ตอนที่ 107 อย่าปากว่ามือถึง
คนในหมู่บ้านฉือหลี่โกวล้วนจดจำได้ดีว่าเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนมีฝูงหมาป่ามาที่หมู่บ้านและมีชาวบ้านหลายครอบครัวต้องตายยกครัวเพราะความกระหายของหมาป่า แม้แต่เด็กและสัตว์เลี้ยงก็ยังไม่รอด ! หากบ้านของผู้ใดโชคร้ายโดนหมาป่ามาดูลาดเลา เช่นนั้นต้องตกอยู่ในหายนะแห่งการทำลายล้างแน่นอน !
ดังนั้นทั่วทั้งหมู่บ้านฉือหลี่โกวจึงมีเวรยามคอยลาดตระเวนตลอดเวลา ในหมู่บ้านไม่มีภาพเด็กออกมาวิ่งเล่นกันอีกต่อไป เพราะเด็กที่ออกมาจะโดนอุ้มเข้าบ้านทันที พวกแม่บ้านที่ขึ้นไปขุดหาของป่าบนภูเขาก็รวมตัวกันไปแล้วกลับพร้อมกัน เนื่องจากกลัวว่าไปคนเดียวจะโดนหมาป่าลากไปเป็นอาหาร
มีเพียงบ้านตระกูลหลินเท่านั้นที่ยังเข้าออกตามปกติ พี่น้องของตระกูลหลินขึ้นเขาตั้งแต่เช้าตรู่ทุกวันและพวกเขายังเข้าไปรดน้ำในแปลงนาตอนไม่มีคนอื่น พี่น้องตระกูลหลินสองคนพากันถือเคียวอันเล็กและหมวกฟางไปตัดหญ้าให้กระต่ายอย่างมีความสุข
พวกนางจะไม่มีความสุขได้หรือ ? กระต่ายสุดที่รักของเจ้าหนูน้อยออกลูกอีกแล้ว จำนวนกระต่ายในคอกมีเพิ่มขึ้นถึงสี่สิบกว่าตัว แพะตัวเมียก็ออกลูกอีกสองตัว และในทุกเช้าพี่รองก็จะบีบนมแพะมาต้มผสมกับเห่งยิ้ง1ให้น้องสี่และมารดาดื่มคนละชาม
ในบางครั้งพี่รองก็ยังทำซวงผีหน่ายหรือพุดดิ้งนมสด นมตุ๋นน้ำขิง พุดดิ้งไข่ ซาลาเปาไส้ครีม…ให้เขากิน ตัวเขาไม่เคยกินอาหารที่อร่อยเช่นนี้มาก่อนในชีวิต ! พี่รองคงไม่ได้เป็นนางฟ้าบนสวรรค์ใช่หรือไม่ เพราะไม่ว่าสิ่งใดนางก็สามารถเปลี่ยนได้หมด เปลี่ยนออกมาเป็นอาหารมากมายแถมอร่อยมากด้วย !
อ้อ แล้วยังมีอีกอย่างหนึ่ง…บัณฑิตเจียงออกจากบ้านในตอนเช้าและกลับในตอนค่ำของทุกวันเพื่อตามหาสถานที่มีทิวทัศน์อันงดงาม จากนั้นก็นั่งเพ่งตำราของตน หากไม่ถึงเวลาอาหารก็จะไม่มีผู้ใดเห็นเงาของเขาทั้งสิ้น
หลินเว่ยเว่ยจึงเข้าไปขู่เขาว่า “เจ้ายังกล้าขึ้นเขาอีกหรือ ? ไม่กลัวฝูงหมาป่าลากไปแทะเล่นหรืออย่างไร ? ”
เจียงโม่หานกวาดสายตามอง “มีหมูตุ๋นน้ำแดงอันโอชะเยี่ยงเจ้าอยู่ ฝูงหมาป่าจะหันมาสนใจร่างกายอันผอมแห้งของข้าได้อย่างไร ? ”
หลินเว่ยเว่ยโมโหจึงทำตัวราวกับเป็นกาน้ำชาเดือดทันที “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ? เจ้าว่าผู้ใดอ้วน ? เจ้าเบิกตาแล้วมองให้ดีว่าบนตัวข้ามีชั้นไขมันหรือไม่ ? ”
“ผู้ใดเถียงก็เอ่ยถึงผู้นั้น ! ” บัณฑิตหนุ่มเก่งขึ้นแล้ว เขาบังเอิญเถียงชนะได้ภายในไม่กี่ประโยคเท่านั้น
“สายตาของเจ้าคงพร่าเลือนเพราะตัวอักษรในตำรา เจ้าดูเอว ดูขาของข้า…มา มาเทียบกันว่าเอวของผู้ใดบางกว่า…ช่างเถิด เจ้าชนะแล้ว ! ทุกวันเจ้ากินอาหารเข้าไปตั้งเยอะ หรือเจ้าเอาไปป้อนให้สุนัขกินหมด ? ”
เจียงโม่หานเบี่ยงตัวออกจากมือที่เข้ามาบีบเอวของตน ดวงตาของเขาเบิกกว้างจนกลมโตพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเขินอาย “เจ้า ! ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิด มีผู้ใดเถียงแพ้แล้วปากว่ามือถึงเช่นนี้บ้าง ? จำไว้เลยว่าเจ้าเป็นสตรี ! ”
