กู้ฉังชิงกำลังบาดเจ็บอยู่ หลังจากกลับมาที่จวนก็ไม่ได้บอกให้คนอื่นรู้ เขาให้บ่าวรับใช้ไปเรียกหมอประจำจวนมาที่เรือนตัวเอง
หมอประจำจวนคุ้นชินกับเรื่องที่กู้ฉังชิงบาดเจ็บแล้ว ท่านชายใหญ่เป็นคนที่ทุ่มสุดตัวโดยไม่คิดชีวิต วันไหนไม่มีแผลกลับมาวันนั้นผิดปกติ
ทว่าหลังจากที่ตรวจดูบาดแผลแล้ว หมอประจำจวนกลับตกใจ “ท่านชายใหญ่ ไม่ทราบว่าใครเย็บแผลให้ท่านหรือขอรับ”
กู้ฉังชิงถามกลับว่า “ทำไมรึ หมอในค่ายทหารเย็บให้ครั้งหนึ่ง หมอข้างนอกเย็บให้อีกครั้งหนึ่ง มีปัญหาใดหรือ”
หมอประจำจวนบอกว่า “เปล่าขอรับ เย็บได้ดีมาก ข้ายังไม่เคยเห็นใครสามารถเย็บแผลปริขาดได้เรียบร้อยเท่านี้มาก่อน ไม่ทราบว่าหมอที่ไหนหรือขอรับ”
ได้ยินหมอประจำจวนว่ามาเช่นนี้ กู้ฉังชิงก็พอจะรู้อะไรอยู่ในใจบ้างแล้ว “เจ้ากลับไปเถิด เรื่องที่ข้าบาดเจ็บก็ไม่ต้องเอาไปแพร่งพรายที่ไหนล่ะ”
“ข้าน้อยเข้าใจขอรับ”
เขาเป็นหมออยู่ที่จวนติ้งอันโหวมาแค่วันสองวันเสียที่ไหน รู้ดีว่านิสัยของท่านชายใหญ่ผู้นี้ไม่ชอบทำเรื่องราวให้มันใหญ่โต จะทำให้ทุกคนในจวนจิตใจหวั่นวิตกเสียเปล่าๆ
หมอประจำจวนกลับออกไป บ่าวรับใช้ก็ตักน้ำร้อนมากะละมังหนึ่ง พร้อมกับนำเสื้อผ้าอาภรณ์สะอาดตัวใหม่มาด้วย
เมื่อครู่นี้เพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจของคนอื่น เขาใช้เสื้อกันลมมาคลุมแผลไว้ ยามนี้แม้กระทั่งเสื้อกันลมก็อาบย้อมเป็นรอยเลือดแล้ว
บ่าวรับใช้ช่วยกู้ฉังชิงคลายเสื้อผ้าออก พลางพึมพำขึ้นว่า “ท่านชายใหญ่ คราวนี้ท่านไปทำอีท่าไหนให้บาดเจ็บอีกล่ะขอรับ ตั้งแต่ท่านโยกย้ายไปอยู่ภายใต้บัญชาของแม่ทัพหร่านแล้ว ก็เอาแต่บาดเจ็บมาตั้งแต่นั้นเลย แม่ทัพหร่านน่ากลัวมากใช่หรือไม่”
“ฝึกการต่อสู้ไหนเลยจะมีคนที่ไม่เคยบาดเจ็บกัน แม่ทัพหร่านปกครองเข้มงวด นี่ถือเป็นเรื่องที่ดี เป็นความโชคดีของแคว้นจ้าว ต่อไปอย่าได้พูดเช่นนี้อีก”
“ขอรับ” บ่าวรับใช้ขานรับ แล้ววางเสื้อกันลมเปื้อนเลือดใส่ในตะกร้าผ้า ก่อนจะเริ่มถอดเสื้อคลุมตัวนอกและตัวกลางให้เขา “จริงสิท่านชายใหญ่ ท่านไม่วางใจจึงได้เรียกหมอประจำจวนมาดูใช่หรือไม่ เมื่อก่อนหลังจากที่ท่านรักษาบาดแผลที่ค่ายทหารแล้วก็ไม่ได้เรียกหมอประจำจวนมาดูซ้ำเลย ในเมื่อท่านไม่วางใจฝีมือการแพทย์ของหมอคนนั้น แล้วเหตุใดจึงให้เขารักษาเล่า”
นั่นสิ เหตุใดจึงให้นางรักษาให้กัน
กู้ฉังชิงก็ตอบไม่ได้เช่นกัน
