หลานเสี่ยวถางที่กำลังพูด ในขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังมาจากด้านนอก
หลานเล่อซินที่อยู่บนเตียงก็เห็น มุมปากก็ยกขึ้น และก็ได้แอบเก็บโทรศัพท์
โชคดีที่ก่อนหน้านั้นเธอเคยติดตั้งซอร์ฟแวร์อัดเสียงไว้ในโทรศัพท์ วันนี้ถือได้ว่าเหมาะในการใช้งานอย่างมาก ! หลานเล่อซินหลับตา และแกล้งทำเป็นหลับ
สือมูเฉินเดินเข้ามา ก็ได้วางอาหารเดลิเวอรี่ไว้บนโต๊ะและก็พูดกับหลานเล่อซิน : “ เสี่ยวถาง กินอะไรหน่อยเถอะนะ ”
พอพูดจบ ก็เหลือบมองหลานเล่อซินอีกครั้ง : “ นี่เธอหลับแล้วหรอ ?”
เมื่อหลานถางได้ยินสือมูเฉินเป็นคนฝ่ายถามหลานเล่อซินเกี่ยวกับสถานการณ์ก่อน ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจ : “ ไม่รู้ ”
สือมูเฉินก็เดินเข้าไปดู : “ ถ้าหลับแล้วก็อีกเดี๋ยวก็ค่อยกินละกัน ส่วนพวกเราก็กินกันก่อน ”
ในขณะที่พูดกับหลานเสี่ยวถางก็ลุกขึ้นและไปห้องพักผู้อีกห้องเพื่อกินข้าว
“ เป็นอะไรไป ไม่ถูกปากหรอ ?” สือมูเฉินที่เห็นท่าทางของหลานเสี่ยวถางที่กินได้ไม่อร่อย ดังนั้นก็เลยถาม
“ เปล่า ” หลานเสี่ยวถางเงยหน้าขึ้นมายิ้ม
เธอรู้ว่าคำพูดพวกนั้นของหลานเล่อซินส่งผลกระทบต่อตัวเอง แต่ทว่าก็เห็นได้ชัดว่าสามารถเข้าใจเหตุผลนี้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะควบคุมให้คิดมากไม่ได้
หลานเล่อซินบอกว่าเธอไม่เข้าใจผู้ชาย มันก็จริงที่เธอไม่เข้าใจ
ก็เหมือนกับตอนสมัยเรียน เห็นได้ชัดว่าหันจื่ออี้ดีกับเธอมากๆมาตลอด แต่ทว่า ก็บินไปต่างประเทศอย่างเงียบๆ และก็ไม่มีข่าวคราวอะไรมา 6 ปี
หรือเหมือนกับสือเพ่ยหลิน เห็นชัดว่าเขาก็ดีกับเธอมาก ทุ่มเทไปตั้งเท่าไหร่ แต่ผลสุดท้ายเขากลับทำแบบนั้นกับเธอ
และในตอนนี้——
อันที่จริงแล้ว ไม่ใช่ว่าเธอไม่มั่นใจ แต่เธอกลับไม่รู้จริงๆว่าทำไมสือมูเฉินถึงแต่งงานกับเธอ แต่งงานกับคนที่ไม่มีอะไรติดตัวเลยและเธอตกใจมาก
ยิ่งเธอสนิทสนามกับสือมูเฉินมากเท่าไหร่ ก็กลับพบว่าเขายิ่งดีเลิศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เธอพบว่าเขามีบริษัทอยู่ที่ต่างประเทศ หลายปีที่ผ่านมาที่เขาได้สั่งสมประสบการณ์และด้วยความสามารถรอบด้านของตัวเองสามารถยึดหุ้นของบริษัท Time Group มาได้ แล้วเขาที่มาอยู่กับเธอ สรุปแล้วมันเป็นเพราะอะไรกัน ?
