ตอนที่ 173 เทพมาจากไหน

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

ทันใดนั้นเอง หมอกจางๆ ด้านหลังเขาแต่เดิมก็เปลี่ยนเป็นหนาแน่น มีดแหลมคมเล่มหนึ่งแทงใส่แผ่นหลังของหลิงหลานฉับพลัน หมายเลขห้าคล้ายกับจับสังเกตไม่ได้ มีดแหลมคมแทงทะลุหน้าอกทันที แต่สิ่งที่น่าประหลาดคือ จุดที่มีดแหลมคมแทงทะลุนั้นไม่มีเลือดไหลออกมาเลยสักนิด เหมือนกับว่าคนที่เขาแทงไปนั้นเป็นเพียงแค่คนปลอมๆ

“แย่แล้ว!” หัวหน้าทีมรู้จากสัมผัสที่ส่งกลับมาจากมือว่าเขาติดกับแล้ว ร่างคนตรงหน้านี้ไม่ใช่คนจริงๆ มานานแล้ว เมื่อมีดปลายแหลมแทงเข้าไปก็ไม่รู้สึกถึงสัมผัสที่ได้จากการแทงเข้าไปในเนื้อสดๆ เลย หากแต่เหมือนกับปักเข้าไปในหุ่นไล่กา…

ในขณะที่หัวหน้าทีมคิดจะเปลี่ยนเป็นหมอกอีกครั้ง เขาก็พบว่าจู่ๆ บริเวณรอบตัวเขาปรากฏด้ายโปร่งแสงนับไม่ถ้วน ก่อตัวเป็นตาข่ายถี่ยิบล้อมรอบร่างเขาไว้ เขาคิดจะเปลี่ยนร่างเป็นหมอกก็ถูกขัดขวางไว้ทันที หลังจากนั้นทั่วทั้งร่างเขาก็ถูกมัดไว้

“อ๊าก! ระเบิดไปซะ!” หัวหน้าทีมไม่ยอมถูกจับโดยละม่อมแน่นอน พลังปราณบนตัวเขาพลันระเบิดออกมา ถึงแม้ว่าด้ายโปร่งแสงจะถี่ยิบ แต่โชคดีที่มันไม่ได้แข็งแกร่งทนทานสุดขีด พวกมันถูกหัวหน้าทีมใช้พลังปราณระเบิดจนทยอยกันระเบิดไปเรื่อยๆ ส่วนเขาก็ฉวยโอกาสนี้ดิ้นรนออกมาจากในตาข่าย แต่เนื่องจากเขาเปลี่ยนร่างเป็นหมอกล้มเหลว ทั่วทั้งร่างของเขาจึงกลายเป็นร่างที่แท้จริง

“นี่คือเขตแดนอะไร?” สีหน้าของหัวหน้าทีมเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาไม่เคยเห็นเขตแดนแบบนี้มาก่อน คาดไม่ถึงเลยว่ามันสามารถวางแหตาข่ายฟ้าดิน[1]ในพื้นที่แห่งนี้ได้

“อ่อ นี่เป็นแค่การเปลี่ยนแปลงเขตแดนอย่างหนึ่ง…” หมายเลขห้าตอบโดยไม่ยี่หระ ทันใดนั้นร่างของเขาก็เปลี่ยนเป็นกิ่งไม้ใบหญ้ากองหนึ่งปลิวว่อนในอากาศหลังจากเสียงนี้ แล้วจู่ๆ พุ่มหญ้าที่อยู่ไม่ไกลจากหัวหน้าทีมก็บ้าคลั่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มันพัวพันกันเป็นกลุ่มก้อน สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์ของหลิงหลาน

“ร่างแยกพืช?” หัวหน้าทีมตื่นตะลึง หลัง จากนั้นก็เหมือนกับคิดอะไรบางอย่างได้ เขากล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างมากว่า “หรือว่าการกลายพันธุ์ทางจิตของแกคือการควบคุมพืช?”

