ตอนที่ 261 ลักษณะเฉพาะ ตอนที่ 262 ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ

ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล

ตอนที่ 261 ลักษณะเฉพาะ

ซ่งเหล่าเกินพูดได้ชัดเจนอย่างยิ่ง ซ่งอิงพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า

พ่อเฒ่าทำได้ปานนี้ นางย่อมรู้สึกประทับใจเป็นธรรมดา อย่างไรเสียหากฮั่วหลินไม่ใช่ภูตโสมก็คงจะคาดเดาอนาคตภายหน้าได้ยาก

อีกทั้งสำหรับนาง เรื่องนี้ไม่ได้โหดร้ายและอันตรายขนาดนั้น แต่ในความนึกคิดชายชรานั้นต่างกัน

เห็นมือของพ่อเฒ่าสั่นระริกเล็กน้อย ซ่งอิงก็เข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง

“เหลนหลิน…เด็กที่ว่านอนสอนง่ายขนาดนั้น มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นเด็กที่มีบุญวาสนา จะต้องไม่เป็นไรแน่” ไม่รู้เช่นกันว่าชายชราปลอบใจตัวเองอยู่หรือไม่ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “อาสี่เจ้าอย่างน้อยก็เป็นเจ้าหน้าที่คุมประตูระบายน้ำ เขารู้จักคนมากหน้าหลายตา ให้เขากลับบ้านมาแล้วรบกวนผู้คนช่วยตามหา หากไม่ได้พวกเราค่อยให้เจ้าหน้าที่มือปราบช่วยตามหาร่องรอย คนเขามีความสามารถอยู่มาก”

“เอ้อร์ยาอา ข้ารู้สึกผิดต่อเจ้านัก เด็กตัวโตขนาดนั้นอยู่ในสายตาข้าแท้ๆ ข้ากลับดูแลไม่ได้!” ชายชรากล่าวด้วยความสะเทือนใจ ขอบตาแดงระเรื่อ

เขาอายุปูนนี้แล้ว ได้มองดูเด็กๆ เหล่านั้นจึงรู้สึกสงบผ่อนคลายใจขึ้นมาหน่อย

ในครอบครัวหลานๆ มากมายเพียงนี้ แต่ละคนล้วนดื้อรั้นซุกซน เขาไม่ใช่คนที่ยอมก้มหัวเอาใจเด็กๆ เช่นกัน ดังนั้นหลานๆ จึงไม่ค่อยสนิทสนมกับเขาเท่าไร ยกเว้นก็แต่เหลนหลินผู้นี้…

แม้เห็นหน้าค่าตากันไม่กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งที่แวะเวียนมา ปากเล็กๆ ช่างเจรจาน่าฟัง ยามคลี่ยิ้มประดับใบหน้าจ้ำม่ำ ดูเหมือนเด็กถือทองคนหนึ่ง แล้วเขาจะไม่ชื่นชอบได้อย่างไร

“ท่านปู่อย่าได้เศร้าใจไปเลย ลูกหลินชาญฉลาด ไม่แน่ว่าจะหาทางกลับมาด้วยตนเองได้ อีกทั้งข้าก็เคยบอกกล่าวที่อยู่บ้านแก่เขาไปหลายครั้งแล้ว เขาจำได้แม่นยำชัดเจนเชียวละ ไม่เป็นไรแน่เจ้าค่ะ” ซ่งอิงครุ่นคิดแล้วกล่าวขึ้น

กบเขียวไปช่วยเหลือแล้ว ความเป็นไปได้ที่โสมตนนี้จะเกิดอันตรายจึงเป็นไปได้น้อยมาก

“หวังว่าจะเป็นอย่างว่า” ชายชราทอดถอนใจ

ขณะเตรียมกลับห้อง มีคนขี่ม้าเข้ามาจากบริเวณไม่ไกลออกไป ดูสง่างามทั่วทั้งเรือนร่าง มองดูไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

ฮั่วซื่อเซี่ยงเสาะถามมาตลอดทาง ท้ายที่สุดก็มาถึงหน้าประตูบ้านซ่ง

หลังมองเห็นซ่งอิง จึงเร่งรีบลงจากหลังม้าแล้วนำเงินยื่นไปให้ “แม่นางซ่ง นายท่านให้ข้านำเงินมาให้ท่าน เมื่อครู่ข้าสติหลุดไปชั่วขณะจึงลืมจ่ายเงิน…”

