ตอนที่ 147 เร่เข้ามานักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์
วันต่อมา ฉินโจว
วิทยาลัยศิลปะฉินโจวเปิดเทอมเร็วกว่าที่ฉีโจวหนึ่งวัน หน้าประตูวิทยาลัยมีรถจอดอยู่ไม่น้อย โดยมากแล้วเป็นรถที่มาส่งนักศึกษาใหม่ และบนรถสีแดงหนึ่งในนั้น ก็มีเด็กผู้หญิงสองคนลงมา
“ถึงแล้ว”
ผู้หญิงทางฝั่งซ้ายคือหลินเซวียน เธอเปิดกระโปรงหลังรถ ยกสัมภาระของหลินเหยาน้องสาวลงมา “เธอแน่ใจใช่มั้ยว่าจะอยู่หอ วิทยาลัยอยู่ใกล้กับบ้านเรามาก พี่ดูแลเธอก็สะดวกนะ”
“ปีหนึ่งมีการศึกษาด้วยตัวเองตอนเย็น”
หลินเหยาบอก “อยู่หอก็สะดวกดี”
หลินเซวียนกล่าวกลั้วหัวเราะ “คนอื่นพยายามจะออกไปอยู่ข้างนอก หนีการศึกษาด้วยตัวเองของปีหนึ่ง เธอกลับยืนกรานจะอยู่ที่นี่ นี่ก็อยู่มหา’ลัยแล้ว หลังจากนี้ไม่ต้องกดดันตัวเองขนาดนั้นแล้วนะ”
“หนูชอบเรียนหนังสือ”
หลินเหยาช่วยพี่สาวยกกระเป๋า
หลินเซวียนยิ้มเอ่ย “คำพูดนี้ถ้าออกมาจากปากคนอื่นพี่คงไม่เชื่อ แต่ถ้าเธอพูดก็น่าเชื่อถือมาก งั้นปีหนึ่งอยู่ที่วิทยาลัยก่อนแล้วกัน รอปีสองพวกเราค่อยออกไปอยู่ด้วยกัน ตอนนั้นพี่ชายเธอก็น่าจะกลับมาแล้ว”
หลินเหยาตอบ “ได้ค่ะ”
หลินเซวียนเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้พี่เธอยังบอกว่าจะดูแลเธอ แต่ตอนนี้กลับหายไปไม่เห็นแม้แต่เงา น่าจะทำได้แค่ดูแลออนไลน์ แต่การเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนเป็นโอกาสที่หาได้ยาก ตอนเธออยู่ปีสามก็ลองดูได้”
หลินเหยาพูด “อ้อ”
หลินเซวียนหัวเราะอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าคุ้นเคยกับบุคลิกของหลินเหยาแล้ว ในครอบครัวมีลูกสามคน หลินเยวียนกับหลินเหยามีนิสัยใกล้เคียงกันที่สุด ทั้งสองคนไม่ว่าจะเป็นปฏิกิริยาท่าทางหรือทัศนคติต่อหลายๆ อย่าง หรือแม้แต่รสนิยมก็คล้ายคลึงกันมาก
สองพี่น้องลากกระเป๋าเดินทางไป
เมื่อถึงหน้าประตูวิทยาลัย จะมีผู้ประสานงานจากสมาคมนักศึกษาวิทยาลัยศิลปะฉินโจวรออยู่ นักศึกษาทุกคนที่เข้ามาอยู่ในวิทยาลัยจะต้องลงทะเบียนก่อน และเมื่อหลินเหยาบอกชื่อของตน รุ่นพี่ผู้รับผิดชอบการลงทะเบียนก็เงยหน้าขึ้นมาทันที
“เธอชื่อหลินเหยา?”
หลินเหยาตอบ “ค่ะ”
รุ่นพี่ที่รับผิดชอบการลงทะเบียนอ่านข้อมูลของหลินเหยาโดยละเอียดถี่ถ้วน ก่อนเอ่ยขึ้นราวกับกำลังยืนยันตัวตน “หลินเหยาคณะวิจิตรศิลป์เซคหนึ่ง ปีนี้อายุสิบแปด มาจากเมืองอวิ๋น ฉันพูดถูกใช่มั้ย…”
“มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่าคะ”
หลินเซวียนมองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ
รุ่นพี่คนนี้พยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม หลังจากนั้นจู่ๆ ก็หันไป จะโกนเรียกกลุ่มคนซึ่งอยู่ไกลออกไป “รุ่นพี่จง คนที่พวกพี่หามาแล้วนะ คนนี้คือหลินเหยา!”
