ตอนที่ 242 ตีเจ้าต้องเลือกวันหรือ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 242 ตีเจ้าต้องเลือกวันหรือ

อะไรกัน อารามชิงผิงคืออารามชั่วร้ายหรือ

ฉินหลิวซีม้วนแขนเสื้อ อยากตีคนแล้ว

อารามที่นางทุ่มเทลงแรงทำนุบำรุงด้วยเงินที่หามาอย่างยากลำบาก ไม่ง่ายกว่าจะเริ่มมีราศีขึ้นมาบ้าง เจ้าคนใจดำนี่บอกว่าอารามชิงผิงเป็นอารามชั่วร้ายอย่างนั้นหรือ

ชิงหย่วนรีบเข้ามาจับนางเอาไว้ ตีไม่ได้นะ เพียงตี ชื่อเสียงนักบวชต่อยคนคงจะดังไปทั่วต้าเฟิง ถึงตอนนั้นอารามชิงผิงของพวกเขาคงได้มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาจริงๆ

ชื่อเสียงพวกเขาต้องการ แต่ไม่ใช่ชื่อเสียงเช่นนี้นี่นา ไม่น่าฟังมิใช่หรือ

ชิงหย่วนเกลี้ยกล่อม “เขาไม่แปรงฟันก่อนออกจากบ้าน ปากเหม็น ท่านเองก็ลงมือไม่ได้ เกิดมือท่านเจ็บขึ้นมาเล่า”

ฉินหลิวซียังไม่เอ่ยปาก

ด้านหลังพลันมีเสียงอวดดีดังขึ้น “หยวนเหมิง จัดการปากเขาให้ข้าที ข้าต้องการให้ฟันของเขาหลุดสักสองซี่”

“ขอรับ”

ทุกคนมึนงง

มีคนวิ่งเข้ามา คว้าคอเสื้อของไล่ซิ่วไฉ สะบัดฝ่ามือฟาดลงบนใบหน้าไปสองครั้ง เสียงฝ่ามือกระทบเสียงดังขึ้น ทุกคนตื่นตกใจพร้อมทั้งรู้สึกเจ็บแก้มแทนเขา

ไล่ซิ่วไฉที่ถูกตบจนเห็นดาวยิ่งมึนงงเข้าไปใหญ่ ในปากมีกลิ่นคาว มีบางอย่างกลิ้งกุกกักอยู่ด้านใน หันไปถุยน้ำลายด้านข้าง

ฟันสองซี่ที่รวมอยู่กับเลือดร่วงลงมาต่อหน้าผู้คน

ไม่มากไม่น้อย สองซี่

ฮือฮา

ทุกคนเสียงดังอื้ออึง มองไปดูว่าเป็นคุณชายสูงส่งจากตระกูลใดด้วยความหวาดกลัว ก้าวถอยหลังสองก้าวทันใด

พวกเหนียนซิ่วไฉยิ่งหวาดกลัว นี่ ตัวร้ายมาจากที่ใดกัน ไยบอกว่าจะตีคนก็ตีเลยเล่า

“เจ้า ไยเจ้าจึงตีคน…” ไล่ซิ่วไฉที่ใบหน้าบวมข้างหนึ่งชี้ไปยังมู่ซี

“หากยังชี้หน้าข้า จะตัดนิ้วเจ้าไปให้หมากินเสีย” มู่ซีเอ่ยอย่างถือดี “ตีเจ้าก็คือตีเจ้า ยังต้องเลือกวันด้วยหรือ”

คิดว่าชื่อเสียงลูกหลานชนชั้นสูงอันดับหนึ่งของเขาเป็นของปลอมหรือ

มือของไล่ซิ่วไฉชะงักดึงกลับคืนทันใด เขาเป็นคนมีตา รู้ว่าคนตรงหน้านั้นกล้าทำจริงๆ

มู่ซีส่งเสียงหยัน “ไม่โอหังแล้วหรือ ลองเรียกอารามชั่วร้ายให้ฟังอีกสักทีสิ ข้าขอยันต์อยู่เย็นเป็นสุขจากที่นี่แล้ว เจ้าบอกว่าเป็นอารามชั่วร้าย นั่นไม่ได้กำลังบอกว่าข้าถูกหลอกหรือ ข้าจะไม่เสียหน้าหรอกหรือ”

ทุกคน เพราะตรรกะนี้หรือ ไม่ใช่เพราะท่านอันธพาล บอกว่าอยากตีก็ตีหรอกหรือ

“ซิ่วไฉตัวเล็กๆ อย่างเจ้ายังกล้าคุยโวโอ้อวด บอกว่าให้ซิ่วไฉทั้งใต้หล้าหยิบพู่กันขึ้นมาประณามอารามชิงผิง หาเรื่องยิ่งนัก” มู่ซีด่าประจาน “ข้ายังไม่เคยเจอผู้ใดที่ถือดีไปกว่าข้ามาก่อน”

