บทที่ 129 ตาที่สาม

เจ้าของร้านพิศวง

เรื่องที่อันธพาลวัยรุ่นคนนี้บุกเข้ามานี้ หลินเจี๋ยนั้นเมตตา อดทน และใจกว้าง

ทว่าการลงโทษก็ยังคงต้องมี และการปลดอาวุธเขาก็เป็นขั้นตอนแรก

แม้ว่าเพื่อนวัยเยาว์ผู้นี้จะเป็นจูนิเบียวระยะสุดท้ายก็ตามที หลินเจี๋ยก็ยังเต็มใจเสวนาด้วย จากนั้นก็เอาชนะฮู้ดในความถนัดของเขาเองแล้วทำร้ายจิตใจเขาเสีย

อาจารย์หลินรู้ดีว่าคนที่ติดอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเองแบบนี้เห็นแก่ตัวกันแค่ไหน มันคงเป็นไปไม่ได้ที่คนแบบนั้นจะกลับใจได้แค่จากการฟังคำเทศนาของหลินเจี๋ย

เพราะฉะนั้น ในเมื่ออีกฝ่ายอยากจะสกัดความรู้ หลินเจี๋ยก็จะให้เขาลอง บอกฮู้ดว่าเขาไม่ได้จะปล่อยเขาไปง่ายนัก ดังนั้นคงจะดีที่สุดถ้าจะให้เขาประสบมันด้วยตนเอง

เขายกนิ้วขึ้นจิ้มขมับของตนเองด้วยรอยยิ้ม เหมือนจะพูดว่า ‘ความรู้อยู่นี่ไง เชิญตามสบายเลย’ แล้วเรามีทางเลือกที่จะตอบว่าไม่ด้วยเหรอ? ฮู้ดคิดกับตนเอง รอยยิ้มของเจ้าของร้านหนังสือนั้นร้ายกาจและวางตัว ราวกับเขาเป็นแมวที่หยอกเล่นกับหนูที่เขาจับได้ในเงื้อมมือ

และท่าทางนิ้วจิ้มขมับนี่ดูจะบอกว่าชะตาของฮู้ดว่าจะจบลงด้วยดาบหากเขาไม่เชื่อฟัง นี่มันคุกคามกันโต้ง ๆ ชัด ๆ! เห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่มีทางเลือก การเลือกจะไม่เล่น ‘เกม’ นี่จะส่งผลให้เขาโดนจับไปเป็นตัวประกันเรียกค่าไถ่จากสมาคมแห่งสัจธรรมแน่

ถ้าฮู้ดเป็นแค่นักวิชาการที่เชี่ยวชาญด้านเครื่องจักรกลธรรมดา ๆ เขาคงยอมตายแทนที่จะยอมสยบแล้วยืนกรานว่าการกระทำของเจ้าของร้านหนังสือนั้นไร้ผล เพราะนักวิชาการแบบนั้นมันแทนที่กันง่ายและไม่ถึงกับทิ้งไม่ได้

อย่างกับสมาคมแห่งสัจธรรมจะยอมแพร่งพรายข้อมูลลับขนาดนั้นเพื่อชีวิตของนักวิชาการธรรมดาได้!

โชคไม่ดีที่การคาดเดาของหลินเจี๋ยถูกต้องตรงเผง!

ฮู้ดไม่ใช่คนใหญ่คนโต แต่ผู้ปกครองของเขาใช่…แลงดอน ฮู้ด อายุ 17 หนึ่งในคนบ้าของฝ่ายผู้แสวงหาความจริง นักวิชาการจากแผนกช่างกล และในเวลาเดียวกันเขาก็เป็นหลานชายของพี่สาวที่เสียไปแล้วของมาเรีย ประธานสมาคมแห่งสัจธรรมด้วย หรือก็คือเจ้าหมอนี่ที่จริงแล้วเป็นคนใหญ่คนโตรุ่นที่สอง

แต่เพราะเขาเลือกที่จะอยู่กับพวกผู้แสวงหาความจริงที่มักจะก่อปัญหา มาเรียจึงดูห่างเหินกับเขา ทว่าเธอนั้นดูแลเขาอย่างดีมากเมื่ออยู่กันสองคน ในตอนนี้มาเรียกำลังพยายามเลื่อนระดับสู่ระดับเหนือนภาและไม่ได้ยุ่งอะไรกับเรื่องของสมาคมแห่งสัจธรรม แต่หากวันที่เธอออกมาจากการเก็บตัวแล้วพบว่าหลานชายของเธอถูกจับเรียกค่าไถ่ล่ะก็ สมาคมแห่งสัจธรรมคงต้องรับผิดชอบ และคนมากมายจะลำบากแน่