หลินเซวียนกับน้องสาวชะงักไป
ทันใดนั้นไกลออกไปก็มีคนกรูกันเข้ามา หัวหน้าที่นำมาชื่อว่าจงอวี๋ วิ่งเข้ามาหาหลินเหยาแต่ไกล พร้อมเอ่ยด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม “เธอคือหลินเหยา น้องสาวของหลินเยวียนใช่มั้ย เขาให้พวกเราดูแลเธอให้ดี เดี๋ยวพวกเราถือกระเป๋าให้!”
หลินเซวียน “…”
ยังไม่ทันรอให้ตั้งสติ คนกลุ่มนี้ก็แบ่งกันถือของเสร็จสรรพ จากนั้นจงอวี๋ก็ยิ้มเอ่ย “เดี๋ยวผมพาไปที่หอวิทยาลัยให้ นักศึกษาที่พักหอในใช้พวกเครื่องนอนที่เหมือนกัน อีกเดี๋ยวฉันจะให้รุ่นพี่ผู้หญิงคนนั้นพาเธอไปรับ”
“รุ่นน้องหลินเหยา”
ทุกคนในคณะวิจิตรศิลป์ต่างก็รีบเอ่ยทักทาย
หลินเซวียนรู้สึกได้ถึงเพียงความสับสนในใจ
รอยยิ้มของจงอวี๋ยังคงประดับบนใบหน้า นำทางไปพลางอธิบายให้หลินเหยาฟัง “วิทยาลัยศิลปะฉินโจวของเราสวยมากเลยนะ ฝั่งตะวันออกเป็นป่าเล็กๆ ผืนหนึ่ง ฝั่งตะวันตกเป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ทิศเหนือเป็นทะเลสาบคนขุด พวกเราส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ปีสี่ ถ้าเธอได้แบ่งเซคแล้วอย่าลืมบอกฉันนะ ที่ปรึกษาของปีหนึ่งฉันรู้จักทุกคน จะได้ไปบอกให้ ถ้าในชีวิตประจำวันต้องการหรือเดือดร้อนอะไรก็บอกฉันได้เลย รุ่นพี่อย่างพวกเราอยู่ในวิทยาลัยก็พอจะพึ่งพาได้อยู่นะ”
หลินเซวียน “…”
เธอสัมผัสได้ถึงการดูแลเอาใจใส่ที่หลินเยวียนมีต่อหลินเหยา เพียงแต่ภาพเหตุการณ์นี้เป็นเดจาวูที่ยังแจ่มชัด เธอขบคิดอยู่นานกว่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง นักศึกษากลุ่มนี้กระตือรือร้นกับน้องสาวของเธอมาก เหมือนกับท่าทีที่หัวหน้าบรรณาธิการกับบรรณาธิการบริหารมีต่อเธอตอนที่ตนเพิ่งเข้าไปในคลังหนังสือซิลเวอร์บลูไม่มีผิดเพี้ยน
เดี๋ยวก่อน แปลกๆ อยู่นะ
สองเรื่องนี้ เกี่ยวข้องกันหรือเปล่า
สีหน้าของหลินเซวียนแลดูคลางแคลงใจ แต่ก็ยังนึกไม่ออกสักทีว่าจุดสำคัญอยู่ตรงไหนกันแน่ ส่วนหลินเหยายังคงเยือกเย็น ต่างกับปฏิกิริยาตอบสนองของหลินเซวียนต่อสถานการณ์เดียวกันโดยสิ้นเชิง ประหนึ่งว่าเรื่องทั้งหมดอยู่ในความคาดหมาย
นักศึกษาจำนวนมากอยู่ไกลออกไป
เมื่อเห็นรุ่นพี่ชายหญิงต่างห้อมล้อมคอยช่วยเหลือรุ่นน้องนักศึกษาปีหนึ่ง ก็ล้วนมีสีหน้าฉงนใจ คงไม่ใช่เพราะทุกคนหลงเสน่ห์ใบหน้าสะสวยของน้องผู้หญิงคนนี้หรอกล่ะมั้ง ผู้หญิงคณะวิจิตรศิลป์มีแต่คนหน้าตาดี คนที่สวยพริ้งเพราใกล้เคียงกับหลินเหยาก็มีไม่น้อย ไม่เห็นจะมีใครได้รับการดูแลเป็นพิเศษระดับนี้เลย มิหนำซ้ำในบรรดานักศึกษากลุ่มนี้ยังมีรุ่นพี่ผู้หญิงอยู่ตั้งหลายคน
“…”
หลินเซวียนโทรหาหลินเยวียน
เนื่องจากความต่างของเขตเวลา ในตอนนั้นหลินเยวียนเพิ่งตื่นนอนได้ไม่นาน หลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จากพี่สาวก็อธิบายว่า “จงอวี๋ผมรู้จัก ก่อนหน้านี้ฝากให้เขาดูแลน้องให้ดี ไม่ได้เป็นคนไม่ดีอะไร พี่วางใจเถอะ”
“เข้าใจแล้ว”
ในที่สุดหลินเซวียนก็เบาใจลง
ในตอนนั้นจงอวี๋ก็ยังคงพูดคุยกับหลินเหยา กระตือรือร้นเสียจนแลดูราวกับมีเจตนาอื่นแอบแฝง “เดี๋ยวรุ่นน้องเอาของไปเก็บในหอแล้ว มาดูชมรมจิตรกรรมของพวกเราได้นะ ท่านเทพอยู่ที่ชมรมจิตรกรรมของพวกเรา เขาเป็นถึงบุคคลที่มีชื่อเสียง นักศึกษาครึ่งชมรมก็เรียนกับเขาทั้งนั้น”
หลินเหยาถาม “ท่านเทพ?”
