บทที่ 159 ตรงตามเป้าเกินคาด

พลิกชะตาหมอยา

สีหน้าของหนานกงจี๋ไม่น่าดูอย่างมาก ไม่ว่ายังไงก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ได้ ความผิดที่เดิมนั้นอยู่ในตัวของเฟิ่งชิงหัวกลับกลายมาอยู่บนตัวของหนานกงเยว่หลีแทนไปได้

หากนางไม่ได้สติไปตลอด ถึงตอนนั้นเขาก็ยังจะพอบอกได้ว่าเอกสารทางการไม่ได้หาย ตอนนี้เพียงหวังว่านางจะฉลาดห่อย อะไรก็อย่ารับ ถึงตอนนั้นเขาก็ค่อยคิดหาวิธีดึงเกมกลับมาให้เป็นปกติ

“บนมือของนางก็ไม่แน่ว่าคือที่อยู่ในห้องลับ หรือเป็นไปได้ว่าคนที่ขโมยเอกสารทางการยังจะมีคนอื่นด้วย ข้าจะส่งคนไปสำรวจ ในเมื่อไม่มีธุระของเจ้าแล้ว พวกเจ้าก็กลับไปกันก่อนเถอะ” หนานกงจี๋กล่าว

เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า โอบไหล่ของจ้านเป่ยเซียวไว้แน่น ปลายคิ้วของฝ่ายชายยกขึ้นเล็กน้อย มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน

เฟิ่งชิงหัวมองมายังหนานกงเยว่ลั่วจากมุมสูงมองต่ำลงมาแล้วกล่าวว่า: “ยังไงก็เคยเป็นพี่น้องกันมาก่อน พี่ใหญ่ ข้าจะบอกเจ้าเรื่องหนึ่งนะ สีเทาๆ ที่อยู่บนมือของท่านปกติก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอก อย่างมากก็แค่สิบวันหรือไม่ก็ครึ่งเดือนล้างไม่ออกแค่นั้นเอง แต่ว่าพิษที่เจ้าถูกไปเมื่อครู่นั้นเรียกว่าผีเสื้อเบามั้ง? คือการใช้ฝุ่นผงชนิดหนึ่งที่อยู่บนปีกของผีเสื้อมีพิษทำออกมา สองอย่างนี้เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้ว ก็สามารถแปรเปลี่ยนกลายเป็นพิษร้ายแรงได้ สีเทาอันนี้น่ะเหรอ ยิ่งเวลาที่อยู่ในอากาศมาก หลังจากสัมผัสไปแล้วก็จะเน่าเฟะยิ่งเร็วกว่าเดิม ร่างกายของเจ้าจะเริ่มค่อยๆ เน่าเฟะไปเรื่อย ตอนนี้เจ้ามีความรู้สึกว่าหลังของเจ้าค่อยๆ คันบ้างนิดหน่อยหรือเปล่า บนแขนดูเหมือนว่ามีบางอย่างกำลังค่อยๆ คลานอยู่บนนั้นไหม อันนี้น่ะเหรอ เป็นเพียงสัญญาณเริ่มต้นเท่านั้น หากไม่รักษาให้ทันการณ์ ผิวหนังของเจ้าก็จะหลุดออกไปทีละชั้นๆ ต่อไปหากเกิดหนังใหม่ขึ้นมา สีของหนังใหม่และเก่าก็จะต่างกัน ดูแล้วก็รู้สึกน่ากลัวพิลึก”

ในขณะที่เฟิ่งชิงหัวพูดอยู่นั้นก็ยังทำตัวสั่นไปมาด้วย และหนานกงเยว่หลีก็ตกใจกลัวจนร้องไห้ขี้มูกโป่งไปนานแล้ว

“ไม่เอา ข้าไม่เอาหนังลอก ข้าไม่เน่าเฟะ ข้าไม่อยากเปลี่ยนเป็นคนอัปลักษณ์นะ!” ทั้งร่างของหนานกงเยว่หลีต่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ อากัปกิริยาที่แสดงออกมาในวันปกติธรรมดานั้นได้หลุดลอยหายไปหมดไม่เหลือชิ้นดีเลย ร่างทั้งร่างเกือบจะแหลกสลายไปตรงนั้นเลย

ใครจะไปรู้ว่าคราบสีเทานั้นได้สาดอยู่บนนั้นมากี่ปีแล้ว ไม่แน่ว่าอายุยังเยอะกว่านางอีก นางเป็นไปไม่ได้ที่จะเริ่มเสียโฉมหรอก