“รู้แล้ว รู้แล้วน่า ! แค่ใช้มือวัดรอบเอวเจ้านิดเดียวไม่ใช่หรือไร ? จะทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตเพื่อเหตุใด ? บัณฑิตน้อย บอกข้าหน่อยสิ เจ้ากินไปตั้งเยอะตั้งแยะแล้ว เหตุใดไม่อ้วนขึ้นบ้าง ! ” หลินเว่ยเว่ยก้าวไปด้านหน้าเพราะคิดที่จะจิ้มเอวของเขา
เจียงโม่หานจึงรีบเบี่ยงตัวหลบราวกับนางเป็นโรคระบาดน่ากลัว “ก็บอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ? อย่าปากว่ามือถึง เจ้ามีหูหรือไม่ ? ”
“บอกมาหน่อยเถิด อย่าหวงเคล็ดลับเลยน่า ! ประเดี๋ยวเย็นนี้ข้าจะทำหมูสามชั้นผัดเปรี้ยวหวานให้ดีหรือไม่ ? ไม่พอหรือ ? เช่นนั้นข้าเพิ่มเนื้อแล่ต้มให้อีกถ้วยหนึ่งเลย” บัณฑิตน้อยชอบกินเนื้อ ชอบกินของหวานแล้วชอบอาหารรสจัดด้วย
เจียงโม่หานเริ่มหวั่นไหวเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “จะมีเคล็ดลับอันใดอีก เกิดมาก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ! ข้าอยากตัวใหญ่กว่านี้เสียอีก แต่กินเท่าไรก็ไม่ตัวใหญ่ขึ้นเสียที ! ”
“เฮอะ ฝานเอ๋อร์ซ่าย2 ! ไม่มีหมูสามชั้นผัดเปรี้ยวหวาน เนื้อแล่ต้มก็บินไปแล้ว เย็นนี้กินแค่หมั่นโถวกับผักดองก็พอ ! ” หลินเว่ยเว่ยเชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งทะนง จมูกน้อย ๆ ของนางแทบจะติดกับขอบฟ้าอยู่แล้ว !
บนหลังของนางแบกกระบุงใส่บลูเบอร์รี่ป่าเอาไว้ ในมือทั้งสองข้างเต็มไปฟืนหนึ่งมัด ส่วนเท้าก็เดินลงเขาราวกับดาวตก แม้แต่บัณฑิตหนุ่มที่ถือตำราเพียงเล่มเดียวก็ยังเร่งฝีเท้าเดินตามไม่ทัน
เจียงโม่หานบ่นลับหลังนาง ไม่ใช่แพ้แค่เรื่องขนาดเอวหรือไร ? ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ !
เขาเงยหน้ามองแผ่นหลังของอีกฝ่าย รูปร่างเหมือนต้นไผ่ เอวไม่มีไขมันแม้แต่น้อย ทว่าแขนทั้งสองข้างยังมีแรง…นี่ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ ? แข็งแรงดีออก ! ยังต้องการเคล็ดลับกินไม่อ้วนไปเพื่อเหตุใด ? หรือต้องผอมจนลมพัดได้จึงจะเรียกว่าดูดี ?
แต่ทันใดนั้นเขาก็สำนึกได้ว่าสายตาไปจับจ้องอยู่บนร่างกายของอีกฝ่ายนานเกินไปจึงอดใช้ตำราเคาะศีรษะของตนไม่ได้ แม้ว่าเด็กตัวแสบจะไม่เหมือนสตรีทั่วไป แต่นางก็เป็นสตรีคนหนึ่ง ห้ามมอง ห้ามมองเด็ดขาด !
“เฮ้ ! เจ้าหนูน้อย ขยันเสียจริง ! ” หลินเว่ยเว่ยยกเท้าเตะเบา ๆ ที่ก้นของน้องสี่ซึ่งกำลังเกี่ยวหญ้าอยู่
ส่วนเจ้าหนูน้อยที่เกือบโดนพี่รองเตะจนหน้าทิ่มก็ลูบก้นที่ไม่เจ็บเท่าไรแล้วขานรับอย่างร่าเริง “พี่รอง วันนี้ท่านเก็บสิ่งใดมาหรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยวางฟืนลง จากนั้นก็หยิบบลูเบอร์รี่ 2 ลูกมายัดใส่ปากเจ้าหนูน้อย “หลานเหมยป่า ต่อไปนี้ข้าจะเรียกว่าบลูเบอร์รี่ กินบ่อย ๆ จะช่วยบำรุงสายตาและร่างกายให้แข็งแรง ช่วยเรื่องความจำด้วย ! พอกลับไปแล้วข้าจะทำแยมบลูเบอร์รี่กับเค้กแยมบลูเบอร์รี่3ให้เจ้ากิน”
เจ้าตัวน้อยทำตัวราวกับสุนัขอ้อนขออาหารทันที เขากระดิกหางอย่างรวดเร็วและเดินวนรอบพี่สาวไปมา เจียงโม่หานเบื่อหน่ายพฤติกรรมของสองพี่น้องคู่นี้เสียจริง…คนหนึ่งถือเนื้อมาแกว่งเล่น ส่วนอีกคนก็ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เนื้อมาครอง…ทว่าเจ้า ‘เนื้อ’ ก้อนนั้นก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย !
