ตอนที่ 166 ชั้นเรียน
ตอนที่ 166 ชั้นเรียน
องค์ชายสามเองก็ไปพบหวงกุ้ยเฟยเพื่ออวยพรและรับซองแดงวันข้ามปี เขามีช่วงเวลายากลำบากกว่าพี่น้องคนอื่น ๆ เพราะเติบโตมาโดยปราศจากมารดาจึงได้รับซองแดงน้อยมาก
โชคดีที่หนานกงสือเยวียนยังแสดงความเมตตาต่อเขาด้วยการมอบเงินอั่งเปาให้มากกว่าปกติทุกปี
ถึงกระนั้น องค์ชายหนุ่มก็มอบเงินอั่งเปาให้ข้ารับใช้ในตำหนักและห้องเครื่องต่อ เพราะข้ารับใช้ส่วนใหญ่เป็นคนของมารดาผู้ล่วงลับ ทุกคนดูแลเอาใจใส่เขาเป็นอย่างดี แม้เขาจะไม่ได้มั่งคั่งมากมายอะไรนัก แต่ก็อยากจะมอบเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้พวกเขาเพื่ออวยพรปีใหม่
หนานกงฉีอวิ๋นมีเบี้ยหวัดรายเดือนเพียงพอสำหรับใช้จ่าย แม้จะถือว่าไม่มากมายนักสำหรับผู้คนในวังหลวงแห่งนี้
ทว่าตั้งแต่น้องสาวดูแลอย่างดี เบี้ยหวัดในแต่ละเดือนของเขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้มากนัก ทำให้มีเงินเก็บเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย
ขณะที่กำลังมองลูกหมาป่าในอ้อมแขน หนานกงฉีอวิ๋นก็ลังเลที่จะปล่อยมันไป
เขาชอบอะไรนุ่มนิ่มมาโดยตลอด และตอนนี้เจ้าปุกปุยนี่ก็เป็นของเขาแล้ว
ดังนั้น แม้ว่าจะมีเงินเก็บไม่มากมาย แต่ก็อยากจะทำให้ดีที่สุดเพื่อช่วยเหลือพี่รองหลังได้ยินข้อเสนอจากน้องห้า
องค์ชายห้ากอดลูกหมาป่าเอาไว้ พลางถามเสี่ยวเป่าเรื่องพี่รองและเมืองชายแดน ด้วยนัยน์ตาสีเข้มที่ทอประกายสดใส
“น้องหญิง เล่าให้ข้าฟังเร็วเข้า ชีวิตของเสด็จพี่รองที่เมืองชายแดนเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยากจะรู้เรื่องเกี่ยวกับที่นั่นเอาไว้บ้าง หลังจากนี้พอได้ไปรบที่นั่นจะได้เข้าใจรู้สถานการณ์อะไรเร็วขึ้น”
องค์ชายผู้นี้สนใจเรื่องศึกสงครามอยู่ตลอดเวลาจริง ๆ
เสี่ยวเป่าพูดเรื่องที่นางพอจะรู้เท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่พี่รองเขียนเล่าไว้ในจดหมาย
“ต้องการปุ๋ยไปทำอะไรหรือ?”
นางตอบ “ใช้ปลูกพืชเป็นอาหารเพคะ”
ใบหน้าขององค์ชายห้าเต็มไปด้วยความสงสัย “การไปที่นั่นก็เพื่อต่อสู้กับพวกเป่ยหมานมิใช่หรือ เหตุใดต้องไปทำการเกษตรด้วย”
“เป็นคำถามที่ดีมากพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงของหลีไท่ฟู่ดังขึ้น กลายเป็นว่าชั้นเรียนได้เริ่มต้นอีกครั้ง ก่อนจะทันได้รู้ตัวเสียอีก
หลีรุ่น “ในเมื่อองค์ชายทรงสนพระทัยใฝ่รู้เรื่องนี้ กระหม่อมก็จะขอเล่าเกี่ยวกับการทำสงครามให้พระองค์ทรงทราบพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องสงคราม องค์ชายห้าก็ดูกระฉับกระเฉงขึ้นมาทันที เขานั่งลงประจำที่ แววตาสงสัยใคร่รู้มองไปทางท่านราชครูผู้ทรงภูมิด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม
เสี่ยวเป่ากะพริบตาปริบ ๆ ตอนนี้การเรียนเริ่มต้นขึ้นแล้ว หมดเวลาที่นางจะฟ้องเรื่องท่านพ่อกับเหล่าพี่ชาย!
หลีรุ่นนั่งลงด้านหน้า ตรงข้ามองค์ชายและองค์หญิงก่อนจะถามขึ้นว่า “องค์ชาย ทรงตอบกระหม่อมได้หรือไม่ว่าสิ่งใดที่สำคัญอย่างมากในสงคราม”
องค์ชายห้าเป็นคนแรกที่ยกมือขึ้น “สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งคือกำลังพล อาวุธชั้นยอด และสำคัญที่สุดก็คือต้องมีแม่ทัพที่เก่งกาจ พระมารดาเคยกล่าวว่า ขุนพลแข็งแกร่ง กองทัพย่อมแข็งแกร่ง”
หลีรุ่นลูบเคราของเขาพลางพยักหน้า “ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ยังมีอีกหรือไม่ มีพระองค์ใดทรงทราบอีก?”