เขามาถึง ซ่งอิงดวงตาลุกวาวคล้ายนึกอะไรบางอย่างได้

“ท่านขุนนางมาได้จังหวะพอดี ครอบครัวข้าถูกขโมยลักพาตัวเด็กเจ้าค่ะ…” ซ่งอิงกล่าวทันควัน

นี่เป็นคนข้างกายใต้เท้าฮั่ว มองดูถือว่าซื่อสัตย์น่าพึงพาอาศัยได้

“ในหมู่บ้านมีหัวขโมยลักพาตัวเด็กหรือ” ฮั่วซื่อเซี่ยงตกตะลึงอย่างยิ่ง “มีคนริอาจรนหาที่ตายเช่นนี้เชียว? แถบเมืองยงปีนี้ตรวจสอบขโมยลักพาตัวเด็กอย่างเข้มงวด หากจับตัวได้จะต้องตัดหัวสถานเดียว แม่นางซ่ง มีเด็กหายตัวไปแล้วหรือ”

“ลูกชายข้าถูกขโมยตัวไปแล้วเจ้าค่ะ” ซ่งอิงกล่าวด้วยสีหน้าอาการสงบนิ่ง

“…” ฮั่วซื่อเซี่ยงตะลึงงันไปพักหนึ่ง

นี่ไม่เหมือนลักษณะคนที่ลูกชายถูกลักพาตัวไปเลย…

พลันนึกถึงคำสั่งของเจ้านายขึ้นมาได้ ฮั่วซื่อเซี่ยงจึงกล่าวทันที “ฮู…ฮูหยินซ่งวางใจได้ ประเดี๋ยวข้าจะไปยกพลพร้อมม้ามาลาดตระเวนพาตัวเด็กกลับมา แต่รบกวนฮูหยินช่วยบอกลักษณะเฉพาะของคุณชายน้อยให้ทราบชัดเจนด้วย จะได้ง่ายต่อการแยกแยะ”

“และจะเป็นการดีที่สุดหากบรรยายสถานการณ์ของสามีท่านด้วยขอรับ เมื่อพบเจอคุณชายน้อยจะได้ง่ายต่อการทำความรู้จักกับคุณชายน้อยขอรับ” ฮั่วซื่อเซี่ยงกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง

“ท่านขุนนาง ลูกชายข้าลักษณะเหมือนเด็กประมาณไม่ถึงหกขวบ รวบมวยผมไว้บนใจกลางศีรษะ ส่วนเสื้อผ้าที่สวมใส่…” ซ่งอิงชะงักงันไป “คนเหล่านี้เมื่อลักพาตัวไป เกรงว่าจะจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้เด็กๆ ทั้งหมด อีกทั้งการจะแยกแยะเด็กไม่ใช่เรื่องง่าย ฉะนั้นแทนที่จะถามลักษณะเด็กให้ชัดเจน ไม่สู้ทำความเข้าใจลักษณะของหัวขโมยเหล่านั้นดีกว่าหรือเจ้าคะ”

บุตรชายนางใบหน้าขาวไร้ร่องรอยใดๆ ก็เป็นลักษณะอย่างเด็กถือทองตามภาพวาดฉลองปีใหม่

โสมเปลี่ยนรูปลักษณ์ นอกจากน่าตาน่ารักน่าเอ็นดู ทั้งเนื้อตัวก็ไม่มีลักษณะเฉพาะใดๆ เลยสักนิด

“ทะ..ท่านเป็นขุนนาง…ใช่หรือไม่ ข้ารู้ลักษณะเฉพาะของคนพวกนั้น ท่านถามข้าก็แล้วกัน…” ซ่งเหล่าเกินรีบบอกกล่าว

ตอนที่ 262 ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ

ซ่งเหล่าเกินกระตือรือร้น คิดไม่ถึงว่าเพิ่งต้องการจะแจ้งเจ้าหน้าที่ขุนนางก็ได้เจอขุนนางท่านผู้นี้แล้ว แม้ไม่รู้ที่มาที่ไปอะไร แต่เห็นเอ้อร์ยาให้ความนอบน้อมเกรงใจ จึงไม่นึกสงสัยในฐานะตัวตนเขาแต่อย่างใด