การเจอยอดฝีมือกลายพันธุ์ที่ควบคุมพืชในป่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจากป่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมพืช นี่เท่ากับว่าเข้าสู่อาณาเขตของอีกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ไหนกับมุมไหนต่างก็เป็นไปได้ว่าจะมีการโจมตีของอีกฝ่าย

“ควบคุมพืช? พูดได้น่าสนใจจริงๆ…” หมายเลขห้ากล่าวพลางยิ้มกริ่ม เขาไม่มีเวลาและอารมณ์มาเอ้อระเหยแก้ข้อสงสัยให้อีกฝ่ายหรอกนะ ยิ่งไปกว่านั้น หมายเลขเก้าในห้วงสติกำลังจ้องเขม็งอยู่ด้วย เห็นได้ชัดว่ากลัวเขาเล่นเลยเถิด เขาเองก็ไม่อยากผิดใจกับอีกฝ่าย หลีกเลี่ยงไม่ให้เธอกลับไปเล่าสถานการณ์ให้พี่ใหญ่หมายเลขหนึ่งฟัง

ดังนั้นเขาจึงตวาดเสียงค่อยอย่างชัดเจนว่า “ชักใย!”

ต้นไม้ใบหญ้าตรงบริเวณที่หัวหน้าทีมยืนพลันเติบโตอย่างบ้าคลั่ง ถักทอเป็นตาข่ายผืนใหญ่ครอบคลุมทั่วทั้งร่างของฝ่ายตรงข้ามไว้ข้างในอย่างรวดเร็ว…

หัวหน้าทีมไม่อาจยอมจำนนโดยละม่อมอย่างแน่นอน ร่างของเขาเปลี่ยนเป็นหมอกอีกครั้ง ทว่าในขณะที่เขากางเขตแดนแปรสภาพเป็นหมอกนั้น เขาพลันปวดไปทั่วร่าง จากนั้นร่างกายก็แข็งทื่อไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีก เวลานี้เขาค่อยพบว่า ตาข่ายผืนใหญ่นั้นไม่ใช่ตาข่ายเพียงอย่างเดียว มันเป็นอาวุธน่ากลัวที่ทำจากไม้เลื้อยมีพิษดูดเลือด

พิษรุนแรงในไม้เลื้อยพิษทำให้เขาสูญเสียแรงเคลื่อนไหวในพริบตา ความเร็วในการดูดเลือดอันน่ากลัวทำให้เขารู้สึกว่าเลือดบนตัวกำลังหายไปอย่างรวดเร็ว เขาสัมผัสได้ว่าเรี่ยวแรงของตัวเองกำลังหายไปเนื่องจากสูญเสียเลือดและวิงเวียนศีรษะตาลาย ค่อยๆ ล้มลงไปกับพื้น เขารู้สึกหนาวอย่างหาใดเปรียบ…สุดท้ายก็จมสู่ท่ามกลางความมืดที่เย็นยะเยือกไปโดยสิ้นเชิง…

“เก็บ…” หมายเลขห้ารู้สึกได้ว่าเหยื่อไม่มีกลิ่นอายชีวิตแล้วก็เก็บไม้เลื้อยพิษที่ปกคลุมบนตัวอีกฝ่ายกลับมาทั้งหมด จากนั้นก็เห็นไม้เลื้อยจมลงไปใต้พื้นดินอย่างรวดเร็ว เมื่อร่างของหัวหน้าทีมปรากฏออกมาก็กลายเป็นศพที่แห้งกรังไปแล้ว ไม่มีของเหลวใดๆ อยู่ข้างในเลย

“เอาล่ะ นายไสหัวกลับไปได้แล้ว” หมายเลขเก้าที่อยู่ในห้วงสติเอ่ยด้วยท่าทีมารยาทแย่สุดขีด

หมายเลขห้ายิ้มและไม่ได้โต้ตอบ มีเพียงคำพูดสองคนในมิติการเรียนรู้ที่หมายเลขห้าไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ หนึ่งคือหมายเลขหนึ่ง ความสามารถที่แข็งแกร่งสุดยอดของอีกฝ่ายทำให้เขาอยากโต้แย้งก็ไม่มีโอกาส ถึงแม้ว่าความสามารถของหมายเลขเก้าจะด้อยที่สุด แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาไม่เคยสนใจทะเลาะกับหมายเลขเก้าหรือว่าไปแก้แค้นอะไรมาตลอด…หมายเลขห้าจัดหมวดหมู่ปรากฏการณ์แบบนี้ให้หมายเลขเก้ากับหมายเลขหนึ่งที่เดินอยู่บนเส้นทางเย็นชาหน้านิ่ง และเขาก็คล้ายกับจนปัญญากับคนประเภทนี้

หมายเลขห้ามอบสิทธิ์ควบคุมร่างกายให้หมายเลขเก้าโดยไม่โต้แย้งเลยสักนิดเดียว หมายเลขเก้าตรวจสอบร่างกายของหลิงหลาน ใบหน้ายิ่งเย็นเยียบมากขึ้น “หมายเลขห้า นายแม่งเล่นเลยเถิดเกินไปแล้ว”