เพราะเช่นนั้น หากหลินเจี๋ยจะจับเขาเรียกค่าไถ่จริง ๆ มันก็เป็นไปได้มากว่าสมาคมแห่งสัจธรรมจะยอมเจรจาด้วย และไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร สมาคมแห่งสัจธรรมจะเสียชื่อและฮู้ดจะยิ่งรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเจ้าพวกจิ้งจอกเฒ่าพวกนั้นอีก ฮู้ดเข้าใจเรื่องนี้ดี ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขี่หลังเสือ ฮู้ดรู้สึกเหมือนเป็นผีเสื้อที่ติดใยแมงมุม ยิ่งดิ้นรนเท่าไหร่เขาก็ยิ่งถูกรัดพันเท่านั้น

“ผมเล่น!” ฮู้ดกัดฟันตอบ ลึก ๆ แล้วฮู้ดรู้สึกเหมือนเขากำลังถูกเล่นมากกว่าเกมอีก

เมื่อครู่นี้ เขาได้ยินชัดเจนว่าเจ้าของร้านหนังสือได้ติดต่อกับคล็อด ศิษย์ของ ‘เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไร้เทียมทาน’ โจเซฟ

การให้คนรู้จักจากหอพิธีกรรมต้องห้ามจัดการกับเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าเจ้าหมอนี่กระทั่งจัดเตรียมขั้นต่อไปแล้ว และไม่แม้แต่จะให้โอกาสฮู้ดแก้เกมเลย

หลินเจี๋ยยิ้มแล้วชักดาบของเขากลับ เหลือบมองเชือกที่มัดร่างของเด็กหนุ่มแล้วจงใจถาม “เรื่อง ‘สกัดความรู้’ ที่คุณว่าเนี่ย ไม่ต้องใช้มือก็ได้ใช่ไหมครับ?”

“แน่นอนว่าไม่!” ฮู้ดคำรามลอดไรฟัน

เจ้าหมอนี่คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! ฮู้ดหายใจลึก ๆ หลับตาลงแล้วเข้าสู่สถานะสมาธิ

เวลาส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องเข้าสู่สมาธิในเวลาสกัดความรู้เลย แค่ใช้ ‘สัมผัสหยั่งทราบ’ ก็มักจะพอแล้ว และมันเป็นวิธีที่คนอื่น ๆ ในกลุ่มของฮู้ดใช้กัน

ทว่าการใช้วิธีพื้น ๆ แบบนั้นในตอนนี้มันรนหาที่ตายโดยแท้ แม้ว่าฮู้ดจะยังเดาไม่ได้ก็ตามว่าเจ้าของร้านหนังสืออยู่ในระดับพลังใด แต่เขาก็สัมผัสถึงออร่าที่น่าสะพรึงกลัวได้หลังเหยียบย่างเข้าไปในห้องนอนที่ทำให้เขาสังหรณ์ถึงความตาย

นี่ก็ยังเป็นเหตุผลที่เขายืนแน่นิ่งกับที่จนไหวตัวไม่ทันก่อนที่ชุดเกราะของเขาจะโดนหลินเจี๋ยจับแยกส่วนด้วย

โอกาสสำเร็จนั้นยากเย็นสุด ๆ แม้ว่าตัวตนเช่นนั้นจะไม่ได้ระวังตัวและยินยอมให้สกัดความรู้เองก็ตาม

เป้าหมายของเราไม่ใช่การสกัดความรู้ออกมาเยอะ ๆ แต่แค่สกัดให้ได้ก็พอ เราก็แค่ต้องทุ่มสุดตัว แตะเข้าที่ขอบ ๆ แล้วดึงออกมาสักนิดนึงเท่านั้น!

