ตอนที่ 100 การมาเยือนของปีศาจ

เวลากลางคืนมาถึงแล้ว!

ถ้าหากว่าเป็นก่อนหน้านี้วัดร้างบนภูเขาฟุเนียวแห่งนี้คงเงียบสงบอย่างยิ่งและมีเพียงแสงไฟจางๆจากตะเกียงทองแดงเท่านั้น

แต่ในวันนี้ตะเกียงทองแดงกลับไร้แสงไฟและหญิงสาวทั้งสองคนก็เงียบสงบอย่างยิ่งจนแทบจะไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเลย

ความจริงแล้วไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆภายในวัดแห่งนี้ เผิงมี่และพี่สาวของนางถูกมู่อี้ส่งมาอยู่ในป่าไผ่ที่อยู่ด้านหลังวัดเป็นการชั่วคราวก่อนและเนี่ยนหนิวเอ้อร์ที่อยู่ที่นั่นก็คอยปกป้องหญิงสาวทั้งสองคนอยู่

เนี่ยนหนิวเอ้อร์นั้นแม้ว่าไม่มีพลังจากป่าไผ่มาคอยช่วยเหลือ นางก็ถือว่าเป็นดวงวิญญาณที่ทรงพลังอย่างยิ่งอยู่แล้ว

แต่เมื่อมีพลังจากป่าไผ่เข้ามาช่วยเหลืออีกพลังของนางก็จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดและมู่อี้ก็ยังมอบธงราชันย์แห่งวิญญาณให้นางติดตัวเอาไว้อีกด้วย

ดังนั้นป่าไผ่แห่งนี้จึงเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยมากที่สุดอย่างแน่นอน

เนี่ยนหนิวเอ้อร์ไม่พอใจเล็กน้อยที่มู่อี้สั่งให้นางปกป้องหญิงสาวทั้งสองคนแต่นางก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผลเสียทีเดียว แม้ว่านางไม่พอใจหญิงสาวทั้งสองคนนี้แต่นางก็พร้อมจะทำตามคำสั่งของมู่อี้เสมอ ดังนั้นเรื่องการปกป้องหญิงสาวทั้งสองคนนั้นมู่อี้ไม่ได้รู้สึกกังวลแม้แต่น้อย

ส่วนมู่อี้นั้นเขาคิดจะเข้าร่วมการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเพียงผู้เดียวอยู่แล้วและไม่ต้องการให้เนี่ยนหนิวเอ้อร์ออกไปช่วยต่อสู้ เพราะเขาไม่อยากต้องมาห่วงหน้าพะวงหลัง

เหมือนการต่อสู้ในคืนนั้นที่เกิดขึ้นบนภูเขาเสี่ยวหาน เขาก็ต่อสู้กับชิวเยวี่ยถงตัวต่อตัวเท่านั้น

น่าเสียดายที่การต่อสู้ครั้งนั้นจบลงที่การยอมแพ้ทั้งสองฝ่ายและเขาก็ไม่ได้สังหารใครเลย

มู่อี้รู้สึกกังวลเล็กน้อยว่าเขาจะกลายเป็นฆาตกรที่บ้าคลั่งหรือไม่ แต่เขาก็รู้ดีว่าตนเองต้องการอะไรและเขาคิดว่าเขาสามารถควบคุมหัวใจของตนเองได้อย่างแน่นอน

มีเพียงสงครามเท่านั้นที่เขาจะปลดปล่อยความชั่วร้ายในหัวใจของตนเองออกไปได้อย่างอิสระ

“ฟิ้ว!”

ในค่ำคืนที่เงียบสงบเช่นนี้เสียงลมที่พัดผ่านต้นไม้ใบหญ้าทำให้รู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวมากยิ่งขึ้น

มู่อี้ลืมตาขึ้นมาทันทีและคิดในใจของตนเองว่า “มาถึงแล้ว!”

เขาไม่แน่ใจว่าผู้ที่มาเยือนในครั้งนี้นั้นจะใช่ผู้พิทักษ์ของลัทธิเทพธิดาพันบุตรหรือไม่ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องรับมือกับศัตรู

มู่อี้รวบรวมพลังวิญญาณของตนเองทันที การต่อสู้ในครั้งนี้มีความสำคัญสำหรับเขามาก

“ตึก ตึก!”

หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงเท้าตรงเข้ามาที่นี่และมีคนมากมายปรากฏขึ้นในสายตาของมู่อี้ แม้ว่าจะเป็นเวลากลางคืนแต่แสงจันทร์ที่ส่องลงมาก็ทำให้มู่อี้มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ชัดเจน

หลังจากได้เห็นคนเหล่านี้สายตาของมู่อี้ก็หรี่ลงเล็กน้อยเพราะคนเหล่านี้ต่างก็เป็นคนกลุ่มเดียวกันกับกลุ่มคนที่เขาได้สังหารไปเมื่อตอนกลางวัน แต่ในตอนนี้ร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยไอแห่งความตายและพวกเขาต่างก็เดินตรงเข้ามาที่นี่ช้าๆ การเคลื่อนไหวของพวกเขาก็ดูแปลกประหลาดราวกับว่ามีคนกำลังคอยควบคุมอยู่

“ควบคุมศพงั้นหรือ?” มู่อี้คิดขึ้นมาทันทีและในเวลาเดียวกันเขาก็เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงส่งคนมาให้เขาสังหารเป็นจำนวนมากในวันนี้แม้ว่าจะทราบดีถึงพลังของเขา นั่นไม่ใช่การทดสอบเขาแต่อีกฝ่ายได้วางแผนเอาไว้แล้ว

จุดประสงค์ที่แท้จริงนั่นคือการควบคุมศพในตอนนี้

ศพจำนวนมากค่อยๆเดินขึ้นมาบนภูเขาแห่งนี้ รูปลักษณ์ของพวกเขาดูน่าเวทนาอย่างยิ่ง ร่างกายของพวกเขาเริ่มบวมขึ้นมาเล็กน้อยและผิวหนังของพวกเขาก็พองออกมาพร้อมกับมีตุ่มน้ำสีดำทั่วร่างกายและตุ่มน้ำเหล่านั้นยังส่งกลิ่นเหม็นออกมาอีกด้วย

มู่อี้จ้องมองศพเหล่านั้นเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าค่อยๆเข้ามาล้อมรอบเขาและเขาก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติอะไรบางอย่าง เพราะการเคลื่อนไหวของศพเหล่านี้เชื่องช้าจนเกินไป แม้แต่คนธรรมดาพวกมันก็ไม่สามารถไล่ตามได้ทันแน่นอนและศัตรูคงไม่ได้ต้องการสังหารเขาด้วยการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าแบบนี้แน่นอน เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายจะต้องมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่

ในตอนที่กำลังรู้สึกสงสัยอยู่นั้นร่างของมู่อี้ก็ค่อยๆถอยกลับไป

เมื่อศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเห็นว่ามู่อี้กำลังถอยกลับไปนั้น ทันใดนั้นศพที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าก่อนหน้านี้ก็เริ่มหยุดนิ่งและมีเสียงที่เหมือนกับเสียงขลุ่ยดังออกมา ความร้อนในร่างกายของซากศพเหล่านี้ก็เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

จิตใจของมู่อี้เตือนว่าเขากำลังตกอยู่ในอันตรายครั้งใหญ่และเขารีบถอยออกมาด้วยความเร็วทันที

“ตู้ม!”

ในตอนที่เขากำลังถอยออกไปจากที่นี่นั้นซากศพเหล่านั้นก็ระเบิดขึ้นมาทันที เลือดสีดำจำนวนมากกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้าผสมกับเศษเนื้อและเศษกระดูกของมนุษย์

เมื่อได้เห็นฝนเลือดสีดำที่กำลังตกลงมาในตอนนี้ มู่อี้ก็เข้าใจแผนการของศัตรูได้ทันที ในตอนนี้มันสายเกินไปที่เขาจะซ่อนตัวแล้วและเขาก็ไม่กล้าให้เลือดสีดำเหล่านี้สัมผัสกับร่างกายของตนเอง แต่น่าเสียดายที่เขามอบธงราชันย์แห่งวิญญาณให้เนี่ยนหนิวเอ้อร์ไปแล้ว ดังนั้นในช่วงเวลาที่วิกฤตนี้มู่อี้จึงทำได้เพียงนำตะเกียงทองแดงของเขาออกมาและใส่พลังแห่งจิตใจเข้าไปทันที

“หว่อง!”

ตะเกียงทองแดงในมือของมู่อี้ก็ส่องสว่างขึ้นมาทันทีและเปลวเพลิงสีขาวก็ห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้

เมื่อเลือดสีดำตกลงมาบนรัศมีของเปลวเพลิงสีขาวนั้น มันก็ถูกเผาไหม้และสลายกลายเป็นควันไปทันที

มู่อี้รู้สึกได้ว่าพลังแห่งจิตใจของเขากำลังลดลงไปอย่างต่อเนื่องแต่ในตอนนี้เขาก็ไม่กล้าปิดการใช้งานของตะเกียงทองแดง เมื่อได้เห็นผลของตะเกียงทองแดงในตอนนี้เขาก็รู้ทันทีว่าฝนเลือดสีดำที่กำลังตกลงมานั้นน่ากลัวมากเพียงใด

โชคดีที่ฝนเลือดสีดำหมดไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อทุกอย่างจบลงแล้วมู่อี้ก็ยืนอยู่ท่ามกลางกองกระดูกมากมายในตอนนี้แม้แต่หัวกะโหลกของมนุษย์ก็ยังกลิ้งออกมาจากใต้เท้าของเขา ส่วนเศษเนื้อของศพนั้นมันถูกแรงระเบิดจนกระเด็นหายไปหมดแล้ว

เสียงที่เหมือนกับขลุ่ยก่อนหน้านี้ก็หายไปแล้วด้วยเช่นกันแต่มู่อี้ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ วิธีการที่ศัตรูเลือกใช้นั้นถือว่าแปลกประหลาดและเหี้ยมโหดอย่างยิ่ง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่รู้จักเช่นนี้มู่อี้ก็ทำได้เพียงเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น

“ตึก!”