นางดูแล้วอายุน่าจะยังน้อยอยู่เลย แทบจะวัยเดียวกันกับกู้จิ่นอวี้ด้วยซ้ำ แม่นางน้อยที่อายุวัยนี้เจอบาดแผลโหดร้ายทารุณเช่นนี้ไม่ตกใจจนร้องไห้โฮออกมายกใหญ่ยังพอทำเนา นางกลับยังสามารถเย็บแผลให้เขาอย่างสงบนิ่งได้อีก
ไม่เพียงเท่านี้ นางยังฆ่ามือสังหารนั่นอีกคน
ฆ่าเสร็จก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น เย็บแผลให้กับเขาต่อเลย
อยู่มาถึงยี่สิบปีแล้วเป็นครั้งแรกเลยที่เขาเห็นสตรีแปลกประหลาดเช่นนี้
ร่างกายเล็กจ้อยนั่น ราวกับซ่อนพละกำลังมหาศาลเอาไว้
“ท่านชายใหญ่ อนุหลิงขอพบเจ้าค่ะ” สาวใช้นอกประตูนางหนึ่งรายงานขึ้น
บ่าวรับใช้มองเขาพลางเอ่ยว่า “ท่านชายใหญ่ได้รับบาดเจ็บอยู่ ไม่สู้ให้ข้าน้อยไปบอกนางดีหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอก” กู้ฉังชิงเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดตัวใหม่ก่อนไปพบอนุหลิงที่ห้องรับแขก
อนุหลิงเป็นน้องสาวสายรองของแม่นางเสี่ยวหลิง จุดที่ละม้ายคล้ายกันกับแม่นางเสี่ยวหลิงกลับไม่ได้มากมายนัก นางงดงามกว่าแม่นางเสี่ยวหลิง แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังคงสู้แม่นางเหยาไม่ได้อยู่ดี
บางทีไม่เพียงแต่เป็นเพราะในร่างของอนุหลิงมีสายเลือดของแม่นางเสี่ยวหลิงอยู่เช่นกัน แต่ที่มากกว่านั้นเป็นเพราะว่าบนร่างอนุหลิงมีความอ้างว้างเหมือนแม่นางเสี่ยวหลิงในตอนนั้นอยู่ กู้ฉังชิงจึงยังเคารพนางอยู่บ้าง
กู้ฉังชิงเอ่ยว่า “ค่ำมืดเพียงนี้ อนุยังไม่พักผ่อนหรือ”
อนุหลิงแย้มยิ้ม “อายุปูนนี้แล้ว ไม่ค่อยง่วงเหงาหาวนอนเหมือนตอนสาวๆ แล้วล่ะ ทุกวันนี้หลับสองสามชั่วยามก็พอ หลายวันมานี้เจ้าก็เอาแต่ออกไปแต่เช้ากลับมาเสียค่ำมืด ข้าไม่ได้พบเจ้ามานานแล้ว จึงอยากมาดูเจ้าหน่อย”
กู้ฉังชิงเอ่ยว่า “ทำอนุเป็นห่วงเสียแล้ว”
อนุหลิงเอ่ยด้วยน้ำใสใจจริงว่า “เจ้าก็อย่าได้เหน็ดเหนื่อยเกินไป ต้องดูร่างกายของตัวเองให้มากหน่อย เรื่องในจวนยังจัดการวันอื่นๆ ได้ แต่ร่างกายเจ้าที่มีคนเดียวนี้อย่าได้เป็นอะไรขึ้นมาเด็ดขาด”
“ข้าทราบ”
ปากบอกไปเช่นนี้ แต่ในใจกู้ฉังชิงกลับไม่กล้าลืมคำสั่งเสียก่อนจะจากไปของอดีตท่านโหวได้ เขาเป็นหลานชายคนโต เป็นพี่ชายคนโต เหนือกว่าเขามีเหล่าฮูหยิน ต่ำกว่าเขามีน้องชายน้องสาว แล้วก็ทรัพย์สินนับร้อยปีของจวนโหว ต่อให้เขาต้องคุกเข่าก็ต้องแบกรับภาระของจวนโหวเอาไว้ให้ได้