คำถามนี้ ก่อนหน้านี้หันจื่ออี้ก็เคยพูด สือเพ่ยหลินก็เคยบอก แม้กระทั่งตัวเธอเองก็เคยถามสือมูเฉินอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็กลับพูดหยอกล้อว่าตัวเองกำลังทำบุญ
จนตอนนี้ เมื่อได้ยินการพูดคุยระหว่างสือมูเฉินกับหลานเล่อซินที่ถูกอัดไว้ตอนอยู่ในห้อง คำถามที่สงสัยมันก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง : “ เขาทำไมถึงแต่งงานกับเธอ ? มันพอกล้อมแกล้มไปได้จริงหรอ ?”
ในใจยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ากับข้าวรสชาติจืดชืดเหมือนกับเคี้ยวเทียน
ลมหายใจของหลานเสี่ยวถางค่อนข้างว้าวุ่น แม้กระทั้งจมูกก็เริ่มแสบขึ้นมา
สือมูเฉินสังเกตเห็นว่าอารมณ์ของเธอไม่ค่อยดี จึงค่อยๆลุกขึ้น และทำท่าทางเสียงขู่ใส่หลานเสี่ยวถาง
เขาเดินอย่าเงียบๆไปยังห้องพักผู้ป่วยของหลานเล่อซิน สายตาก็กวาดไปเห็นเหล็กขาตั้งสีทองที่สะท้อนแสง มันสะท้อนไปยังใบหน้าของหลานเล่อซินพอดิบพอดี เป็นไปอย่างที่คิดไว้เลยว่าหลานเล่อซินนั้นยังไม่ได้หลับ
พอสือมูเฉินหันกลับไป ก้นบึ้งของหัวใจก็รู้อยู่แล้ว
และเดาได้ว่าผู้หญิงตัวเล็กของเขาคงถูกการแสดงละครของหลานเล่อซินหลอกอีกครั้ง ได้ยินคำพูดอะไรที่ไม่ดี และกำลังไม่สบายใจอยู่ขณะนั้น……
เขาเหลือบไปมองหลานเสี่ยวถางที่กำลังกินข้าวอยู่เงียบๆอย่างจำใจ ไม่ได้เป็นเพราะว่าภรรยาโง่เกินไป แต่เป็นเพราะศัตรูแสดงได้เก่งเกินไป
สือมูเฉินก็ถอนหายใจ หลังจากที่กินในส่วนของตัวเองเสร็จ : “ เสี่ยวถาง คุณกินเสร็จแล้ว พวกเราลงไปเดินเล่นข้างล่าง ”
หลานเสี่ยวถางพยักหน้าอย่างไม่สบายใจ : “ อื้ม ”
กินอย่างไม่เจริญอาหารจนหมดไปอย่างง่ายๆ หลานเสี่ยวถางลุกขึ้นยืน : “ แล้วพี่ละ ? ไม่ต้องเฝ้าเธอหรอ ?”
สือมูเฉิน : “ ไม่นานพวกเราก็กลับมาแล้ว ” ในเมื่อหลานเล่อซินมีแรงที่จะที่แสดง ก็คงไม่ทางทำอะไรที่ไม่รักชีวิต แค่นี้เขาก็วางใจ
ทั้งสองเดินลงไปชั้นล่างของแผนกผู้ป่วย สือมูเฉินก็พูดกับหลานเสี่ยวถางหนึ่งประโยค “ รอแป๊บนะ ” และรีบเดินไปที่ร้านขายยาที่อยู่ข้างๆ
พอกลับมา ในมือของเขาก็ถือยาทาครีมเอาไว้
เขาลากหลานเสี่ยวถางไปตรงสนามหญ้าของโรงพยาบาล หาเก้าอี้สักตัวนั่งลงและหยิบยาทาครีมออกมา
ภายใต้แสงไฟที่สลัว เขาก็จับข้อมือของหลานเสี่ยวถางขึ้นมา ค่อยๆทายาลงบนข้อมือของเธออย่างเบามือและเงยหน้าขึ้นมองเธอ : “ ยังเจ็บอยู่ไหม ?”