นอกจากฉินหลิวซีชายผู้นี้ที่ถือดีกว่าเขามากจริงๆ

“เจ้า อารามชิงผิงเห็นคนจะตายไม่ช่วยเหลือ ยังมีเหตุผลอื่นอยู่อีกหรือ”

“ไม่ช่วยก็คือไม่ช่วย เรื่องอันใดต้องช่วย ใครบอกว่าคนออกบวชแล้วจะต้องช่วยเหลือผู้อื่น เจ้าต้องการนักบวชผู้มีจิตเมตตา คงมาผิดที่แล้วกระมัง ภูเขาด้านข้างมิใช่วัดอู๋เซียงหรือ ไปเอาความเมตตาจากนักบวชที่นั่นเสียสิ ที่นี่คืออารามลัทธิเต๋า” มู่ซีชี้ไปยังภูเขาด้านข้าง

ฉินหลิวซีเผยสายตาชื่นชมออกมา ไม่เสียเปล่าที่มอบยันต์ให้

“แต่คนบาดเจ็บอยู่ในพื้นที่ของพวกเจ้า ในเมื่อรักษาได้ไยจึงไม่รักษา” บัณฑิตผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “ต้องมีคำอธิบายกระมัง”

“พวกเจ้าไม่ระวังเอง ไยจึงมาโยนให้อารามแล้วเล่า ส่วนที่ไม่รักษา…” มู่ซีเหลือบมองฉินหลิวซี ทำไมหรือ

“เทียนจุนอำนวยอวยพรท่านทั้งหลาย ปู้ฉิว รักษาให้เขาก่อน” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนและอวี้ฉังคงเดินเข้ามามองเห็นภาพตรงหน้า เอ่ยสั่งด้วยรอยยิ้ม

ฉินหลิวซีไม่ยินยอมนัก

“บาปกรรม แน่นอนสวรรค์กำหนด ในเมื่อคนบาดเจ็บอยู่หลังเขา รักษาให้เขาไม่ถือว่ามากเกินไป” ชื่อหยวนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

ฉินหลิวซีเบะปากก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าถังซิ่วไฉ ฉีกแขนเสื้อที่ถูกเกี่ยวขาดและย้อมไปด้วยเลือดของเขาออกอย่างแรง เพียงมอง แขนข้างขวาของคนผู้นี้ไม่รู้ไปล้มอย่างไร ถึงได้มีบาดแผลที่เห็นลึกไปจนถึงกระดูกเป็นทาง บาดแผลน่ากลัว

ฉินหลิวซีมองบาดแผลนั้นที่มีไอดำติดตามมา แสยะยิ้มเย็น

อวี้ฉังคงก็เห็นแล้ว ย่นคิ้วมุ่น หันไปหาชื่อหยวนที่อยู่ด้านข้าง เอ่ย “เจ้าอาวาส เขา…”

นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเอ่ยเสียงเรียบ “เวรกรรมตามสนอง เพราะสร้างเวร กรรมถึงได้ตามมา คุณชาย เห็นขาดไม่เอ่ยขาด”

อวี้ฉังคงได้ยินเช่นนั้นจึงเงียบไป

ฉินหลิวซีท่องบทสวด กำจัดไอร้ายที่ติดตามบาดแผลมา เอ่ย “เจ้าอยากรักษา เช่นนั้นก็รักษาให้เจ้า แต่ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้ มือนี้ของเจ้า ใช้การไม่ได้แล้ว ชิงหย่วน ให้คนนำกล่องยาน้อยของข้ามา”

“ขอรับ”

เหล่าปัญญาชนได้ยินสิ่งที่ฉินหลิวซีเอ่ย ตกใจจนหน้าถอดสี เอ่ยถาม “ท่านนักพรตผู้นี้ วาจานี้หมายความอย่างไร ปีหน้าพี่ถังจะต้องลงสนามสอบ มือนี้ไยจึงใช้การไม่ได้แล้วเล่า ท่านรักษาไม่ได้หรือ”

“ข้ารักษาครั้งนี้ได้ ยังมีครั้งหน้า ครั้งถัดไปอีก” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเย็น “มีคนอยากให้เขาใช้มันไม่ได้อีก เขาไม่อาจลงสนามสอบได้ ไม่อาจสอบขุนนางได้”

นางเอ่ยพร้อมจ้องตาถังซิ่วไฉ “อีกหนึ่งเหตุผล ตัวเจ้าเคยทำสิ่งใด ไม่ต้องให้ข้าเอ่ย เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ”