หนานกงจี๋ขยับริมฝีปากอยากจะพูด แต่กลับหันสบตาเข้ากับดวงตาของจ้านเป่ยเซียวก็เลยไม่ว่าอย่างไรก็พูดไม่ออกเลย เพียงแค่ภาวนาอยู่ในใจว่า ทนไว้ ทนไว้ให้ข้า อย่าเชื่อคนพูดไร้สาระของนาง

“ท่านแม่ ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าเร็ว ข้าไม่อยากตาย ข้ารู้สึกว่าหลังของข้ามันคันน่ะท่านแม่ ท่านพ่อ ท่านพ่อ ผงฝุ่นด้านในห้องลับนั้นเป็นของท่าน ท่านจะต้องรู้ส่วนผสมของมันอย่างแน่นอนถูกไหม ท่านรีบให้คนไปจัดยาถอนพิษมาให้ข้านะ” หนานกงเยว่หลีกล่าวออกมาอย่างร้อนใจ

คำพูดเดียวก็ได้แสดงออกมาให้เห็นชัดเจนแล้วว่าหนานกงเยว่หลีได้เข้าไปในห้องลับอย่างจริงแท้แน่นอน แผนการของหนานกงจี๋พังทลายไม่เป็นท่า

“เจ้าลุกขึ้นยืนให้ข้า นอนอยู่บนพื้นมันใช่เรื่องที่ไหนกัน บนตัวของเจ้าอะไรก็ไม่มีทั้งนั้น!” หนานกงจี๋กล่าวออกมาเสียงดัง

หนานกงเยว่หลีได้ยินก็ตกใจแล้วหันโผไปทางเฟิ่งชิงหัวเลย ไม่รอให้นางได้กอดเฟิ่งชิงหัว จ้านเป่ยเซียวได้พาเราทั้งสองคนหลบมาด้านข้างในทันที หนานกงเยว่หลีหกล้มลงไปที่พื้นอีก น้ำมูกน้ำตาไหลมาเป็นทาง ผมเผ้ารุงรัง มีท่าทีของหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งพระนครแม้แต่นิดที่ไหนกัน

เมื่อหนานกงเยว่ลั่วเห็นว่าหนานกงจี๋ในตอนนี้ก็ยังคงวางท่าอยู่ ก็เลยอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยเสียงร้องไห้สะอื้น: “ข้าเข้าไปในห้องลับก็เป็นเพราะท่าน! ล้วนเป็นเพราะท่าน เห็นได้ชัดว่าข้าเป็นลูกสาวที่เกิดจากภรรยาเอก แต่ท่านล่ะ กลับหมั้นหมายเรื่องอภิเษกองค์ราชทายาทให้กับหนานกงเยว่ลั่วที่เป็นคนไม่เอาไหน ข้าแข็งแกร่งกว่านางทุกๆ ด้าน ท่านกลับไม่ให้ความสำคัญเรื่องอภิเษกของข้าเลยแม้แต่นิด ข้าก็หมั้นหมายกับองค์ราชทายาทด้วยความสามารถของตนเอง หลังจากถูกถอนหมั้นท่านกลับบอกให้ข้าอย่าเอะอะไป ทำให้ข้าถูกคุณหนูตระกูลขุนนางพวกนั้นหัวเราะเยาะ แล้วก็มองดูหนานกงเยว่ลั่วแต่งเข้าไปยังราชวงศ์ด้วยตาตัวเอง ส่วนข้าแม้แต่การอภิเษกที่ดีงามสักที่ก็หาไม่ได้ ท่านจะให้ข้าไม่โกรธไม่เกลียดได้ยังไง!”

หนานกงจี๋ได้ฟังก็หายใจเข้าลึกๆ แล้วหลับตาลง

เจ้าเด็กโง่คนนี้ คิดไม่ถึงว่าจะพูดคำพูดพวกนี้ออกมาตอนนี้ได้ หรือว่านางไม่ได้สังเกตเห็นเลยแม้แต่นิดว่านี่ต่างก็เป็นแผนการของเฟิ่งชิงหัว?”

หนานกงเยว่หลีเอ่ยปากออกมาด้วยเสียงเคร่งขรึม: “หนานกงเยว่หลีขโมยเอกสารทางการ จับได้ในทันที รีบส่งไปกรมคลัง! รอให้ฝ่าบาทลงอาญา!”