หลานเสี่ยวถางก็เริ่มแสบจมูกเล็กน้อยและส่ายหัว : “ ไม่แล้ว ”
“ เสี่ยวถาง ผมขอโทษนะ ที่วันนี้ผมประมาท ” สือมูเฉิน : “ โชคดีที่มันยังไม่สายไป ”
หลานเสี่ยวถางก็เริ่มสูดจมูก : “ คุณเชื่อเรื่องที่พี่สาวของฉันพูดไหม ?”
สือมูเฉินก็เม้มปากเล็กน้อยและส่ายหัว : “ เรื่องที่พี่สาวของคุณพูด ผมไม่เคยที่จะเชื่อเลย ”
แววตาของหลานเสี่ยวถางก็แปลกใจเล็กน้อย เธอยื่นข้อมือออกไป : “ คุณจะไม่ถามฉันหน่อยหรอว่าข้อมือของฉันไปโดนอะไร ?”
สือมูเฉิน : “ ผมรู้ว่าคุณรอโอกาสที่อธิบายให้ผมฟังคนเดียว ”
หลานเสี่ยวถางก็รู้สึกโล่งไปไม่กี่นาที ในขณะที่เธอจะเล่าสถานการณ์ จากนั้นก็พูดว่า : “ โชคดีที่มีคนลงจากรถมา ช่วยฉันเอาไว้ ถ้าไม่อย่างนั้น……” พอคิดแล้วก็รู้หวาดกลัวในภายหลัง
“ เสี่ยวถาง ผมของดูนามบัตรใบนั้นหน่อยได้ไหม ?” สือมูเฉินถาม
หลานเสี่ยวถางเอานามบัตรยื่นให้ไป อันที่จริงแล้ว ตัวเธอเองก็ยังไม่ได้ดูดีๆด้วยซ้ำ
เห็นเพียงแค่ชื่อภาษาอังกฤษ แล้วก็เบอร์โทรศัพท์เท่านั้น นอกเหนือจากนั้น หน่วยงานอะไร ตำแหน่งหน้าที่หรืออีเมล์อะไรก็ไม่ได้เขียนเอาไว้เลย
หลานเสี่ยวถางหัวเราะ : “ นี่เป็นนามบัตรที่เรียบง่ายที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลย ”
“ Landsea ” สือมูเฉินอ่านชื่อภาษาอังกฤษที่บนนั้น : “ ชื่อแบบนี้ ฉันเองก็เพิ่งเคยเห็นครั้งแรก ”
“ ไม่ว่ายังไง เธอก็เป็นคนช่วยฉันเอาไว้ ฉันซาบซึ้งในบุญคุณเธอมาก ” หลานเสี่ยวถาง : “ แต่ทว่า ไม่เห็นว่าเธอมีรูปร่างหน้าตายังไง ”
“ ในเมื่อเธอเคยพูดว่าพวกเราจะมีโอกาสได้เจอกันในอีกไม่ช้า ” ในขณะที่สือมูเฉินพูด ก็จับไปไหล่ของหลานเสี่ยวถางและพูดว่า : “ เสี่ยวถาง ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เธอบอกกับฉันได้ไหม ว่าตอนที่ฉันไปเอาอาหารเดลิเวอรี่ หลานเล่อซินพูดอะไรกับเธอบ้าง ?”
หลานเสี่ยวถางก็ทำปากมุ่ย : “ คุณรู้ได้ยังไงว่าพี่พูดอะไรกับฉัน ?”