องค์ชายหก หนานกงฉีเฉินกล่าวขึ้น “ต้องมีเบี้ยหวัดและเสบียงตอบแทนทหาร”
องค์ชายสี่เองก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา “ต้องมีม้า มีกำลังที่แข็งแกร่ง”
ราชครูมองไปทางเขาเป็นพิเศษ “ยอดเยี่ยมพ่ะย่ะค่ะ ที่ทรงคิดถึงเรื่องเช่นนี้ได้”
องค์ชายสี่ที่ได้รับคำชมเกาท้ายทอยด้วยความประหม่าและยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
อันที่จริง เมื่อถามถึงเรื่องราวเหล่านี้เขาคิดออกเพียงม้าและพละกำลังเท่านั้น
‘น่าจะมีเพียงเท่านี้ เหล่าองค์ชายยังไม่เคยสัมผัสกับสนามรบมาก่อน คงไม่สามารถคิดถึงสิ่งอื่นใดได้มากกว่านี้อีก’ หลีไท่ฟู่คิด
“องค์ชายทุกพระองค์ตรัสได้หลักแหลมมากพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้น เรามาวิเคราะห์คำตอบขององค์ชายห้ากันเสียหน่อย มีคำกล่าวที่ว่า อาหารคือชีวิตของราษฎร อันเป็นรากฐานของอาณาจักร ซึ่งต้องใช้ถึงสามทัพเพื่อขนย้ายเสบียงอาหาร กระหม่อมคิดว่าพระองค์น่าจะคุ้นเคยกับคำกล่าวนี้ แม้จะไม่ได้ทราบความหมายมากนัก ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ
จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นสามัญชนหรือพลทหาร อาหารการกินล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่ไม่อาจขาดแคลนได้
เมืองชายแดนเป็นปราการสำคัญในการปกป้องราชวงศ์ต้าเซี่ยเรา แม้จะมีบทบาทในการสงคราม แต่ขึ้นชื่อว่าเมืองก็ย่อมต้องมีผู้คนอาศัยอยู่ที่นั่น
จะทหารหรือชาวบ้านก็ล้วนแล้วแต่เป็นมนุษย์เหมือนกัน สำหรับมนุษย์คนหนึ่งแล้ว การมีอาหารการกินเพียงพอ มีเสื้อผ้าอาภรณ์อุ่นกายเพื่อหลีกหนีความหนาวเหน็บนับเป็นเรื่องสำคัญมาก หากมีปัญหาเรื่องเหล่านี้ ผู้คนก็จะไร้ซึ่งความตั้งใจที่จะปกป้องบ้านเมือง
หาใช่แค่แม่ทัพต้องเก่งกาจ กองทัพต้องแข็งแกร่ง และทั้งหมดต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเท่านั้น แต่เรายังต้องมีสัมพันธ์อันดีกับผู้คนนอกกองทัพอีกด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะตกที่นั่งลำบากจากทั้งภายในและภายนอก…”
หลีรุ่นอธิบายอย่างละเอียดและเข้าใจง่าย แม้แต่เสี่ยวเป่าที่มักหลบเลี่ยงชั้นเรียนก็ยังอดไม่ได้ที่จะตั้งใจฟัง
เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ปรัชญาในตำราที่เข้าใจได้ยาก ทำให้พวกเขาสนใจเป็นอย่างมาก
หลังจากที่ได้ฟัง องค์ชายห้าก็เอ่ยขึ้น “ดังนั้นราษฎรต้องอิ่มท้อง และกองทหารก็ต้องเอาชนะใจพวกเขาด้วย ถือเป็นการช่วยปกป้องทุกคนจากศัตรูที่เข้ามากล้ำกรายนี่เอง”
หลีรุ่นยิ้ม “ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ยังทรงพระเยาว์และไม่เคยได้สัมผัสชีวิตเช่นชาวบ้านทั่วไป จึงอาจมองข้ามความสำคัญของอาหาร ไม่เพียงแต่คนที่เมืองชายแดนเท่านั้นที่ต้องทำการเกษตร แต่ในค่ายทหารก็เช่นกัน เมื่อสามารถเก็บเกี่ยวพืชผลประจำปีได้น้อยเกินไปก็จะไม่เพียงพอต่อการบริโภคของปากท้องจำนวนมากที่นั่น หากปุ๋ยขององค์หญิงสามารถเพิ่มผลผลิตได้จริง ๆ ก็จะเป็นคุณอย่างมากแก่อาณาจักรเรา ไม่เพียงแต่จะช่วยชาวบ้าน แต่ยังรวมถึงราชวงศ์ต้าเซี่ยอีกด้วย”
เสี่ยวเป่ายิ้มอย่างมีความสุข รู้สึกดีใจที่สามารถช่วยท่านพ่อและพี่รองได้
“เสี่ยวเป่าจะช่วยท่านพ่อและพี่รองให้มากขึ้นในอนาคต”
หลีรุ่นหัวเราะ “ราษฎรและเหล่ากองทหารต้องขอบพระทัยองค์หญิงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนได้เรียนรู้อะไรมากมายในชั้นเรียนนี้ องค์ชายห้าเอ่ยพลางกำหมัดแน่น
“ในภายภาคหน้า ข้าจะต้องเป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ สามารถดูแลกองทหารใต้บังคับบัญชาและทำให้ราษฎรมีชีวิตที่ดีให้จงได้”
หนานกงฉีเฉิน “ก่อนหน้านี้ ท่านไม่ได้บอกว่าต้องการจะเป็นแม่ทัพที่ทรงพลังอำนาจเหนือผู้ใดในใต้หล้าหรอกหรือ?”