แบบนั้นเราก็จะชนะเดิมพันได้ รอดตัวและไม่เป็นอย่างคนอื่น ๆ

ฮู้ดปลอบใจตัวเองเช่นนั้น เพราะถึงอย่างไร จุดประสงค์แต่แรกก็คือการสกัดความรู้ใหม่ ๆ อยู่แล้ว แล้วตอนนี้เจ้าของร้านหนังสือก็ให้โอกาสเช่นนี้กับเขา ดังนั้นฮู้ดจึงต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ดีแล้วเตรียมตัวให้เหมาะสมก่อน

ฮู่…

หลังจากทำสมาธิอยู่สักพักแล้วปรับสภาพให้อยู่ในจุดสูงสุดได้ ฮู้ดก็พยายามสกัดความรู้เป็นครั้งแรก ไม่นานเขาก็ตระหนักว่าบางอย่างในวิญญาณของอีกฝ่ายผิดไป

มันไม่มีการป้องกันอะไรเลยจริง ๆ เหรอ? ฮู้ดตั้งคำถามอย่างไม่เชื่อ เขาไม่เข้าใจวิญญาณที่ไร้การป้องกันโดยสิ้นเชิงตรงหน้าเขาเลย มันดูราวกับสิ่งมีชีวิตธรรมดาเป๊ะ ๆ

นี่เป็นกับดักเหรอ? หรือเขาจะวาง ‘หนามวิญญาณ’ หรืออาจจะเป็น ‘คลื่นสะท้านจิต’ ไว้…

ความคิดนี้แล่นเข้ามาในใจ แต่ตัวเขาก็หยุดไม่ได้ และเพราะเช่นนั้นเขาจึงต้องเดินหน้าต่อ ในระหว่างความลังเลทั้งหมดของเขานั้นเอง ในที่สุดเขาก็แข็งใจแล้วควบแน่นวิญญาณของเขาเป็น ‘สัมผัสหยั่งทราบ’ แล้วแตะเข้าที่ชายขอบของวิญญาณนั้นอย่างรวดเร็ว

ฮู้ดนั้นอิ่มเอิบใจ และในตอนที่เขากำลังจะถอยกลับนั้นเอง ภาพวิปริตน่าขนลุกขนพองจำนวนมากก็ไหลทะลักเข้ามาในใจเขา ทำให้ความเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างของเขาถูกตั้งคำถาม สิ่งต่าง ๆ ที่ไม่อาจอธิบายได้เริ่มยึดครองทุกซอกทุกมุมในจิตใจและวิญญาณของเขา! หุบเหวลึกที่กระเพื่อมไหว มหาสมุทรที่กรีดร้อง ดาวดาวที่เบิกตากว้าง? ท้องฟ้าที่มืดมิดและเต็มไปด้วยความโกลาหลโอบล้อมเขาในพริบตา!

ความรู้ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นกับดัก!!!

ไร้การป้องกัน และมันก็ไม่จำเป็นต้องป้องกันด้วย ทุกเศษเสี้ยวของความรู้นั้นเป็นพิษที่ถอนไม่ได้ต่อความคิดคน!

“อ๊ากก! ผะ…ผมยอมแล้ว! ผมยอมแล้ว! ผมไม่เล่นแล้ว!” ฮู้ดเบิกตาโพลง ส่ายหน้าอย่างหวาดกลัว

เขาผงะถอยหลังแรงจนเขาร่วงลงไปกองกับพื้น หลังจากคืบคลานไปข้างหน้าเขาก็ดิ้นหลุดจากมัดเชือกได้ แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือเงาหลอนที่พยายามจะกลืนกินเขา หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีฮู้ดก็เงียบลง

“เอ่อ…เป็นอะไรไหมครับ?” หลินเจี๋ยย่อเข่านั่งลงจิ้มที่ไหล่ของเด็กหนุ่มอย่างเห็นใจเล็กน้อย บางครั้งความจริงอันยากเข็ญก็โหดร้ายเช่นนี้ ฮู้ดนอนหายใจหอบบนพื้นแล้วตอบด้วยเสียงอู้อี้ “ผมไม่เป็นไร”

เฮ้อ…แข็งแรงจริง ๆ นะ หลินเจี๋ยกลับไปที่เก้าอี้ของเขาแล้วหัวเราะขำ “งั้นก็ดีแล้ว ลุกเองนะครับ”

ฮู้ดดันตัวเองลุกขึ้นจากพื้นแล้วหันไปมองที่อื่น

มูเอนที่ยืนอยู่แถวนั้นเห็นช่องว่างที่ขยับไหวปรากฏขึ้นกลางแสกหน้าของเด็กหนุ่มก่อนที่จะเปิดออกอย่างกะทันหัน เผยให้เห็นลูกตาที่ปูดโปนออกมาจากข้างใน

ตาที่สาม

มูเอนถอยหลังไปหนึ่งก้าวใหญ่ ๆ อย่างรวดเร็วพร้อมกับเส้นขนที่ลุกซู่ทั่วร่างเธอ