บทที่ 155 เจิ้งชิงเทียน (ปลาย)

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 155 เจิ้งชิงเทียน (ปลาย)

ลู่หยวนหลุบตาแล้วครุ่นคิดสักพัก ทั่วทั้งหอคอยอสูรสวรรค์ตกอยู่ในความเงียบงัน จนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มหล่น

ผ่านไปสักพัก บุตรศักดิ์สิทธิ์เงยหน้าขึ้น สายตาจับจ้องนางมารร้ายในหอคอย ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา “อยากตายหรือ? มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ!”

เมื่อกล่าวจบ ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นพลางบอกสือจิ่วให้จับตาดูอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะออกจากหอคอยอสูรสวรรค์ไป

หลังจากผู้ถือครองไปแล้ว ประตูของหอคอยอสูรสวรรค์ยังคงปิดอย่างแน่นหนา เจิ้งชิงเทียนผู้กำลังคุกเข่าบนพื้นไม่อาจพรรณนาความรู้สึกของตนออกมาได้

สิ่งต่าง ๆ ในอดีตยังคงกัดกร่อนหัวใจ อารมณ์นับไม่ถ้วนพลันเอ่อล้นออกมา ราวกับจะกลืนกินนางเข้าไป

อีกด้าน สือจิ่วยืนขึ้น น้อมรับคำสั่งของลู่หยวน พลางจับจ้องเจิ้งชิงเทียนตาไม่กะพริบ

บุตรศักดิ์สิทธิ์กลับสู่โลกด้านนอก เขายังคงนั่งขัดสมาธิ หลังจากลืมตาขึ้นก็ลุกขึ้นมารินชาให้ตัวเอง

ชายหนุ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เช่นกัน

เดิมทีตนอยากกลืนกินเจิ้งชิงเทียนในฐานะสารอาหาร ถึงอย่างไรนางก็เป็นสุนัขที่ไม่เชื่อง

ทว่า… ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว

เขาอยากให้เจิ้งชิงเทียนมีชีวิต จนถึงขั้นอยากให้อีกฝ่ายคงตัวตนที่เคยดำรงอยู่ในวิถีคุณธรรมเอาไว้!

ในสายตาของคนอื่น ถึงแม้ประสบการณ์ของเจิ้งชิงเทียนจะน่าเห็นใจยิ่ง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร

วิถีคุณธรรมที่ถูกโลกปฏิเสธ …วิถีคุณธรรมที่ทำให้นางกลายเป็นมาร มันจะไปมีประโยชน์อะไร? อีกทั้งยังเติบโตไม่พอ จึงไม่สามารถต่อสู้ด้วยตัวเองได้

แต่ในมุมมองของลู่หยวน เจิ้งชิงเทียนคือกระบี่คมปลาบ

กระบี่คมปลาบที่สามารถเขย่าโลกทั้งใบได้!

ในแผ่นดินหยวนหง มารคือวิถีชั่วร้าย ตรงกันข้ามคือวิถีคุณธรรม!

คนที่สามารถได้รับการยอมรับให้เป็นผู้อยู่ในวิถีคุณธรรมโดยวิถีแห่งสวรรค์ คือผู้มี ‘หัวใจเที่ยงธรรม’ ที่ยังยืนหยัดอยู่ในโลกอันมืดมน

บุคคลเช่นนี้จะถูกกลุ่มคนที่อ้างว่าเป็น ‘ความยุติธรรม’ ผลักลงหุบเหวทีละก้าว

หากจัดระเบียบผู้มีคุณธรรมทั้งหมดในโลกหล้านี้ มันคงไม่ต่างจากการฉีกใบมะเดื่อที่ดึงโลกทั้งใบมารวมกัน มันยากยิ่งนัก แต่หากทำได้ ถึงตอนนั้นโลกทั้งใบจะเป็นอย่างไรบ้าง

ลู่หยวนแบกรับมาร หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเส้นชีพจรโลหิตมาร ดังนั้นจึงไม่ได้รับการยอมรับจากโลก แต่คนที่มี ‘วิถีคุณธรรม’ เช่นคนพวกนี้ก็ไม่เป็นที่ยอมรับเช่นกัน

พวกเขาไม่มีธงที่จะโบกสะบัดในโลกอีกต่อไป พวกเขาไม่มีความยุติธรรมและคุณธรรมให้ยืนหยัดอีกต่อไป

จากนั้นโลกก็ตกอยู่ในความโกลาหล

ชายหนุ่มเล่นถ้วยชาในมือ ความเยียบเย็นในแววตาค่อย ๆ ปรากฏขึ้น เขาสงสัยว่าการต่อสู้ในตอนนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร? ทำไมเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ต้องตายด้วย?