ในเวลาเดียวกันนั้นก็มีเสียงเท้าเดินเข้ามาที่นี่อีกครั้งและมู่อี้ก็มองออกไปทันที

ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องสว่างลงมานั้นเขาเห็นว่ามียักษ์ตนหนึ่งกำลังเดินขึ้นมาบนภูเขาแห่งนี้ เหตุผลที่เขาบอกว่าเป็นยักษ์นั่นก็เพราะว่าร่างกายของอีกฝ่ายนั้นสูงเกือบ 1 จั้งและยังมีร่างกายที่กำยำหนาใหญ่อีกด้วยแค่ท่อนแขนของยักษ์ตนนั้นก็หนาเท่ากับเอวของมู่อี้แล้ว. .

แขนของยักษ์ตนนั้นเหยียดออกมาและมีเก้าอี้ตัวหนึ่งวางอยู่บนนั้น มีชายคนหนึ่งที่สวมชุดสีขาวนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้น เขามีใบหน้าที่ดูแปลกประหลาดและมีอายุประมาณ 20 ปี สีหน้าของเขาดูเฉยเมยต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้และในมือขวาของเขานั้นก็ถือขลุ่ยหยกสีขาวเอาไว้

ด้านหลังของยักษ์ตนนั้นก็มีคนที่เขาเคยเห็นก่อนหน้านี้ นั่นก็คือ จ้าวเฟิง ที่โดนมู่อี้ขับไล่ออกไปก่อนหน้านี้ เมื่อเทียบกับสีหน้าที่ดูอับอายในตอนที่เขาต้องจากไปแล้วสีหน้าของจ้าวเฟิงในตอนนี้เต็มไปด้วยความหยิ่งยโสและความสุขของการได้แก้แค้น

ไม่นานอีกฝ่ายก็มาหยุดลงที่ด้านหน้าวัดแห่งนี้

“มู่อี้ จงยอมจำนนและมอบตัวหญิงสาวทั้งสองคนนั้นมาเถอะ หากเจ้ายอมจำนนต่อข้า ข้าย่อมตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน” ชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พูดขึ้นมาทันที น้ำเสียงของเขาแตกต่างจากใบหน้าของเขาอย่างสิ้นเชิง มันฟังดูเหมือนกับเสียงของหญิงสาวที่งดงามจากเจียงหนาน นี่ช่างดูแปลกประหลาดอย่างยิ่งแต่สายตาของมู่อี้ก็มองเห็นอย่างชัดเจนว่าเขาเป็นชายคนหนึ่ง

“ยอมจำนนต่อเจ้างั้นหรือ? ข้าคงต้องไปเป็นสุนัขรับใช้ของลัทธิเทพธิดาพันบุตรสินะ?” มู่อี้พูดอย่างเย็นชา

“ไม่ เจ้าแค่ยอมจำนนต่อข้าเท่านั้นและข้ายอมรับปากกับเจ้าได้ว่าในภายภาคหน้าฐานะของเจ้าจะอยู่เหนือคนนับหมื่นอย่างแน่นอน” น้ำเสียงของชายคนนั้นฟังดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง มันดูเหมือนกับมีมนต์เสน่ห์ที่น่าหลงใหล

เมื่อเสียงของชายผู้นั้นเข้ามาในโสตประสาทของเขา มู่อี้ก็รู้สึกได้ว่าจิตใจของเขาเริ่มคล้อยตามคำพูดของอีกฝ่ายในตอนนี้และจิตใต้สำนึกของเขาก็เริ่มบอกให้เขายอมจำนนต่อชายผู้นี้

แต่ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนั้นตะเกียงทองแดงในมือของเขาก็ส่องสว่างขึ้นมาทันที และในครั้งนี้มู่อี้ก็ไม่ได้ส่งพลังจิตใจของเขาเข้าไปเลย ราวกับว่ามันส่องสว่างขึ้นมาด้วยตัวของมันเอง

มู่อี้รู้สึกราวกับว่าเขาได้ตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล เขาจ้องมองไปที่ชายผู้นั้นที่มีสีหน้าดูประหลาดใจและในใจของเขาก็รู้สึกได้ถึงภัยคุกคาม แม้ว่าเขาจะระมัดระวังมากเพียงใดแต่เขาก็ไม่คิดเลยว่าแค่คำพูดของอีกฝ่ายก็เกือบทำให้เขาต้องพ่ายแพ้ ถ้าหากไม่มีตะเกียงทองแดงเขาคงถูกศัตรูควบคุมจิตใจไปแล้วแน่นอน