ซ่งเหล่าเกินไม่สนใจว่าฮั่วซื่อเซี่ยงต้องการฟังหรือไม่ รีบเอ่ยปากบอกกล่าว “คนเป็นหัวหน้าผท้องกลมๆ บริเวณใต้ติ่งหูมีปานดำขนาดใหญ่ ดวงตาดุดันจมูกแบน ผิวหน้าขรุขระ…”

แม้ว่าฮั่วซื่อเซี่ยงมีความตั้งใจสอบถามเกี่ยวกับสามีซ่งอิง แต่กลับไม่อาจเพิกเฉยงานสำคัญได้ จึงรีบคว้าเอาพู่กันและหมึกจากถุงสัมภาระที่พกติดตัวออกมาจดบันทึก

ติดตามนายท่านมาเนิ่นนานขนาดนี้ ทักษะพื้นฐานเช่นนี้ยังพอมีอยู่บ้าง

ชายชราบรรยายได้อย่างละเอียดยิบ ถึงขั้นจดจำได้ทั้งสิ้นว่าคนผู้นั้นได้รับบาดเจ็บส่วนไหน

“ในเมื่อเป็นตระกูลผู้ร่ำรวย มีรอยด้านและแผลเป็นตามมือช่างเป็นอะไรที่ไม่ชอบมาพากลจริงๆ…ท่านผู้เฒ่า ท่านให้การได้ดีมาก ข้าจะนำข้อมูลเหล่านี้ให้หยาเหมิน ไม่นานก็จะได้ข่าวคราว แล้ว…หลานเขยท่าน…” ฮั่วซื่อเซี่ยงกล่าว

“หลานเขย?” ซ่งเหล่าเกินตะลึงงัน จากนั้นก็ถอนหายใจ “ไม่เอ่ยถึงจะดีกว่า”

เอ่ยสิ ทำไมไม่เอ่ยถึงล่ะ!

หรือว่านิสัยเขาแย่ขนาดที่ว่าพบเจอผู้คนไม่ได้?

“ท่านขุนนาง สามีของหลานสาวข้าเสียชีวิตแล้วเจ้าค่ะ…” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่กล่าวอย่างเจื่อนๆ

“เสียชีวิตแล้ว? เมื่อใดหรือ” ถึงอย่างไรก็ต้องทำความเข้าใจเสียหน่อย อภัยให้เขาด้วยที่เสียมารยาท

ซ่งอิงเห็นคนผู้นี้ตื๊อเช่นนี้ ย่อมรู้ในใจว่าเป็นความต้องการของใต้เท้าฮั่ว จึงกล่าวอย่างเด็ดขาด “ท่านขุนนางอยากรู้ เช่นนั้นข้าก็จะบอกกับท่านแล้วกัน สามีที่เสียชีวิตไปแล้ว…เป็นถึงผู้มีเมตตาอันยิ่งใหญ่ในหมู่บ้าน เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน อายุยังน้อยและไร้ทายาท ข้ากับสามีผู้เสียชีวิตเคยพบเจอกันที่เมืองหลวง ได้ทำความรู้จักกัน หลังกลับมา ตัวข้ายินยอมแต่งงานกับเขาและรับเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งเพื่อสืบสกุลให้แก่เขา ขอท่านขุนนางโปรดบอกใต้เท้าด้วยว่า ข้ารักเดียวใจเดียวกับสามีข้า หมายมั่นแล้วว่าจะอยู่เป็นม่ายเฝ้าสุสานเขาชั่วชีวิต ท่านเห็นปากทางเข้าหมู่บ้านนั่นหรือไม่ ไว้อีกหลายสิบปี ไม่แน่ว่าตรงนั้นจะมีซุ้มประกาศเกียรติคุณความซื่อสัตย์ภักดีของข้าตั้งอยู่ก็เป็นได้”

ดังนั้นน่ะ ใต้เท้าอะไรนั่นก็ไม่ต้องหมายปองนางแล้ว ไม่เหมาะสม

ทว่าแม้เป็นคำลวงหลอก แต่เมื่อนึกว่าตนเองจะได้ตั้งซุ้มประกาศเกียรติคุณ ซ่งอิงก็ขนลุกขนชันขึ้นมาทันที ซุ้มประกาศเกียรติคุณอะไรนั่นจะเอาไปทำไม หลายสิบปีผ่านไปใต้เท้าฮั่วยังจะจดจำนางได้ที่ไหนกันเล่า อีกทั้งนางจะทำซุ้มประกาศเกียรติคุณที่ว่านั่นจริงๆ ให้ตนสะอิดสะเอียนได้อย่างไรกัน

ฮั่วซื่อเซี่ยงได้ยินถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก

แต่งกับป้ายวิญญาณเนี่ยน่ะ?