ในไม่ช้า ลู่หยวนวางถ้วยชาลง และเดินไปที่เตียง ก่อนจะผล็อยหลับไป

สิ่งเหล่านี้ เขาไม่อาจครุ่นคิดได้สักพัก คงดีกว่าที่จะทำอย่างอื่นตรงหน้าก่อน

ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาในเช้าวันที่สอง หลังจากล้างเนื้อล้างตัวแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปยังยอดเขาศิษย์ใหม่

ระหว่างทาง หลายคนมองเขาจากด้านข้างด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์

ลู่หยวนชินกับสายตาเหล่านี้นานแล้ว ระหว่างทางจึงไม่หยุดเดิน ก่อนตรงสู่ยอดเขาศิษย์ใหม่

ณ ห้องโถงใหญ่ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา มีหลายคนมาและไป ส่วนใหญ่ถือตำราและยันต์มาด้วย มีทั้งผู้ที่นำยันต์มาส่ง และผู้ที่นำมันออกไป

ยอดเขาศิษย์คอยจัดการเรื่องราวแต่ละยอดเขา มันถูกควบคุมโดยรองเจ้าสำนัก

เมื่อลู่หยวนกำลังจะก้าวเข้าไป เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นจากด้านข้าง “บุตรศักดิ์สิทธิ์หยุดก่อน!”

ชายหนุ่มหันมามอง เห็นชายร่างอ้วนในชุดผ้าทอเดินมา ถึงแม้รูปร่างจะใหญ่ แต่เขากลับดูเคลื่อนไหวคล่องแคล่วยิ่งนัก

เขารู้จักคนผู้นี้ นี่คือหนึ่งในศิษย์ที่ติดตามหลิงอวิ๋นไปหุบเขาเคลื่อนฟ้าเพื่อรับศิษย์ เป็นศิษย์ของสำนักกระบี่มีชื่อว่า อู๋เหลียง

บุตรศักดิ์สิทธิ์ส่งเสียงอืม ถามอย่างแผ่วเบาว่า “มีอะไรหรือ?”

น้ำเสียงของลู่หยวนเย็นชายิ่ง อู๋เหลียงที่กำลังเร่งเดินมาหยุดชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวต่อในจังหวะปกติ

ศิษย์สำนักกระบี่เดินขึ้นไปหาชายหนุ่ม และยกมือขึ้นคารวะ “ช่างบังเอิญจริงบุตรศักดิ์สิทธิ์ ท่านมาครั้งนี้เพราะเรื่องการแข่งขันภายในใช่หรือไม่?”

อีกฝ่ายมองกลับมาด้วยแววตาบอกอารมณ์ไม่ได้

ชายหนุ่มบอกเรื่องนี้กับหลิงอวิ๋นเท่านั้น แล้วอู๋เหลียงไปรู้มาจากไหน?

“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

ผู้ถูกถามคลี่ยิ้ม พลางเดินเข้าไปหาคุณชายลู่ด้วยท่าทางประจบสอพลอ “บุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่ทราบหรือ ตอนนี้ทั่วทั้งสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ต่างรู้ว่าท่านจะเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้!”

ลู่หยวนขมวดคิ้ว มองใบหน้ายิ้มระรื่นของอีกฝ่าย เขามั่นใจว่าชายคนนี้ต้องรู้บางอย่างเป็นแน่

“เจ้ารู้อะไรมา”

อู๋เหลียงหุบยิ้ม ก่อนสีหน้าเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด “บุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้เรื่องหรือ ข่าวนี้มาจากกลุ่มอวิ๋น!”

“กลุ่มอวิ๋นหรือ?”

ในความทรงจำของลู่หยวน เหมือนจะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มนี้

อู๋เหลียงอธิบาย “บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่อาจจะไม่ทราบ กลุ่มอวิ๋นเป็นกลุ่มที่หยางอวิ๋นตั้งขึ้นมา!”