ต่อให้หมายเลขเก้าจะมีนิสัยเยือกเย็นอีกสักแค่ไหน แต่เมื่อเธอสังเกตเห็นสภาพร่างกายของหลิงหลานก็รักษาความสงบนิ่งไม่ได้อีกต่อไปและอดคำรามเป็นสิงโตขึ้นมาไม่ได้ ที่แท้เขตแดนที่หมายเลขห้าใช้เมื่อสักครู่นี้ทำให้กล้ามเนื้อของหลิงหลานเกิดความเสียหายในระดับแตกต่างกัน หมายเลขเก้าคาดการณ์ว่า หลิงหลานไม่สามารถฟื้นฟูพลังชีวิตกลับมาได้หากไม่ถึงหนึ่งปี นี่ทำให้ในใจหมายเลขเก้ารู้สึกเจ็บปวดสงสารไม่หมดไม่สิ้น เธอยิ่งเกลียดชังหมายเลขห้าที่เป็นตัวการเข้ากระดูกดำมากกว่าเดิม

เมื่อหมายเลขห้าเห็นท่าทีโกรธเกรี้ยวของหมายเลขเก้าก็ถูจมูกตัวเองอย่างระคายเคือง ‘เฮ้อ แม่เสือปกป้องลูกต่างก็เป็นคนที่ยั่วโมโหไม่ได้เลย เขารีบหนีไปดีกว่า!’ หมายเลขห้าหนีออกจากห้วงสติและกลับเข้าไปซ่อนตัวในมิติการเรียนรู้ของตัวเองอย่างขี้ขลาดมากๆ ทันที

หมายเลขเก้าเห็นหมายเลขห้าหนีไปโดยไม่รับผิดชอบ ถึงแม้ว่าเธอจะคับแค้นใจอยู่ แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ยังต้องช่วยหลิงหลานทำงานจบท้ายเลยได้แต่ปล่อยหมายเลขห้าไปชั่วคราว อย่างไรก็ตาม หมายเลขเก้าตั้งใจแล้วว่า หลังจากที่เธอกลับไปที่มิติการเรียนรู้แล้ว เธอจะต้องไปหาพี่ใหญ่หมายเลขหนึ่งเพื่อพูดคุยให้เขาสั่งสอนหมายเลขห้าโหดๆ สักหน่อยแล้ว

หมายเลขเก้าข่มกลั้นความโกรธแค้นในใจ เธอทำลายศพทั้งห้าคนทันที พรสวรรค์ของหมายเลขเก้าคือเพลิงเย็น ขอเพียงติดใส่ส่วนหนึ่งของเลือดเนื้อเป้าหมาย ถ้าหากยังไม่สามารถเผาเป้าหมายจนกลายเป็นฝุ่นได้ มันก็จะไม่หยุดเผาไปตลอดกาล ควรพูดว่าการตื่นของพรสวรรค์เธอน่ากลัวมากที่สุดในหมู่พรสวรรค์ของคนอื่นๆ น่าเสียดายที่มันไม่เหมาะกับการเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบ นี่เป็นความเจ็บปวดในใจเธอไปตลอดกาล

การพัฒนาร่างกายมนุษย์ของระบบดาวแมนโดราไปถึงจุดสูงสุดแล้ว คนที่แข็งแกร่งสุดยอดถึงขนาดใช้หนึ่งหมัดหรือหนึ่งฝ่ามือสร้างพลังทำลายมหาศาลอย่างยิ่งยวดได้ โดยเฉพาะหลังจากที่พรสวรรค์ตื่นขึ้นมา อานุภาพของเขาก็จะแข็งแกร่งมากขึ้น พูดได้ว่าสามารถทำลายระบบของมนุษย์ได้อย่างง่ายดายแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ระบบดาวแมนโดราไม่กลัวผลอันน่าหวาดหวั่นหลังจากมนุษย์มีพัฒนาการ เนื่องจากพวกเขามีหุ่นรบที่ยังน่าเกรงกลัวมากกว่ามนุษย์ที่มีพัฒนาการแล้ว ขอเพียงมีหุ่นรบสักตัว ต่อให้มนุษย์คนนั้นแข็งแกร่งอีกสักแค่ไหนก็ไม่สามารถต้านทานได้เลย