ฮูหยินใหญ่สำลักออกมาหนึ่งคำและคุกเข่าลงทันที อยากจะพูดอะไรสักหน่อย แต่กลับพูดไม่ออกเลยแม้แต่ตัวเดียว ถึงจะโง่แค่ไหนนางก็เข้าใจ ครั้งนี้หนานกงเยว่หลีจบแล้วจริงๆ

แม้ว่าผู้หญิงตระกูลขุนนางใครก็ตามที่เคยถูกกรมคลังควบคุมตัว แม้ว่าหลังจากตรวจสอบแล้วไม่มีความผิด แต่ว่าชั่วชีวิตก็พังทลายไปเลย ยิ่งไปกว่านั้นบัดนี้ดูไปแล้วหนานกงเยว่หลีได้มีหลักฐานพยานครบถ้วน แม้ว่านางจะไม่ได้ขโมยเอกสารทางการก็ตาม

คราวนี้เฟิ่งชิงหัวก็เลยควงแขนจ้านเป่ยเซียวออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ขึ้นไปบนรถม้าแล้ว จ้านเป่ยเซียวกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาทางเฟิ่งชิงหัว: “เมื่อครู่หากไม่ใช่ข้าช่วยเจ้าไว้ จุดจบของเจ้าก็คงเหมือนกับหนานกงเยว่หลี”

พอพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็เปี่ยมไปด้วยนัยว่าเจ้ายังไม่รีบมาขอบคุณข้างามๆ อีกหรือ

ใครจะไปคิดว่าเฟิ่งชิงหัวกลับกลอกตามองบนมาที่เขา: “แม้ว่าท่านไม่มา ข้าก็ย่อมมีวิธีเอาตัวรอดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทางต่อสู้ทางบุ๋นหรือว่าทางบู๊ ข้าจะต้องแพ้ไม่ได้”

“อือ? การต่อสู้ทางบู๊เป็นยังไง แล้วการต่อสู้ทางบุ๋นจะเป็นยังไงอีก?”

“การต่อสู้ทางบู๊เหรอ ก็คือข้าซัดคนพวกนี้ให้ล้มลงกับพื้นให้หมด แล้วก็เดินออกมาอย่างสง่าผ่าเผย จากนั้นก็ร้องเรียนกล่าวโทษว่าจวนเฉิงเซี่ยงของเขากักขังหน่วงเหนี่ยวพระชายาไว้ แล้วจึงหยิบเอาจดหมายลับที่แอบลักลอบติดต่อกับเป่ยเว่ยซึ่งปลอมแปลงลายมือหนานกงจี๋ออกมาหนึ่งฉบับ ถึงตอนนั้นจวนเฉิงเซี่ยงของพวกเขาไม่ว่าใครก็ตามทั้งหมดจะต้องไม่สงบสุข สำหรับการต่อสู้ทางบุ๋นน่ะเหรอ” เห็นเพียงเฟิ่งชิงหัวพูดแผนการออกมาอย่างเป็นชุดๆ ใหญ่ ท่าทางดูสบายอารมณ์มาก ราวกับว่าแม้แต่นิดก็ไม่เกรงกลัวเลยจริงๆ

จ้านเป่ยเซียวได้ยินดังนั้นก็อึ้งไป จากนั้นก็ยกมือขึ้น ทำในสิ่งที่ตนอยากจะทำมานานแล้ว ก็คือออกแรงกดศีรษะของเฟิ่งชิงหัวไว้แน่นแล้วก็เขย่าอย่างออกแรง ผ่านไปไม่นานก็เห็นเส้นผมยุ่งเหยิงไปหมด เหมือนกับว่าเป็นทรงของสิงโตขนตั้งเลย

เฟิ่งชิงหัวรีบยกมือขึ้นไปปกป้องเส้นผมของตนเอง ตาที่งสองข้างจ้องไปยังจ้านเป่ยเซียวอย่างไม่พอใจรุนแรง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าตนเองจะสามารถกินยาเม็ดสีแดงลงไปสิบเม็ดจากนั้นก็เหยียบฝ่ายชายที่อยู่ตรงหน้าให้แหลกจมดินไปเลย!

“จ้านเป่ยเซียว ข้าขอเตือนเจ้า! ไม่ว่าเรื่องใดก็ตามให้เหลือที่ยืนเอาไว้บ้าง มิเช่นนั้นครั้งหน้าหากถูกข้าล่วงรู้ความลับของเจ้าขึ้นมา ข้าก็จะเอาคืนกลับไปเป็นสิบเท่าร้อยเท่าเลย!” เฟิ่งชิงหัวกล่าวเตือน

นางมีความรู้สึกอย่างยิ่งยวดว่าศักดิ์ศรีของนางถูกละเมิด บนโลกนี้คนที่กล้าจับผมนาง แปดในสิบคนก็ได้กฃายเป็นตำนานไปแล้ว ตอนนี้เหลือไว้เพียงสองคนเท่านั้น คนหนึ่งตอนนี้นอบน้อมกับนางเรียกนางว่าอาจารย์อา ส่วนอีกคนหนึ่งก็ไม่รู้ว่าไปตายที่ไหนนานแล้ว

จ้านเป่ยเซียวได้ยินดังนั้นก็กล่าวออกมาด้วยเสียงหัวเราะว่า: “เอาคืน? ข้ากลัวการเอาคืนของเจ้า?”