คำพูดทักทายกล่าวกันจบแล้ว อนุหลิงก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับ
กู้ฉังชิงจึงถามว่า “อนุยังมีเรื่องอะไรอีกหรือ”
อนุหลิงพันผ้าเช็ดหน้าในมือ ยิ้มแหยส่งให้ “คืออย่างนี้นะ ฮูหยินกลับจวนมาแล้ว เรื่องของนางเจ้าคงได้ข่าวมาบ้างกระมัง”
กู้ฉังชิงมองไปยังอีกฝ่าย “อนุหมายถึงเรื่องที่อุ้มเด็กสองคนผิดน่ะหรือ”
อนุหลิงนิ่งอึ้งเล็กน้อย “เจ้ารู้แล้วรึ”
กู้ฉังชิงเอ่ยว่า “เพิ่งจะรู้เมื่อครู่”
อนุหลิงมองบ่าวรับใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหลังกู้ฉังชิงแวบหนึ่ง พลันกระจ่างแจ้งในใจ นางเอ่ยว่า “แม้จิ่นอวี้จะไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของพ่อเจ้า แต่อย่างไรเสียก็เลี้ยงอยู่ในจวนพวกเรามาหลายปี และเลี้ยงดูจนเกิดความผูกพันธ์รักเอ็นดูไปแล้ว ส่งตัวนางออกไป อย่าว่าแต่พ่อเจ้ากับฮูหยินจะหักใจไม่ได้เลย เหล่าฮูหยินก็หักใจไม่ได้เช่นกัน”
กู้ฉังชิงไม่มีความเห็นมากมายต่อเรื่องนี้ เพราะไม่สนใจ จึงไม่ไปคิดอะไรให้มากความ
อนุหลิงแย้มยิ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “วันเกิดจิ่นอวี้ใกล้จะถึงแล้ว ข้าช่วยเจ้าเตรียมของขวัญมอบให้นางดีหรือไม่”
กู้ฉังชิงเอ่ยว่า “อนุจัดการเหมือนปีที่แล้วๆ มาก็พอ”
แม้เขาจะไม่ยอมรับกู้จิ่นอวี้ว่าเป็นน้องสาวตัวเอง แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้นางอเนจอนาถขนาดนั้น เขาไม่ได้มีความชื่นชอบรังแกแม่นางน้อย
อนุหลิงเอ่ยขึ้นอีกว่า “เหยี่ยนเอ๋อร์ก็มาที่เมืองหลวงแล้ว เหยี่ยนเอ๋อร์กับเด็กคนนั้น…ก็ต้องส่งของขวัญไปให้ด้วยสักชุดหรือไม่”
กู้เหยี่ยนย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านตั้งแต่สี่ห้าขวบ นับดูแล้วพวกเขาไม่ได้พบหน้ากันมาสิบปีแล้ว อันที่จริงกู้ฉังชิงจำไม่ได้แล้วว่ากู้เหยี่ยนหน้าตาเป็นเช่นไร
เขาพยักหน้า “หากสามารถส่งไปได้ก็ส่งไปด้วยกันเลย”
ก็แค่ไว้หน้าให้เท่านั้นเอง
อนุหลิงยิ้มเอ่ยว่า “ได้ ข้าเตรียมของขวัญเสร็จจะเอาไปให้พ่อเจ้า ให้พ่อเจ้าเป็นคนเอาไป”
กู้ฉังชิงไม่มีความเห็นใด “เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ อนุตัดสินใจเองก็พอ”
อนุหลิงกำชับเขาอีกสองสามคำให้ดูแลร่างกายให้ดีแล้วก็กลับไป