สือมูเฉินบีบไปที่แก้มของเธอ : “ ลืมไปแล้วหรอว่าก่อนหน้านั้นผมเคยพูดอะไรกับคุณ ? ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอะไร ให้จำเอาไว้ในเวลาอันสั้นแล้วมาหาฉันเพื่อพิสูจน์มัน ”
หลานเสี่ยวถางเงยหน้ามองสือมูเฉินที่มีแววตาจริงจังและเธอก็พยักหน้าและพูดเบาๆว่า : “ ตอนที่พวกคุณคุยกัน พี่อัดเสียงเอาไว้ ฉันได้ยินคำถามที่เธอถามว่าถ้าเกิดว่าตอนนั้นพี่ไม่ได้หนีไป คุณก็จะแต่งงานกับพี่ คุณก็ตอบว่าใช่ และพี่ก็ถามอีกว่า เป็นเพราะว่าพี่หนีไปใช่ไหม คุณถึงได้แต่งงานกับฉัน คุณก็ตอบว่าใช่ ”
ในขณะที่หลานเสี่ยวถางพูด ก้นก้นบึ้งหัวใจของเธอก็ยิ่งรู้สึกเสียงใจ เธอรู้สึกว่าตัวเองงอแงและไร้เหตุผลจริงๆ เห็นได้ชัดว่าความปรารถนาเดิมในการแต่งงานตอนนั้นมันต้องใช้ความรักของทั้งคู่ แต่ทว่าหลังจากที่สือมูเฉินเอาใจใส่ ด้วยสัญชาตญาณเธอก็ต้องการมันมากขึ้น
เธอหวังว่าสิ่งที่เขาทำเธอนั้นเหตุผลเป็นเพราะว่ารัก และหวังว่าชีวิตของเขาจะมีเพียงแค่เธอเท่านั้น
แท้ที่จริงแล้ว เธอก็ยังคงไม่มีเหตุผล โดยที่ไม่รู้ตัวเลย และพาตัวเองมาตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ดีแบบนี้ !
เธอเข้าใจแล้ว เป็นเพราะเธอแคร์มันมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงได้มาคิดมากอยู่แบบนี้และถึงได้บาดเจ็บง่ายแบบนี้
พอคิดแบบนี้แล้ว หลานเสี่ยวถางดวงตาก็เริ่มร้อนเล็กน้อย และการมองเห็นของเธอก็เริ่มเบลอขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ตัว
“ โธ่——” สือมูเฉินก็ถอนหายใจ แล้วก็เข้าไปใกล้ จากนั้นก็จูบไปที่ดวงตาของหลานเสี่ยวถาง
จริงๆแล้ว ริมฝีปากของเขาแตะไปบนตาของเธอ ด้านในที่เต็มไปด้วยหยดน้ำตาก็ถูกบีบออกมา
รสชาติที่เค็มๆ
เขาจูบไปที่ดวงตาของเธอ จากนั้นก็จูบต่อไปบนจมูก และค่อยๆจูบลงไปท้ายที่สุดก็หยุดอยู่ตรงริมฝีปากของเธอ
เขาจูบได้อย่างนุ่มนวล ราวกับฤดูฝน ที่ฝนตกลงบ่อน้ำ และเป็นคลื่นเล็กๆอย่างไม่ขาดสาย
คางของหลานเสี่ยวถางถูกสือมูจับเอาไว้อย่างเบาๆ เขาไม่ได้บุกรุกอาณาเขตของเธอ เพียงแค่ลูบเบาๆที่ริมฝีปากของเธอ แต่ทว่าการเต้นหัวใจของหลานเสี่ยวถางไม่สามารถควบคุมได้และเต้นเร็วขึ้น
เธอรู้สึกลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย ราวกับว่าความลับถูกเปิดเผย แต่ทว่าเมื่อเธอพยายามจะหลีกเลี่ยง มือของสือมูเฉินก็หยุดอยู่ตรงหน้าอกของเธอแล้ว
เธอถึงกับสะดุ้ง ใจเต้นแทบจะพุ่งออกจากลำคอ
สือมูเฉินคลาดออกจากริมฝีปากเธอ ขนตายาวที่ห้อยลงมามองไปที่เธอ : “ เสี่ยวถาง หัวใจของคุณเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว ”
สายตาของหลานเสี่ยวถางตื่นตระหนกตกใจเล็กน้อย และริมฝีปากของเธอก็สั่นเล็กน้อย
เลือดพุ่งขึ้นไปบนสมอง ทำให้รู้สึกเวียนหัว
เธอราวกับถูกเขาคอยสอดแนมความลับ เธอไม่ได้ตั้งใจซ่อนความลับเอาไว้ แต่ทว่ากลัวกับถูกเปิดเผยความลับ
เธอจำได้ ตอนที่เขาบอกว่าจะแต่งงาน ก็พูดกับเธอว่า เสี่ยวถาง แต่งงานกับผมนะ และขยะแขยงเขา ผมจะพาคุณแก้แค้นไปด้วยกัน ทวงคืนทุกสิ่งที่สูญเสียไปของคุณกลับมา !