“ตอนหยางอวิ๋นเข้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรก มีศิษย์ที่อยู่มาก่อนคนหนึ่งชอบรังแกศิษย์ใหม่ เขาตั้งกลุ่มที่มีพี่น้องจำนวนมากขึ้นเพื่อคอยรวบรวมของจากศิษย์ใหม่โดยเฉพาะ”

“แม้กระทั่งศิลามายาที่เหล่าศิษย์ใหม่เพิ่งได้รับก็ถูกนำไปขายจนเกลี้ยง!”

บุตรศักดิ์สิทธิ์รู้จักศิลามายา มันคือสกุลเงินที่ใช้ในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ เหล่าศิษย์ต้องจ่ายมันอย่างสม่ำเสมอเพื่อรับทรัพยากรประจำวัน หากมีศิลามายามากพอก็ย่อมสามารถเข้าสู่สถานที่ต่าง ๆ ของสำนักเพื่อทำการศึกษา แลกเปลี่ยนอาวุธ รวมถึงโอสถได้

การได้มาของศิลามายานั้น นอกจากการแจกจ่ายโดยตรงให้กับศิษย์ใหม่แล้ว การทำภารกิจด้วยตนเองก็สามารถได้รับมันเช่นกัน สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เต็มไปด้วยอัจฉริยะ มีผู้คนที่มีรากฐานการบ่มเพาะแข็งแกร่งมากมายนับไม่ถ้วน หากไม่ต้องการถูกปล้นชิงก็ต้องแข็งแกร่งให้มากพอ!

แล้วศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ จะเป็นคู่ต่อสู้ของศิษย์ที่อยู่มาก่อนได้อย่างไรเล่า?!

เด็กส่วนใหญ่ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ได้ไม่กี่เดือนต่างก็ถูกปล้นชิงด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่ศิลามายาทรัพยากรที่เป็นหลักประกันสุดท้ายก็ยังไม่เว้น!

อู๋เหลียงกล่าวต่อ “ศิษย์ใหม่ไม่พอใจเป็นอย่างมาก แม้พวกเขาแต่ละคนอยากจะลุกขึ้นต่อต้านศิษย์ที่อยู่มาก่อนเท่าไรก็ไม่มีใครอยากเป็นผู้นำ”

“หยางอวิ๋นเป็นคนแรกที่รับอาสา เขารวบรวมศิษย์ใหม่อย่างรวดเร็ว เพื่อก่อตั้งกลุ่มอวิ๋น ก่อนจะกีดกันศิษย์พี่ที่กดดันศิษย์ใหม่และลงนามในยันต์ชี้เป็นชี้ตาย”

“การต่อสู้นั้นอันตรายมาก แต่หยางอวิ๋นก็ชนะมาได้ ชื่อของเขาโด่งดังไปทั่วสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ กลุ่มอวิ๋นโดดเด่นขึ้นท่ามกลางกลุ่มจำนวนมากในสำนัก กลายเป็นกองกำลังที่ไปได้สวยอีกกลุ่มหนึ่ง!”

ลู่หยวนพยักหน้า นึกถึงสิ่งที่อู๋เหลียงกล่าวเมื่อครู่

ข่าวนี้มาจากกลุ่มอวิ๋น แสดงว่าเจ้าบุตรแห่งโชคชะตาโง่เง่าผู้นั้นเป็นคนจงใจปล่อยข่าว อาจจะเป็นตอนที่เขาสนทนากับหลิงอวิ๋นแล้วอีกฝ่ายมาได้ยินเข้า

แต่นั่นไม่สำคัญ ทั่วทั้งสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์รู้แล้วจะทำไม? ถึงอย่างไรทุกคนก็ต้องรู้ตอนที่เขาเข้าร่วมการแข่งขันภายในอยู่ดี

เมื่อเห็นลู่หยวนมีท่าทีเฉยชา ชายอวบอ้วนจึงวิตก “บุตรศักดิ์สิทธิ์ ท่านยังไม่รู้ถึงความจริงจังของสถานการณ์นี้สินะ!”

อู๋เหลียงสอดส่ายสายตาไปรอบข้าง เมื่อเห็นว่าไม่มีศิษย์คนไหนให้ความสนใจจึงลดเสียงลงแล้วกล่าว “เรื่องนี้ไปถึงหูคนจำนวนมากในทำเนียบสวรรค์ของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์แล้ว!”

ศิษย์ของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ให้ความเคารพเรื่องความแข็งแกร่งมาโดยตลอด จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะจัดลำดับรายชื่อสูงต่ำ