บทที่ 108 พรจากสวรรค์

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 108 พรจากสวรรค์

แผ่นดินสั่นสะเทือนเบา ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะต้องแรงเขย่าจนหกแล้วเปียกชุ่ม

ซูเซียงเสวี่ยที่กำลังปักผ้ารูปหงส์คู่ เมื่อสัมผัสได้ถึงสิ่งนั้น นางก็วางเครื่องปักเย็บทั้งหมดลง แล้วใช้ผ้าปกปิดใบหน้าก่อนจะเดินออกไปยังประตูกระโจม

นอกกระโจมข้างกำแพงเมืองโบราณของเซียนปฐพี มีควันลอยฟุ้งขนาดใหญ่จาง ๆ ซูเซียงเสวี่ยจึงหันไปถามศิษย์สำนักเหอฮวนด้านข้าง

“เกิดอะไรขึ้น?”

“รายงานเจ้าสำนัก”

ศิษย์สำนักเหอฮวนก้มศีรษะลงด้วยความเคารพ

“เมื่อครู่ มีร่างหนึ่งตกลงมาจากยอดเขาบนท้องฟ้า และพุ่งออกไปนอกเมือง ผู้อาวุโสกับเจ้าสำนักคนอื่นออกไปตรวจสอบแล้ว”

“อืม ข้าเข้าใจแล้ว”

เมื่อได้ยินว่าร่างนั้น ‘พุ่ง’ ออกมา แทนที่จะเป็น ‘ร่อนลง’ ซูเซียงเสวี่ยจึงสรุปได้ทันที นางสั่งให้ศิษย์สำนักเหอฮวนเฝ้าที่นี่ จากนั้นก็รีบไปในทิศทางที่ร่างดังกล่าวพุ่งออกมา

เมื่อออกจากเมือง ผู้อาวุโสสำนักอื่น ๆ ยกเว้นสถาบันเสวียนฝ่ากำลังยืนล้อมรอบหลุมขนาดใหญ่ ส่วนไป๋ชิวหรานซึ่งมีหัวกะโหลกผูกเอวกำลังยืนอยู่ตรงกลาง ในไม่ช้าก็ค่อย ๆ เดินออกมาจากหลุมขนาดใหญ่

เมื่อเห็นรูปร่างของเขา ซูเซียงเสวี่ยก็อดเอ่ยถามไม่ได้

“เปลี่ยนงานอดิเรกแล้วหรือ?”

“งานอดิเรก?”

ไป๋ชิวหรานเดินไปหาฝูงคนพร้อมกล่าว

“สวัสดีทุกคน ข้ากลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว”

ผู้อาวุโสและเจ้าสำนักต่าง ๆ หันไปมองหน้ากัน จากนั้นเจวี๋ยอวิ๋นจื่อก็ตะโกนออกมา

“ขออภัยที่ล่วงเกิน อาจารย์ลุง!”

ด้านหลังชายหนุ่ม กระบี่บินได้โฉบออกมา ทำให้เกิดประกายแสงจ้าลึกลับออกมา… ช่างเป็นพลังที่น่าโดดเด่นนัก แสงกระบี่ด้านหลังเริ่มเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว แต่การเคลื่อนไหวของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อกลับเร็วกว่ากระบี่เหล่านั้น!

หลังจากที่เขาโจมตี ฝูอวิ๋นจื่อและหลี่เผิงเฟยก็โจมตีตาม พู่กันขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่แขนเสื้อ หมาป่าบนพู่กันควบแน่นเป็นเกลียวพร้อมปราณกระบี่สีหมึกก่อตัวเป็นคำกลางอากาศ ‘เส้นหยกโอบกอดโลกา ขี่อาชาขาวเพื่อเปิดอู่เจียง’ จากนั้นก็พุ่งไปทางไป๋ชิวหรานพร้อมจิตสังหาร ขณะเดียวกันหลี่เผิงเฟยก็ดึงมังกรยักษ์แปดตัวออกมาจากหมึกอย่างรวดเร็ว มันอ้าปากกว้างและพุ่งไปหาชายหนุ่ม

ฉับพลันนั้นพลังงานจากตัวพวกเขาก็ส่งผลกระทบกับโลกทันที แม้แต่คนที่อยู่รอบด้านยังต้องถอยออกไปเพื่อไม่ให้โดนลูกหลง!