ดวงตาของถังซิ่วไฉหดเกร็ง ใบหน้าซีดขาวไม่มีสีเลือด หลบสายตานางทันที

เหนียนซิ่วไฉที่ประคองเขาอยู่ด้านหลังสัมผัสได้ถึงร่างกายที่สั่นเทาของเขา ในหัวคิดว่าไม่ปกติ เขาช่างโชคร้ายเสียจริง

และปัญญาชนคนอื่นต่างมีสีหน้าไม่นิ่ง สันหลังเย็นวาบอย่างไร้เหตุผล กลืนน้ำลาย

อารามนี้ แปลกประหลาดนัก

ชิงหย่วนถือกล่องยามาด้วยตนเอง นักพรตน้อยคนหนึ่งยกกะละมังน้ำเข้ามา พร้อมทั้งผ้าพันแผลหนึ่งเส้น

เมื่อนำของมาวางไว้ด้านข้างฉินหลิวซี นางก็ฉีกแขนเสื้อของถังซิ่วไฉออก เผยให้เห็นแขนเล็กทั้งแขน ใช้น้ำสะอาดทำความสะอาดแผลก่อน จากนั้นเปิดกล่องยาออก หยิบเหล้าล้างบาดแผลสด พร้อมเอ่ย “สุดแล้วแต่เจ้า”

หากฉีหวงอยู่ คงเสียดายยาล้างแผลสดนี้มาก

ใส่ยาแล้วไม่นานเลือดก็หยุดไหล องครักษ์ข้างกายมู่ซีเห็นกับตา ดวงตาเป็นประกายจับจ้องไปยังขวดยาข้างมือฉินหลิวซี จับมือซื่อจื่อของตนเอาไว้

ยาดี อยากได้ ซื้อมันเลยขอรับ

เป็นองครักษ์ ได้รับบาดเจ็บเป็นบางครา ยาทาแผลสดที่ห้ามเลือดหยุดไหลได้ไวเพียงนี้ในสายตาของเขาเป็นดั่งยาช่วยชีวิต

ฉินหลิวซีไม่รู้ความคิดขององครักษ์ หยิบเข็มงอและเปลือกรากหม่อนสะอาดสอดเข้าไป จากนั้นเตรียมเย็บปิดแผล

“เย็บ เย็บหรือ” ถังซิ่วไฉตื่นตกใจตาโต

“ไม่เย็บปิดก็ได้ ปล่อยให้มันเน่าเปื่อย เจ้ากลับไปให้หมอทายาเถิด” ฉินหลิวซีเตรียมเก็บเข็มกลับคืนกล่องยา คิดว่านางอยากช่วยหรือ

ถังซิ่วไฉได้ยินว่าเน่าเปื่อย ร่างกายพลันสั่น รีบเอ่ย “เย็บ เย็บเถิด”

ฉินหลิวซีส่งเสียงหยันในลำคออย่างไม่พอใจ “อดทน”

คนผู้นี้ไม่คู่ควรใช้ยาชา ต้องเย็บสด

เข็มสอดผ่านบาดแผล ถังซิ่วไฉร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เม็ดเหงื่อซึมออกมาจากขมับ

ฉินหลิวซียัดผ้าแพรอุดปากเพื่อกลบเสียงร้องของเขา “หนวกหูเป็นบ้า ข้าตกใจจนมือสั่น เย็บผิดแล้วอย่ามาโทษข้า”

หยาบที่สุด

ทุกคนมองนางอย่างขาดกลัว

ฉินหลิวซีเย็บต่อ นางไม่ได้เย็บอย่างคนทั่วไปเย็บผ้า แต่นางเย็บสองชั้น นอกในสองชั้น แบบนี้ทำให้บาดแผลประกบติดกันง่าย

การเย็บของนางทั้งไวทั้งมั่นคง ไม่สนใจว่าถังซิ่วไฉเจ็บแทบตาย และไม่สนใจใบหน้าซีดขาวของผู้คนที่เฝ้ามองดู

มีเพียงองครักษ์ข้างกายของมู่ซี ดวงตาเป็นประกายกันทุกคน บาดแผลนั้นลึกจนเห็นกระดูก พวกเขามองเห็นแล้ว ยามนี้เมื่อเย็บปิดแล้วดูเหมือนจะง่ายกว่าทายาสักหน่อย

อีกทั้ง รอยเข็มของเขาช่างงดงาม ต่อให้เป็นรอยแผลเป็นก็คงไม่เด่นชัดกระมัง

เพียงแต่ไม่ใช้ยาชา แค่มองก็เจ็บจนหัวใจเย็นยะเยือก

ดูเหมือนอีกฝ่ายจะตั้งใจไม่ใช้ยาชา น่ากลัวจริงๆ สมแล้วที่เป็นนายท่านที่ไม่ควรทำให้ขุ่นเคือง