แต่ก็ไม่รู้ว่าตอนไหน ถึงได้ตลาดเคลื่อนจากทิศทางเดิม ?
เธอถลำเข้าไปในความอ่อนโยนของเขา ลุ่มหลงหายไปในคืนที่หูและจอนของทั้งสองสัมผัสกัน
พอมาถึงในตอนนี้ ตอนนี้เธอได้ยินว่าเขาอาจจะใช้เวลาอยู่กับคนอื่น ในใจของเธอเสียใจคล้ายว่าจะหยุดหายใจไปในตอนนั้น ท้ายที่สุดเธอก็ไม่สามารถที่จะหลอกตัวเองไปได้อีก
ในที่สุดแล้วเธอก็เต็มไปด้วยอารมณ์ ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล เพราะฉะนั้นถึงจะรู้เหตุผลอย่างชัดเจน มันก็ยังคงควบคุมไม่ได้
แต่เธอไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้นว่าทำไมเขาถึงแต่งงานกับเธอ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้สับสน
ในขณะนี้ จากเดิมที่ไม่เคยสนใจมาก่อน อยู่ด้วยกันทุกคืนทุกวัน กลายมาเป็นสิ่งที่ยิ่งอยู่ยิ่งสำคัญขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เธอกระวนกระวายใจ ความน้อยเนื้อต่ำใจที่เธอซ่อนมันเอาไว้เมื่อเผชิญหน้ากับเขาก็เริ่มที่จะหมักหมมและใหญ่ขึ้น
เธอกลัวว่าเสียเขาไป กลัวว่าจะมีวันนั้น เขาบอกว่าความร่วมมือของพวกเขาจบลงแค่ตรงนี้ จู่ๆเขาเข้ามาพัวพันในชีวิตเธอ และจู่ๆก็จะไปหายเข้าไปในกลีบเมฆ
ความรู้สึกที่หวาดกลัวแบบนี้ ไม่เกี่ยวว่าตัวเธอเองจะเข้มแข็งหรือไม่ และไม่เกี่ยวว่าเธอจะสามารถเลี้ยงดูชีวิตของตัวเองได้อย่างอิสระหรือไม่ แต่สิ่งที่เธอกลัว และคาดไม่ถึงคือจะต้องเสียความรู้สึกของช่วงเวลาหนึ่งและเสียใครไปสักคน
ถึงอย่างไร เธอก็ยังคงเป็นเพราะว่าประสบการณ์ที่ผ่านนั้นขาดความรู้สึกที่ปลอดภัย และสัญชาตญาณก็ไม่มั่นใจ
รู้สึกได้ว่าหลานเสี่ยวถางกำลังตัวสั่น น้ำตาของเธอที่ไหลงมาเต็มไปความสุข สือมูเฉินเข้าไปใกล้และจูบไปที่หยดน้ำตา พูดด้วยเสียงที่ต่ำ : “ เสี่ยวถาง นี่คุณทำมาจากน้ำหรอ ?”