แต่ไป๋ชิวหรานกลับสะท้อนการโจมตีทั้งหมดกลับไปได้ พื้นที่เบื้องหน้าจึงกลายเป็นเหมือนลมที่พัดเศษใบไม้ให้พัดไสว ทันใดนั้น การโจมตีทุกอย่างก็หายไปจนหมดสิ้น

แสงกระบี่ ตัวอักษร และมังกรหมึกพุ่งกระจายทุกทิศทาง เป็นผลให้พื้นดินหลายสิบลี้รอบด้านเกิดหลุมบ่อ

หากผู้ฝึกตนระดับสูงอย่างพวกเขาเอาจริงขึ้นมา อาจส่งผลให้ทั้งโลกได้รับผลกระทบโดยตรง

การโจมตีด้วยพลังปราณหายไป ไป๋ชิวหรานคว้ากระบี่ของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ กระบี่พู่กันของฝูอวิ๋นจื่อ และพู่กันของหลี่เผิงเฟยเอาไว้ ชายหนุ่มดึงทั้งสามคนเข้ามาก่อนจะโยนลงบนพื้น จากนั้นก็ถีบพวกเขาอย่างแรง!

ฝูอวิ๋นจื่อลอยไปติดบนหอประตูของกำแพงเมืองโบราณ ร่างกายส่วนบนจมลงไปในกำแพงครึ่งหนึ่ง หลี่เผิงเฟยกระแทกเข้ากับกำแพงจนเกิดรอยร้าวคล้ายร่างมนุษย์ ส่วนเจวี๋ยอวิ๋นจื่อบินขึ้นสูงและน่าสังเวชที่สุด เขาลอยไปไกลก่อนจะตกลงในแม่น้ำที่อยู่ใกล้ ๆ เมืองโบราณ

เมื่อเห็นเช่นนี้ ผู้อาวุโสและเจ้าสำนักรอบด้านต่างมารวมตัวกัน ท่านอาจารย์เว่ยเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก พร้อมกับทำท่าประนมมือ

“อมิตาพุทธ ดูเหมือนจะเป็นบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงตัวจริง”

“โธ่ เจ้าพระตัวเหม็น เหตุใดถึงไม่พุ่งเข้าไปพร้อมกับพวกเขาล่ะ?”

มู่ฮวนกล่าวประชดประชัน

“เจ้าไม่ได้บอกหรือว่า หากข้าไม่ลงนรกแล้วใครจะลงนรก?”

“อมิตาพุทธ พี่เจวี๋ยอวิ๋นจื่อและผู้อาวุโสอีกสองท่านอาจจะเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น นักบวชตัวเล็ก ๆ อย่างข้าคงไม่กล้าขัด”

ท่านอาจารย์เว่ยเฉินลูบศีรษะพลางเหลือบมองไปที่ไป๋ชิวหราน

“และเขาก็ไม่ใช่นรกอเวจี”

มู่ฮวนคิดจะกล่าวต่อ แต่ซูเซียงเสวี่ยหยุดพวกเขาไว้

“เอาล่ะ ๆ เจ้าหนุ่มนั่นเป็นตัวจริง ข้าสัมผัสได้อย่างรวดเร็ว นอกจากเขาแล้วจะมีผู้ชายคนใดในโลกอีกที่มีนิสัยแบบนี้?”

เจ้าสำนักเหอฮวนถอนหายใจ

“สิ่งที่สำคัญคือเรื่องปัจจุบัน”

จางรุ่ยเฟยแห่งกองทัพเทพยุทธ์ลูบศีรษะพร้อมกล่าว

“แล้วเหตุใด เจ้าสำนักซูที่ทราบว่าเป็นเขาตัวจริงมาตลอดถึงไม่บอกท่านพี่อวิ๋นจื่อและคนอื่น ๆ ล่ะ ทำไมต้องปล่อยให้พวกเขารนหาที่ตายแบบนี้?”