องค์ชายห้าโบกพระหัตถ์ด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ข้าต้องการเป็นให้ได้ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”
จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาปะทุขึ้น ตัดสินใจว่าจะศึกษาเรื่องเหล่านี้จากราชครูและอาจารย์ของเขาให้มากขึ้น หากต้องการเป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ ก็จะต้องเริ่มสั่งสมความรู้ตั้งแต่ตอนนี้
หลังชั้นเรียนเลิกแล้ว เหล่าพี่ชายก็พาน้องสาวออกไปเล่น การละเล่นในยุคนี้ไม่ได้มีอะไรมากมายนัก พวกเขามักจะชอบจับจิ้งหรีดมาสู้กัน
เสี่ยวเป่าไม่อยากเสียจิ้งหรีดให้หลีไท่ฟู่ จึงได้ตั้งใจเรียนเป็นอย่างมาก
ขณะที่จิ้งหรีดสองตัวต่อสู้กัน ก็เห็นเหล่าพี่น้องพากันตื่นเต้น
หนานกงฉีอวิ๋นไม่ชอบอะไรเช่นนี้ เขากอดลูกหมาป่าเอาไว้ไม่ยอมปล่อย และคิดว่าจะกลับไปทำงานแกะสลักของตนเองต่อ
ชายหนุ่มเหลือบมองน้องสาวแล้วกระซิบกับนางว่า
“เสี่ยวเป่า อยากไปดูตุ๊กตาไม้หรือไม่ ข้าทำผมให้แล้วนะ”
เสี่ยวเป่าหันหน้ามามองทันที “ไป!”
จากนั้นทั้งสองก็ค่อย ๆ หลบฉากจากเหล่าพี่น้องที่กำลังสนุกสนานกับการต่อสู้ของจิ้งหรีด โดยที่พวกเขาไม่ทันได้สังเกต
เนื่องจากน้องสาวได้ออกความเห็นเกี่ยวกับตุ๊กตาไม้ไว้ครั้งก่อน หนานกงฉีอวิ๋นจึงทำทรงผมให้ตุ๊กตาเหล่านั้น
ส่วนเรื่องเส้นผม เขาวานให้น้องห้าช่วยหามาให้
แม้ในยุคสมัยนี้มีความเชื่อที่ว่าร่างกาย เส้นผม ผิวหนัง เป็นสิ่งที่บิดามารดามอบให้ แต่ก็ไม่มีทางที่คนเราจะไม่ตัดผมเลยตั้งแต่เกิดจนตาย ผมจะยาวเพียงใดหากไว้ไปสิบยี่สิบปี มีแต่จะทำให้ดูรุงรังเสียมากกว่า
ส่วนใหญ่แล้ว คนจะไว้ผมยาวถึงเอวหรือบั้นท้าย และรวบเป็นมวยเอาไว้
การหาซื้อเส้นผมจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร…
หนานกงฉีอวิ๋นและนางกำนัลของเขาหาซื้อและประกอบผมตุ๊กตาทั้งหมดนั้นขึ้นมา ด้วยการนำมาร้อยกับผ้าแล้วจัดเป็นทรงผม มีกระดุมเล็ก ๆ ซ่อนอยู่เพื่อให้ตุ๊กตาสามารถเปลี่ยนทรงผมได้
ข้อต่อของตุ๊กตานั้นไม่ได้เป็นกลไกง่าย ๆ อีกต่อไป เขาได้ยินเสี่ยวเป่าพูดถึงข้อต่อที่เป็นทรงกลม แม้จะเป็นเพียงคำพูดผิวเผิน แต่เขาก็เก็บเอามาศึกษาอยู่นานเพื่อปรับปรุงจนสำเร็จในที่สุด
ตุ๊กตาเหล่านี้จึงไม่เพียงขยับข้อต่อของมือกับเท้าได้หลายส่วนเท่านั้น แต่ยังสามารถขยับนิ้วและกลอกตาได้ ทำให้ดูสวยงามกว่าเดิมมาก