เธอที่ได้ยินเสียงที่อ่อนโยนของเขา ก็ยิ่งปวดใจ กลัวว่าทั้งหมดนี้ของเธอจะกลายเป็นแค่ความฝัน พอตื่นจากฝัน ความอ่อนโยนทั้งหมดก็ราวกับกระแสน้ำและถอยกลับอย่างฉับพลัน
สือมูเฉินยิ่งจูบ น้ำตาของหลานเสี่ยวถางก็ยิ่งไหลเยอะขึ้น ในที่สุด เขาก็หมดหนทาง ทำเพียงต้องเอื้อมมือไปกอดเธอให้อยู่ในอ้อมแขน และลูบเบาๆไปที่หลังของเธอ
แขนของเขาก็แข็งแรง หน้าอกก็กว้าง ชั่วพริบตา หลานเสี่ยวถางก็รู้สึกเหมือนเด็กที่ถูกกอดเอาไว้ทั้งตัว
เธออยู่ในอ้อมแขนของเขา ตัวเองก็ไม่รู้ว่าทำไมน้ำตาถึงได้เยอะขนาดนี้ ก็ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังแสดงกันก่อนที่จะแยกจากกัน
แท้ที่จริงแล้ว ในหนังสือบอกเอาไว้ว่า อะไรที่ทำบาดเจ็บเยอะ ก็จะทำให้มีภูมิคุ้มกัน และไม่มีสิ่งใดที่จะต้านทานได้ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ !
เป็นเพราะเจ็บปวดมามาก กลับคิดว่าสัญชาตญาณของตัวเองนั้นถูกพระเจ้าสาปแช่งไว้ให้เด็กคนนี้ ไม่ได้รับความสุขไปตลอดกาล
หลานเสี่ยวถางรู้สึกว่าตัวเองหนาวมาก เธออดไม่ได้ที่จะหดตัวเข้าไปในอ้อมแขนของสือมูเฉินแน่นกว่าเดิม และต้องการที่จะขจัดความหนาวนี้ให้หายไปโดยผ่านอ้อมกอดของเขา
“ เสี่ยวถาง ” สือมูเฉินรู้สึกว่าอารมณ์ของหลานเสี่ยวถางเริ่มที่จะโอเคขึ้นเล็กน้อย เขาถึงจึงได้เอ่ยปากพูด : “ เมื่อกี้ผมจับไปหัวใจที่เต้นของคุณผมไม่ได้ต้องการที่จะเปิด หรือไม่ใช่ว่าต้องการที่จะเย้าแหย่คุณ แต่ผมอยากจะบอกกับคุณว่า ผมรู้สึกได้ถึงการเต้นของมัน และแท้ที่จริงไม่มีทางที่จะทำร้ายมัน ”
รู้สึกได้ว่าหลานเสี่ยวถางตัวสั่นเล็กน้อย สือมูเฉินดึงเธอออกมาจากอ้อมแขน มองไปที่ดวงตาของเธอ : “ เสี่ยวถาง ชีวิตนี้ของผมจะไม่มีทางทำร้ายหัวใจของคุณ ”
ท่ามกลางแสงสีในยามราตรี ใบหน้าของสือมูเฉินที่อยู่ภายใต้แสดงไฟที่สลัว มันก็ยิ่งโดดเด่นมากขึ้นมา บนใบหน้าและเค้าโครงที่ลึกซึ้ง ราวกับภาพวาดที่ประณีตงดงาม
หลานเสี่ยวถางดูจนใจลอยไปสักพัก เธอก็พูดด้วยเสียงที่เบาว่า : “ มูเฉิน ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรที่จะเป็นแบบนี้ แต่ทว่า ฉันกลัวจริงๆ……ฉันมันใช้ไม่ได้เลยใช่ไหม ? หรือว่าฉันไม่ควรที่จะคิดมากแบบนี้ใช่ไหม ?”