พูดแบบนี้ละกัน ประชากรหลายร้อยล้านคนถึงจะปรากฏตัวยอดฝีมือที่แข็งแกร่งสุดยอดระดับเขตแดนสักคน ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับผู้ควบคุมหุ่นรบระดับพิเศษที่อยู่แค่ระดับขัดเกลาก็ไม่สามารถต้านทานได้แล้ว เปลือกชั้นนอกของหุ่นรบมีเทคโนโลยีล้ำสมัยต่างๆ นานาทำให้พวกมันทนต่ออุณหภูมิสูงและต้านทานความหนาวเย็นสุดขีด แม้กระทั่งโล่พลังงานชนิดต่างๆ ก็ต้านทานพวกความสามารถของพรสวรรค์ที่ตื่นขึ้นมาได้ทันที มนุษย์คนเดียวไม่สามารถทำร้ายผู้ควบคุมที่อยู่ด้านในหุ่นรบได้

ไม่เพียงเช่นนั้น อาวุธและปืนที่หุ่นรบแบกติดตัวมีอานุภาพน่ากลัว จรวดโจมตีในรัศมีขอบเขตที่ใหญ่สุดยอดต่างๆ นานา ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับขอบเขตก็จนปัญญาเหมือนกัน ถึงร่างกายจะแข็งแกร่งอีกสักแค่ไหน รวดเร็วอีกสักเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถเหนือกว่าความเร็วและความทนทานของหุ่นรบ ไม่สามารถต้านทานระเบิดปืนใหญ่อันบ้าคลั่งของอาวุธร้อนเหล่านี้ได้เลย

นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมมนุษย์พัฒนาร่างกายอีกสักแค่ไหน สุดท้ายยังคงกลายเป็นโลกที่หุ่นรบทรงอิทธิพล โดยเฉพาะการปรากฎตัวของหุ่นรบชีวะ มันก็คือบัคที่มนุษย์ไม่สามารถอธิบายได้

หมายเลขเก้าเก็บกวาดสถานที่อย่างรวดเร็ว เธอเงยหน้ามองออกไปยังที่ไกลๆ ตรงนั้นมีผู้มีฝีมือแข็งแกร่งเหนือชั้นหลายคนกำลังเข้ามาใกล้ อย่างไรก็ตาม พวกเขายังมาช้าไป เพราะว่าหลักฐานทุกอย่างหายไปหมดแล้วหลังจากที่ผ่านมือของเธอ

หมายเลขเก้าพุ่งกายหายตัวไปจากในป่าแห่งนี้อย่างเงียบเชียบ เธอเพิ่งจะหายตัวไปได้ไม่นาน อาจารย์หลายคนที่มีกลิ่นอายทรงพลังก็ปรากฏตัวขึ้นในป่าพุ่มไม้แห่งนี้

ที่แท้ในระหว่างที่เปิดใช้เขตแดนของหมายเลขห้ากับหัวหน้าทีมถึงแม้ว่าจะเป็นแค่เวลาในชั่วพริบตาสั้นๆ แต่พลังอันน่ากลัวของระดับเขตแดนยังคงทำให้ยอดฝีมือระดับเดียวกันสัมผัสได้ กลิ่นอายไม่คุ้นเคยทำให้พวกเขางุนงงสับสน ดังนั้นถึงได้รุดหน้ามาตรวจสอบ

น่าเสียดายที่พวกเขายังมาช้าไป นอกจากร่องรอยหลังจากการต่อสู้ที่ยังคงหลงเหลือไว้ในสถานที่และกลิ่นอายที่ยังหายไปไม่หมดแล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย

“ท่านผู้อำนวยการ!” บนยอดต้นไม้ปรากฏร่างเงาอีกสาย เป็นผู้อำนวยการของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือนี่เอง ผู้มีฝีมือแข็งแกร่งหลายคนของสถาบันทยอยกันกล่าวทักทายเขา

“ซูชิง นายจับสัมผัสดูว่าคนที่มาเป็นเทพจากไหนกันแน่?” ท่านผู้อำนวยการขมวดคิ้วเอ่ยถามอาจารย์คนหนึ่งที่หยุดอยู่ข้างกาย เขตแดนของซูชิงคือ สัมผัสรับรู้ เขาสามารถแยกแยะคุณลักษณะกับความสามารถของเขตแดนฝ่ายตรงข้ามผ่านกลิ่นอายที่หลงเหลือไว้ ด้วยเหตุนี้จึงหาตัวออกมาได้เป็นใคร โดยปกติแล้วสหพันธรัฐมีบันทึกข้อมูลรวมไปถึงความสามารถและจุดเด่นของเขตแดนของผู้แข็งแกร่งระดับเขตแดนในประเทศต่างๆ ไว้