ข้อดีเด็กตัวเหม็นก็อยู่ตรงนี้ เวลาทำของอร่อยเสร็จแล้วก็จะไม่เก็บไว้กินคนเดียว แม้นางจะไม่กินก็มักเก็บไว้ให้เขา หลังจากมีความสับสนเกิดขึ้นในใจแล้ว เขาก็กลับมามั่นใจอีกครา…ว่าที่นางทำกับตนเช่นนั้นก็แค่หลงใหลในความสามารถและรูปโฉม…อย่าหลงกลนางเด็ดขาด !
ระหว่างทางกลับบ้าน เจ้าหนูน้อยตัดหญ้าจนเต็มตะกร้าและแขวนมันไว้บนบ่าของพี่รอง หลินเว่ยเว่ยคิดว่าทุกคราที่นางลงเขาก็มักจะเหมือนต้นคริสต์มาสที่มีของต่าง ๆ ห้อยเต็มตัวไปหมด
“พี่สาม ! ท่านกลับมาแล้ว!” พอเห็นร่างคุ้นตาที่หน้าประตูบ้าน เจ้าหนูน้อยก็เปลี่ยนเป็นกระสุนปืนใหญ่รีบพุ่งเข้าหาร่างอันผอมบางตรงหน้าทันที
หลินจื่อเหยียนโดนน้องสี่ชนจนเดินเซ แม้จะอยากอุ้มน้องขึ้นมาแต่เมื่อลองถึงสองคราแล้วก็ยังอุ้มไม่ขึ้นอยู่ดี เขาจึงเลือกที่จะหยิกแก้มป่อง ๆ ของเจ้าก้อนเนื้อแทน “พี่รองทำของอร่อยอันใดให้เจ้ากินถึงทำให้เจ้าตัวอ้วนได้เพียงนี้ ถ้ากินต่ออีกหน่อย ข้าคงจำเจ้าไม่ได้แล้ว ! ”
หลินจื่อเหยียนคิดจะเข้าร่วมการสอบถงเซิงในครานี้ เจียงโม่หานจึงแนะนำเขาให้แก่อาจารย์ฟ่าน หนุ่มน้อยขยันขันแข็งสามารถทนความลำบาก แม้แต่ในวันหยุดที่หายากก็เลือกที่จะร่ำเรียนอยู่ในสำนักศึกษา
อาจารย์ฟ่านพอใจกับความพากเพียรของเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้มีพื้นฐานน้อยกว่าเจียงโม่หานไปบ้างก็ถือว่ายังเป็นศิษย์ที่ปั้นได้ ท่านจึงให้อยู่ข้างกายเพื่อคอยชี้แนะ ในสำนักศึกษาต่างเล่าลือกันว่าอาจารย์ฟ่านทอดทิ้งเจียงโม่หานที่บาดเจ็บแล้วมารับหลินจื่อเหยียนเป็นศิษย์แทน
ช่วงเวลาในเดือนนี้ แม้ยังไม่ได้กลับมาเยี่ยมที่บ้านเลย ทว่าเมื่อสองสามวันที่แล้วหลินเว่ยเว่ยก็นำหมูสับไข่เค็มนึ่ง พายไข่กรอบ แป้งห่อใส่หมูป่าและยังทำพวกซอสเนื้อกับพวกหมูสามชั้นต้มไปให้เขาด้วย ทุกคราที่เจอหน้ากันนางก็จะให้เงินเขาอีกหลายร้อยอีแปะ
หนุ่มน้อยคนนี้เป็นคนใจคอกว้างขวาง นอกจากค่าอาหารในสามมื้อแล้ว เขายังชวนสหายไปทานอาหารชั้นดีด้วยกันหนึ่งมื้อ ส่วนอาหารที่พี่รองนำมาให้นั้น หลินจื่อเหยียนก็ไม่ได้ละเลย โดยเฉพาะซอสเนื้อเข้มข้นที่หอมหวนชวนรับประทาน หากนำมากินคู่กับหมั่นโถวแล้วจะอร่อยกว่าอาหารในโรงอาหารของสำนักศึกษาหลายเท่า
1 เห่งยิ้ง คือ เมล็ดสุกแห้งที่ลอกเปลือกหุ้มเมล็ดออกแล้วของเอพริคอต
2 ฝานเอ๋อร์ซ่าย ( 凡尔赛 ) หรือ แวร์ซายส์ คือคำแสลงที่กำลังฮิตในหมู่วัยรุ่นจีน ความหมายประมาณว่า ตอแหล
3 เค้กแยมบลูเบอร์รี่ ( 蓝莓山药糕 ) ทำจากกลอยบดผสมกับแยมบลูเบอร์รี่
ตอนต่อไป