ซูเซียงเสวี่ยมองไปด้านข้างพร้อมกล่าว

“ท่านจาง อย่าลืมสิว่าข้ามาจากเผ่ามาร”

จางรุ่ยเฟยพูดไม่ออกทันที

“นี่อย่ามัวแต่ทะเลาะกันสิ”

ในขณะเดียวกัน หวงฝู่เฟิงก้าวออกมาและมองไปที่หัวกะโหลกข้างเอวไป๋ชิวหรานพร้อมเอ่ยถาม

“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง สถานการณ์ภายในเป็นอย่างไรบ้าง?”

ชายหนุ่มอธิบายสถานการณ์ถึงสิ่งที่ได้พบเจอเพียงสั้น ๆ จากนั้นก็ดึงหัวกะโหลกที่เอวออกมา

“นี่คือเจ้าของเดิมของถ้ำเซียนจากยุคก่อน”

“สวัสดีเด็กน้อยทั้งหลาย”

จื้อเซียนที่อยู่ในมือไป๋ชิวหรานเอ่ยทักทาย

“ข้าคือจื้อเซียน”

“วิเศษมาก เขามีเพียงวิญญาณแล้วรอดมาได้อย่างไร?”

กุ้ยคูผู้อาวุโสจากสำนักวิญญาณหยินยื่นมือออกมา แต่ถูกไป๋ชิวหรานตีมือดังเพียะกลับไปทีหนึ่ง

“ห้ามแตะต้องเด็ดขาด”

ไป๋ชิวหรานขยิบตาและว่าต่อ

“ข้าขอให้เขาสอนวิธีปิดเขตอาคมอัสนี พวกเจ้าจงปิดเขตอาคมก่อน แล้วค่อยไปจัดการกับถ้ำ”

ผู้อาวุโสกุ้ยคูถอนมือออกและพยักหน้า

“ยุติธรรมดี”

ด้วยการแนะนำของจื้อเซียน ฉะนั้นท่านอาจารย์เว่ยเฉินที่มีร่างกายแข็งแกร่งและผิวหนังที่หนาที่สุดจึงกลายเป็นผู้นำ พวกเขายกเขตอาคมหน้าถ้ำออกสำเร็จ หลังจากนั้นกลุ่มผู้อาวุโสกับเจ้าสำนักก็เข้าไป

หลังจากยืนยันแล้วว่าไม่มีอันตรายใด ๆ ไป๋ชิวหรานจึงปลีกตัวออกไปยังสถานที่ที่ห่างไกล จากนั้นจึงใช้คาถาเรียกวิญญาณ

ไม่นาน เสียงวิญญาณก็พุ่งออกมาจากความว่างเปล่า ต่อมาเชวียหลิงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าชายหนุ่ม

“มีธุระอะไรกับข้างั้นหรือ?”

เมื่อมาถึงตรงหน้าไป๋ชิวหราน เชวียหลิงก็เอ่ยถามตรงไปตรงมา

“มีวิญญาณเซียนปฐพีหลายตนในนี้”

ไป๋ชิวหรานนำวิญญาณเซียนปฐพีที่พ่ายแพ้แก่เขาในถ้ำเซียนออกมา และมอบให้แก่เชวียหลิง พร้อมด้วยวิญญาณขององค์ชายแห่งราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกผนึกอยู่ในแท่งสี่เหลี่ยมสีดำ

หลังจากเชวียหลิงจับพวกเขาเข้าไปในโคมกระดาษ ชายหนุ่มก็ยื่นหัวกะโหลกออกมาและเอ่ยถาม

“เจ้าจะรับสิ่งนี้ด้วยหรือไม่?”

“ฮ่า ๆ เจ้ากำลังทดสอบข้างั้นหรือ!”

จื้อเซียนหัวเราะ

“ได้เลยสหายตัวน้อย ข้าจะแสดงให้ดูว่าข้าจริงใจเพียงใด”

ไป๋ชิวหรานไม่สนใจจื้อเซียน เขามองไปยังเชวียหลิง ซึ่งเมื่อฝ่ายหลังเห็นเปลวไฟที่อยู่ในกะโหลก เขาก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่

สักพักเชวียหลิงก็ส่ายหัวแล้วเอ่ยต่อว่า

“เขาได้รับพรจากสวรรค์ ปรโลกจึงไม่อาจรับไว้ได้ จะมีก็เพียงสวรรค์เท่านั้นที่รับได้”