ท่านผู้อำนวยการไม่พอใจมากๆ ที่มีผู้แข็งแกร่งระดับเขตแดนปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างน่าประหลาด ควรรู้ไว้ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญของการต่อสู้ประจัญบานระหว่างลูกเสือสองชั้นปี ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น นั่นก็ย่ำแย่มากเกินไปแล้ว ยอดฝีมือระดับเขตแดนที่ปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันที่นี่มีเจตนาร้ายหรือเปล่า? ถ้าหากอีกฝ่ายมาไม่ดี หรือว่าเป็นยอดฝีมือของประเทศศัตรูแฝงตัวจงใจเข้ามาสร้างความเสียหาย ถ้าหากทำให้นักเรียนของสถาบันเกิดบาดเจ็บล้มตายมากมายเพราะเหตุนี้ขึ้นมา เขาก็ละอายใจต่อความเชื่อมั่นของสหพันธรัฐรวมไปถึงบรรดาผู้ปกครองที่ฝากฝังเด็กๆ ให้กับสถาบันแล้ว

ซูชิงได้ยินคำสั่งของผู้อำนวยการก็รีบตอบว่า “ครับ ผู้อำนวยการ!” เขาพุ่งตัวไปก็มาถึงพื้น หลังจากนั้นก็เปิดใช้งานเขตแดนของเขา…

ไม่นาน ใบหน้าของซูชิงก็เผยสีหน้างุนงง เขาพุ่งตัวทีหนึ่งก็มาถึงข้างกายผู้อำนวยการแล้วตอบเสียงเบาว่า “ท่านผุ้อำนวยการ ด้านในเหลือกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งระดับเขตแดนที่ไม่เหมือนกันสามอย่าง ธาตุน้ำที่หลงเหลืออยู่ในนั้นมีอยู่ค่อนข้างมาก คาดว่าความสามารถเขตแดนของหนึ่งในผู้แข็งแกร่งระดับเขตแดนจะมีความสามารถของธาตุน้ำอยู่ด้วย…แต่ผมดูร่องรอยการต่อสู้ที่หลงเหลือแล้ว ไม่เห็นคราบน้ำที่ชัดเจนเลย…มีความเป็นไปได้สูงว่าความสามารถของอีกฝ่ายคือการเปลี่ยนแปลงบางอย่างของธาตุน้ำ…” ต้องบอกว่าการคาดการณ์ของซูชิงแม่นยำสุดขีด ความจริงแล้วการเปลี่ยนสภาพหมอกก็เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งของธาตุน้ำ

ซูชิงกล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดไปครู่หนึ่ง ความงุนงงบนใบหน้ายิ่งเด่นชัดมากขึ้น “ส่วนกลิ่นอายอีกสองอันแปลกประหลาดมาก ผมบอกได้แค่ว่าผมไม่เคยสัมผัสกลิ่นอายประหลาดแบบนี้มาก่อนเลย…นอกจากให้ความรู้สึกที่แข็งแกร่งมากแล้ว ก็บอกสาเหตุการมาไม่ได้เลย ถ้าหากต้องหาคำอธิบายให้ได้ละก็ ผมบอกได้แค่ว่ากลิ่นอายหนึ่งทำให้ผมรู้สึกว่างเปล่าอย่างไร้ที่สิ้นสุด ส่วนอีกอันหนึ่งกลับมีความรู้สึกอึดอัดมาก…”

คำอธิบายของซูชิงทำให้ท่านผู้อำนวยการมึนงงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เขายังคงเข้าใจได้ว่าซูชิงไม่สามารถวินิจฉัยข้อมูลของผู้มีฝีมือแข็งแกร่งระดับเขตแดนอีกสองคนได้แน่นอน ดังนั้นจึงเอ่ยปากถามว่า “งั้นก็อย่าเพิ่งพูดถึงสองคนที่ยังไม่รู้ข้อมูลแน่ชัดก่อน นายหาผู้แข็งแกร่งระดับเขตแดนที่ค่อนข้างตรงกับคนแรกได้ไหม?”

………………………………………………….

[1]หมายถึง ล้อมศัตรูหรือผู้หลบหนีไว้อย่างแน่นหนา