ในขณะที่พูดอยู่ก็ยิ่งไร้ยางอายมากขึ้นอีก มือข้างหนึ่งยังไม่พอใจก็เลยเริ่มใช้มือทั้งสองข้างทำให้ยุ่งเหยิงขึ้นไปอีก บนใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มกว้างที่เขาเองก็ไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน เสียงหัวเราะดังออกมาจากในปากของเขาเองนั้นราวกับพ้ำพุใสในภูเขา

รถม้าเคลื่อนอยู่บนถนน องครักษ์ที่งสองฝั่งได้ยินเสียงหัวเราะนี้ แต่ละคนก็มีท่าทีราวกับว่าถูกฟ้าผ่าก็ไม่ปาน

พวกเขาอยู่ข้างกายนายท่านมานานหลายปี น้อยครั้งมากที่นายท่านจะมีอารมณ์เช่นนี้เผยออกมาให้เห็น ยิ้มยิ่งไม่เคยเคยเห็นเลย งานที่ได้รับมอบหมายทำได้พอใจอย่างมากก็แค่พยักหน้าเท่านั้น เสียงหัวเราะนี้ดูช่างน่าแปลกประหลาดเกินไป

เส้นผมของเฟิ่งชิงหัวเส้นเล็กและนุ่ม นุ่มเหมือนนุ่น แปะติดอยู่บนหนังศีรษะของนางเห็นได้ชัดว่าค่อนช้างดูเชื่องเป็นพิเศษ ทำให้จ้านเป่ยเซียวอดไม่ได้ที่อยากจะกลั่นแกล้งนางอีก ก็เหมือนกับจงใจจะยั่วยุลูกแมวที่กำลังผึ่งพุงนอนอาบแดดก็ว่าได้

ในที่สุดเฟิ่งชิงหัวก็ไม่ยอมให้รุกฝ่ายเดียว เมื่อเห็นว่าปกป้องผมของตนเองไว้ไม่ได้ ก็เลยละทิ้งการป้องกันตัวไปให้รู้แล้วรู้รอด แล้วก็เอามือทั้งสองข้างจับไปยังข้อมือของจ้านเป่ยเซียวทันที ขาทั้งสองข้างยันไว้กับพื้นที่อยู่บนรถม้าอย่างแน่วแน่ ร่างกายเหมือนกับสปริงอันหนึ่งก็ว่าได้ และดันจ้านเป่ยเซียวถอยไปทางผนังรถได้แม่นยำอย่างว่องไว

เฟิ่งชิงหัวใช้แรงสุดกำลัง แน่นอนว่าไม่เหมือนกับปกติ เห็นเพียงรถม้าที่เคลื่อนที่อย่างมั่นคงอยู่เดิมนั้นพลิกไปทางด้านซ้าย รถม้าทั้งคันแม้แต่เชือกที่จูงม้าไว้ก็พลิกคว่ำไปกับพื้น

ศีรษะของจ้านเป่ยเซียวโขลกกับผนังรถที่แนบชิดกับพื้นผิวอย่างรุนแรง มีเสียงดัง “ตึก” ออกมา

เฟิ่งชิงหัวเพราะว่าความเฉื่อยก็เลยเอาแรงที่อยู่บนตัวทั้งหมดกดทับไปบนร่างของจ้านเป่ยเซียว มือทั้งสองข้างยกสูงขึ้น กดลงไปทั้งสองฝั่งของจ้านเป่ยเซียว ตรงตามเป้าเกินคาด

ก็เลยมีเสียงดังขึ้นมาอีก รถม้าที่แข็งแรงแต่เดิมนั้นหักออกเป็นหลายซีกเนื่องจากแรงโน้มถ่วง ฝุ่นควันปลิวว่อนไปหมด

หลังจากรอจนฝุ่นควันจางลง องครักษ์กลุ่มหนึ่งก็รีบมาล้อมรอบเพื่ออารักขากัน พอมองเข้าไปใกล้ขึ้น ดวงตาทุกคู่ก็เบิกกว้างขึ้น

ก็เห็นนายท่านของพวกเขาในตอนนี้กำลังถูกกดอยู่ด้านล่างอย่างอัดอั้นมาก ราวกับว่ากำลังเหม่อลอยอยู่ คนที่งสองคนดวงตาประสานกัน กลื่นอายของชั้นบรรยากาศได้เกิดเป็นสีชมพูแบบนั้นออกมา