รำไร หวังซีเตรียมตัวพร้อมแล้ว เหลือเพียงรอสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ใต้ต้นหลิวมารายงานเท่านั้น ผู้ใดจะรู้ว่านางรอจนถึงต้นยามซวี รอจนทนรอต่อไปไม่ไหวเตรียมตัวจะไปนอนแล้วนั้น ถึงมีสาวใช้เด็กวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามากล่าวว่า “ที่ต้นหลิวมีคนมาแล้วเจ้าค่ะ”
หวังซีมุ่งหน้าไปทางนั้น
ครั้งนี้เฉินลั่วนั่งขัดสมาธิอยู่บนต้นหลิวต้นนั้น พอเห็นนางมาก็กล่าวเสียงหนึ่งว่า “วันนี้มีเรื่องนิดหน่อย ข้าเพิ่งกลับมา!”
ในน้ำเสียงของเขาเผยความเหนื่อยล้าออกมาอย่างเด่นชัด ยังมีความเฉยชาอยู่ด้วย คล้ายกับว่าหวังซีเป็นคนแปลกหน้าผู้หนึ่ง และพวกเขาอยู่ห่างกันพันภูเขาหมื่นสายน้ำก็ไม่ปาน
หวังซีใจเต้นไม่เป็นส่ำ หันไปมองเฉินลั่วอย่างร้อนใจ
เฉินลั่วกลับมองไกลออกไปด้วยความเรียบเฉย เหมือนภิกษุที่ใกล้จะบรรลุอรหันต์แล้ว
“เฉินลั่ว!” หวังซีตระหนก เรียกนามเต็มของเขาออกไปตามสัญชาตญาณ
เฉินลั่วก้มหน้าลงมามองหวังซี
ดวงตาของหวังซีสว่างสุกใส อยู่ใต้แสงจันทร์แล้วเหมือนน้ำบ่อหนึ่ง กระจ่างใส สะท้อนประกายระยิบระยับ
เฉินลั่วพลันนึกถึงดวงตาของมารดาที่ยืนมองเงาหลังของเขาอยู่บนบันไดสีแดงชาดของวังหลวงตอนที่เขาหันกลับไปขณะเดินออกมาจากประตูวังขึ้นมา
มันหมายถึงอะไร
เป็นห่วง?
พวกนางต่างกำลังเป็นห่วงเขาหรือ?
เฉินลั่วหัวเราะหยันตัวเอง
หัวคิ้วที่ย่นขึ้นสูง ดวงตาที่เผยความเหนื่อยล้าออกมานั่น ทำให้หวังซีนึกถึงทาสที่สิ้นหวังเหล่านั้น
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้
หวังซีเรียก “เฉินลั่ว” อีกครั้งหนึ่ง
ครั้งนี้เสียงของนางทั้งเบาและเร็ว ยังเจือความเห็นใจและสงสารที่แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่รู้ตัว
เฉินลั่วช้อนตาขึ้น ไหลตรงเข้าไปสู่ดวงตาของหวังซี
ราวกับถูกโอบล้อมด้วยสายน้ำ
อบอุ่นและอ่อนโยน
ทันใดนั้นเขารู้สึกอยากพูดคุยขึ้นมา
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นที่งานวันคล้ายวันประสูติของเจียงไท่เฟย?” เฉินลั่วถาม แต่เขาไม่ได้ต้องการให้หวังซีตอบ เขาเพียงอยากให้ใครสักคนฟังเขาอย่างตั้งใจเท่านั้น “ไม่รู้ว่าเจียงไท่เฟยถูกข่มขู่หรือว่าไร้ทางเลือกจริงๆ กันแน่ ถึงกับจับแขนเสื้อขององค์ชายใหญ่เอาไว้ ร่ำไห้ถึงกุ้ยเฟยที่จากไปแล้วขึ้นมา”
หลังจากที่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ มารดาแท้ๆ ขององค์ชายใหญ่ก็ได้รับอิสริยยศเป็น ‘กุ้ยเฟย’
หวังซีตะลึงพรึงเพริด
“ฮ่องเต้ยิ่งน่าขบขัน ทำเสมือนผู้อื่นเป็นคนโง่งม กรรแสงถึงกุ้ยเฟยขึ้นมาด้วยอีกคน” เฉินลั่วเหยียดริมฝีปาก เผยรอยยิ้มเยาะเยียบเย็นออกมา “ยังดำรัสคล้อยตามคำพูดของเจียงไท่เฟย ตรัสถึงเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทขึ้นมา จากความหมายนั่นแล้ว ทรงต้องการปฏิบัติตามธรรมเนียมปฏิบัติของบรรพบุรุษ แต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นไท่จื่อ!”
…………………………………………………………………
ตอนต่อไป