กู้ฉังชิงบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ตัวเขาเองรู้อยู่แก่ใจดี ไม่ถึงสามวันห้าวันอย่าได้คิดว่าจะหายเจ็บ ทว่าเขาหลับไปหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นตื่นมานึกไม่ถึงว่าบาดแผลกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บเท่าใดแล้ว
เขาทายาห้ามเลือดที่กู้เจียวให้มา ยาฤทธิ์เย็น ทำให้บาดแผลยิ่งไม่เจ็บมากกว่าเดิม
กู้ฉังชิงรู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่ง
ฝีมือการแพทย์ของแม่นางคนนั้นมาจากไหนกันนะ นึกไม่ถึงว่าจะยอดเยี่ยมกว่าขุนนางแพทย์ในค่ายทหารเสียอีก
สองวันนี้ไม่มีการฝึก แต่กู้ฉังชิงยังคงตัดสินใจไปเดินดูที่ค่ายทหารอยู่ดี
ตอนที่เขาเดินผ่านศาลาฉุยฮวา เจอกู้จิ่นอวี้มาเดินเล่นในสวนเป็นเพื่อนแม่นางเหยาพอดี
เขาเห็นอีกฝ่ายแล้ว อีกฝ่ายก้เห็นเขาแล้วเช่นกัน สถานการณ์พลันกระอักกระอ่วนขึ้น
ตอนที่แม่นางเหยาแต่งเข้าจวนมา กู้ฉังชิงยังเป็นเด็กดื้อรั้นที่ยังไม่โตเต็มวัยเลย ซ้ำยังเพิ่งจะสูญเสียมารดาไปในใจจึงเคียดแค้น และพ่นวาจาร้ายๆ ใส่แม่นางเหยามากกว่าเดิม
ถึงขนาดเอ่ยวาจาไล่แม่นางเหยาออกไป หากที่นี่มีเขา ต้องไม่มีแม่นางเหยา หากมีแม่นางเหยาก็ไม่มีเขา
เขายังเคยใส่ร้ายป้ายสีแม่นางเหยาต่อหน้าท่านปู่ท่านย่าอีกด้วย
ยามนี้เขาโตแล้ว ย่อมไม่เหมือนตอนนั้นที่ไม่รู้ความอีกแล้ว
แต่เขาก็ไม่มีทางเรียกแม่นางเหยาว่าแม่อยู่ดี
ไม่มีทางตลอดจนชั่วชีวิตนี้
แม่นางเหยาผงกหัวให้อยู่ไกลๆ เขาก็ประสานมือให้อย่างเรียบนิ่ง ทั้งสองฝ่ายต่างทักทายตามมารยาทและห่างเหิน
ว่ากันตามหลักการแล้ว การบังเอิญอันกระอักกระอ่วนเช่นนี้ควรจะสิ้นสุดลงตรงนี้ แต่จู่ๆ จิ่นอวี้ดันเดินลงจากศาลามาตรงหน้ากู้ฉังชิง ย่อกายคำนับให้ “พี่ใหญ่ อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์” กู้ฉังชิงสีหน้าเย็นชาเฉยเมย
กู้จิ่นอวี้คล้ายไม่สนใจถือสา นางหยักยกรอยยิ้มหวานขึ้นเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ อีกไม่กี่วันก็เป็นวันเกิดข้าแล้ว วันนั้นพี่ใหญ่จะกลับจวนหรือไม่”
ไม่รอให้กู้ฉังชิงเอ่ยขึ้น กู้จิ่นอวี้ก็เอ่ยต่อว่า “ซูเฟยบอกว่านางก็จะมาเช่นกัน ข้าหวังว่าพี่ใหญ่จะมาได้เช่นกันนะ”
สายตานางประดับยิ้มจางๆ แต่ก็ไม่อาจปกปิดความกระวนกระวายใจเอาไว้ได้ ทว่ากู้ฉังชิงกลับไม่ได้ปฏิเสธไปอย่างไร้เยื่อใยเหมือนแต่ก่อนแล้ว “หากว่างข้าจะกลับมา”
กู้จิ่นอวี้แย้มยิ้มกว้าง “ขอบคุณพี่ใหญ่มากเจ้าค่ะ!”