ไม่สิ ไฉนจึงรู้สึกคุ้นๆ ขนาดนี้ล่ะ

“แม่นางซ่ง…สามีผู้เสียชีวิต นามว่าอันใดหรือ” คงไม่เป็นอย่างที่เขาคิดเช่นนั้นกระมัง

อย่างไรเสีย หมู่บ้านก็มีอยู่แค่นี้ ผู้มีเมตตาอันยิ่งใหญ่ก็คงไม่ได้มากมายนัก อีกทั้งหญิงที่แต่งงานกับคนตายก็ย่อมมีอยู่ไม่มากเช่นกัน…

แล้วก็ เขาจำที่หัวหน้าหมู่บ้านเคยบอกเขาได้ ภรรยาของนายท่านตระกูลเขาน่าสงสารมาก แม้รูปโฉมอัปลักษณ์ แต่นิสัยใจคอดีงาม ใช่แล้ว และบอกด้วยว่าเก็บเด็กชายที่ไม่มีบ้านให้กลับได้คนหนึ่ง จึงขอยืมใช้ตัวตนนี้…

เพียงแต่ ตอนนั้นหัวหน้าหมู่บ้านดูเหมือนไม่ได้กล่าวว่าหญิงผู้นั้นกับนายท่านเคยรู้จักกันมาก่อน…

“ชื่อเสียงเรียงนามของชาวชนบทตามป่าเขาไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงหรอกเจ้าค่ะ แต่ก็ช่างบังเอิญที่แซ่เดียวกับใต้เท้า แซ่ฮั่ว นามหรง ต่อด้วย…เหออาน” นางตั้งขึ้นด้วยตนเอง

คนโบราณส่วนใหญ่มักตั้งชื่อให้ค่อนข้างเกี่ยวโยงกัน หรงหมายถึงอาวุธรบ ผู้นำการรบ ดังนั้นคู่กับเหออาน[1] ฟังดูก็ถือว่าเข้ากันดี

“ไม่จริง ไม่จริง…ข้า…” ฮั่วซื่อเซี่ยงกัดลิ้น

ฮั่วหรง ฮั่วหรง!?

บังเอิญขนาดนี้ได้อย่างไร!

เพียงแต่นายท่านตระกูลเขาชื่อสองตัวท้ายคือ ‘หมิงเหลียน’ !

ก็ไม่ใช่อยู่ดี ตัวตนฮั่วหรงผู้นี้ ไม่ได้ตั้งชื่อสองตัวท้าย! อย่างไรเสียนายท่านก็อยู่ที่นี่แค่ตอนเยาว์วัย หลังเติบใหญ่ก็เป็นฮั่วเจ้ายวนมาโดยตลอด ดังนั้นจะมีคนตั้งชื่อสองตัวท้ายให้ฮั่วหรงได้อย่างไรกัน?!

ยิ่งไม่ใช่ไปกันใหญ่…

ฮั่วซื่อเซี่ยงมึนงงสับสนไปหมด สีหน้าเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ท้ายที่สุดพลันนึกได้ว่า…

ที่ถูกขโมยไปคือบุตรชายของนายท่าน?!

“ฮั่ว ฮั่วฮูหยิน…เช่นนั้นข้าจะรีบควบม้าไปยังที่ว่าการอำเภอเดี๋ยวนี้ ท่านอย่าได้กังวลใจไปขอรับ…” ฮั่วซื่อเซี่ยงพูดติดๆ ขัดๆ

ซ่งอิงคิดว่า คราวนี้ใต้เท้าผู้นั้นน่าจะล้มเลิกความตั้งใจได้แล้ว ดังนั้นจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แล้วยังหยิบกระเป๋าสตางค์ทรงกลมขนาดเล็กออกมา ล้วงเศษเหรียญเงินสองสามตำลึงเงินจากด้านในยื่นให้เขา “ขอบคุณท่านขุนนางมาก ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ แม้ไม่มาก แต่ท่านเอาไว้ดื่มชาแล้วกัน”

—————————-

[1] เหออาน (和安) หมายถึงความสงบสุข