“ก็พี่ชายของเธอไง”
หลินเหยาพยักหน้าราวกับกำลังใช้ความคิด
จงอวี๋กับผู้คนโดยรอบสบตากัน ลอบยิ้มอยู่ในใจ บุคลิกท่าทางแบบนี้เหมือนเคาะออกมาจากท่านเทพ ตอนนี้ท่านเทพไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ฉีโจว เห็นลักษณะนิสัยของน้องสาวและพี่ชายเหมือนกันแบบนี้ ก็ทำให้รู้สึกคุ้นเคยสนิทสนมขึ้นอีกหลายส่วน
อะไรฟระเนี่ย
มีเพียงหลินเซวียนที่เก็บอาการไม่ได้ เธอได้ยินคนเหล่านี้พูดคุยกัน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตนมองหลินเยวียนไม่ออกแล้ว เจ้าน้องชายคนนี้มีเรื่องที่ปิดบังไม่ยอมบอกเธอ ทำไมถึงรู้สึกว่าเขาแค่พูดคำเดียว ทั้งคณะวิจิตรศิลป์ก็แทบจะยาตราทัพมาเป็นองครักษ์ให้น้องสาวกันหมด
เขาไม่ได้อยู่สาขาการประพันธ์เพลงหรอกเหรอ
ในตอนนี้สมองของหลินเซวียนเกิดภาพหลินเยวียนแสยะยิ้ม แต่หลินเยวียนก็ไม่มีทางแสยะยิ้มแบบนั้นแน่
และที่ตึกเรียนของคณะวิจิตรศิลป์
ในห้องทำงานคณบดี ข่งอันมองผู้ช่วยด้วยความประหลาดใจ “คุณบอกว่าวันนี้น้องสาวของหลินเยวียนมาเข้าเรียนที่วิทยาลัยศิลปะฉินโจวของเรา แถมยังเข้าคณะวิจิตรศิลป์ด้วย?”
ผู้ช่วยพยักหน้า “ใช่ครับ”
ข่งอันเอ่ย “ชื่ออะไร”
ผู้ช่วยตอบ “ชื่อหลินเหยาครับ”
ข่งอันเดินกลับไปกลับมา ทันใดนั้นรอยยิ้มก็ผุดพรายบนใบหน้า “ถึงแม้จะดึงตัวหลินเยวียนมาที่คณะวิจิตรศิลป์ไม่ได้ แต่น้องสาวของเขามาที่นี่แล้ว หลังจากนี้เขาจะไม่ใส่ใจคณะวิจิตรศิลป์อีกก็คงไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ คุณว่างั้นไหม”
ผู้ช่วย “…”
ข่งอันกล่าวว่า “เซคที่มาตรฐานสูงสุดในปีหนึ่งคือเซคหนึ่ง คุณไปจัดการหน่อย ให้หลินเหยาไปอยู่เซคหนึ่งแล้วกัน บอกกับที่ปรึกษาเซคนั้นด้วย ช่างเถอะเดี๋ยวผมไปคุยกับที่ปรึกษาเองว่านักศึกษาคนนี้สำคัญมาก”
ผู้ช่วยพยักหน้า
ข่งอันกล่าวกลั้วหัวเราะ “ถ้าหลินเหยามีพรสวรรค์ได้สักครึ่งของพี่ชาย หลังจากนี้ผมจะสอนด้วยตัวเอง คุณเองก็ว่าน่าสนใจใช่ไหมล่ะ พี่ชายหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมมาคณะวิจิตรศิลป์ ส่วนน้องสาวยื่นเข้ามาที่นี่เลย เห็นได้ชัดว่าหลินเยวียนมีชะตากับคณะวิจิตรศิลป์ของเราไม่จบสิ้น”
ผู้ช่วย “…”
ความฝังใจนี่มันน่ากลัวจริงๆ เลย
………………………………………………………….