กู้ฉังชิงเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “อย่าด่วนขอบคุณเลย อาจจะไม่ว่างก็ได้”
เอ่ยจบเขาก็เดินเฉียดไหล่นางจากไปโดยไม่หันกลับมาแม้แต่น้อย
กู้จิ่นอวี้กลับแอบคิดในใจว่า ดูท่าแล้วการที่ไม่ใช่ลูกของท่านแม่ กลับทำให้พี่ใหญ่หายเคืองตนไปไม่น้อย
ก่อนจะกลับมาเมืองหลวงนางเคยกังวลต่อชาติกำเนิดของตัวเองว่าหลังจากเปิดเผยแล้วจะทำให้ตัวเองได้รับการเหยียดหยามจากคนอื่นๆ สุดท้ายกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ซูเฟยชอบนางเป็นเพราะความสามารถของนาง เหล่าฮูหยินชอบนางเป็นเพราะซูเฟยก็ชอบนาง นางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านพ่อหรือไม่แล้วมันเกี่ยวอะไรกันด้วยล่ะ
รอให้นางได้เป็นท่านหญิงก่อนเถอะ ซ้ำยังได้รับความรักและเอ็นดูจากพี่ใหญ่อีก ต่อไปใครจะกล้ามาดูถูกนางได้
จริงสิ ยังมีอันจวิ้นอ๋องอีกคน
เข้าวังครั้งก่อนมัวแต่สนใจแก้โจทย์ให้องค์ชายห้า ลืมเอ่ยเรื่องอันจวิ้นอ๋องไปเสียสนิทเลย
งานเลี้ยงปักปิ่นครานี้เป็นโอกาสอันดีที่จะได้พบอันจวิ้นอ๋องพอดี!
เดินเล่นเสร็จ กู้จิ่นอวี้ก็ไปหาท่านโหวกู้ แล้วบอกความคิดของตัวเองให้ท่านโหวฟัง
ท่านโหวกู้ตกใจ “ว่าอย่างไรนะ ส่งเทียบเชิญให้อันจวิ้นอ๋องอย่างนั้นหรือ ไม่เหมาะกระมัง พวกเราไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันกับอันจวิ้นอ๋องเสียหน่อย”
เขาไม่กล้าปีนเกียวผูกมิตรกับอันจวิ้นอ๋องเพราะเคยให้อันจวิ้นอ๋งอกับน้องสาวมาพักไม่กี่คืนหรอกนะ
หากไม่พูดถึงเรื่องผลดีผลเสียระหว่างผู้มีอิทธิพล เอาแค่อันจวิ้นอ๋องผู้นี้คนเดียวก็ไม่ใช่คนที่เขาจะปีนเกลียวด้วยได้แล้ว
บางทีอดีตท่านโหวยังพอทำเนา อย่างไรเสียอดีตท่านโหวก็มีคุณูปการทางการทหาร แต่เขาไม่ใช่พ่อเขาเสียหน่อย
กู้จิ่นอวี้เอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “ท่านพ่อ ท่านเชื่อลูกเถิด จวิ้นอ๋องต้องมาแน่นอน”
ท่านโหวกู้สู้ลูกสาวที่ใช้ไม้อ่อนหว่านล้อมไม่ได้ หุนหันพลันแล่นส่งเทียบเชิญไปให้อันจวิ้นอ๋องทันที!