ตอนที่ 267 พวกเรากินแมลงศัตรูพืช ตอนที่ 268 เป็นแม่สื่อ

ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล

ตอนที่ 267 พวกเรากินแมลงศัตรูพืช

ภูตโสมยังหวาดกลัวเล็กน้อยในใจ มันนึกว่าเรื่องที่ตัวเองเป็นพืชที่เกิดจิตวิญญาณพร้อมสติปัญญาจะถูกจับได้สียแล้ว! ยามที่ถูกคนชั่วช้าพาตัวไป ได้แต่คิดว่าอีกไม่นานจะถูกตุ๋นแล้วหรือไม่!

ดีที่คนชั่วเหล่านั้นคิดเพียงแค่จะขายเขา!

เป็นมนุษย์นี่ช่างน่าเวทนาจริงๆ หากเขาเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจไม่ได้กลับมาแล้วก็ได้!

“ท่านแม่ ข้าจำได้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน เรากลับไปเอาเรื่องดีหรือไม่! ข้าจะฉวยจังหวะยามที่พวกเขานอนหลับอยู่ขุดหลุมขนาดใหญ่ แล้วจับพวกเขาฝังทั้งเป็นเสียเลย!” ภูตโสมครุ่นคิด ก่อนจะขบคิดการโจมตีวิธีหนึ่งขึ้นมาได้

จะให้ใช้รากฝอยต่อกรคนเหมือนผีผู้หญิงใช้เรือนผมยาวๆ ทำร้ายผู้คนดูจะยากเกินไป มันบำเพ็ญเพียรมาตั้งนานขนาดนี้แล้วก็ไม่ยาวขึ้นสักเท่าไร การขุดดินดูจะสะดวกกว่า

“ภูตหรือปีศาจอย่างพวกเจ้า หากฆ่าคนต้องรับผลแห่งกรรมไปด้วยกระมัง?” ซ่งอิงกล่าว

ลงโทษ?

คนชั่วที่ขโมยเด็ก แน่นอนว่าไม่อาจปล่อยให้ลอยนวลได้!

แต่จะทำลายเส้นทางในอนาคตของภูตโสมไม่ได้!

“ท่านอาจารย์พูดถูกแล้ว พวกเราภูตหรือปีศาจลำบากยากเย็นแสนเข็นกว่าจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ หากไม่ทำเวรกรรม หลังเปลี่ยนรูปลักษณ์แล้วทำเรื่องดีๆ หรือไม่บำเพ็ญเพียรไปอีกหลายๆ ปีหน่อย ก็มีความเป็นไปได้บ้างว่าจะกลายเป็นเซียน แต่หากเอาชีวิตคน…ภายภาคหน้าต่อให้มีหวังเป็นเซียน แต่ก็อาจต้องตายเพราะสายฟ้าฟาดก็ได้เช่นกัน” กบเขียวเอ่ยปาก

“ถูกสายฟ้าฟาด? น่าเวทนาขนาดนั้นเชียว? แม้อีกฝ่ายเป็นคนชั่วก็ฆ่าไม่ได้เช่นกันหรือ” ซ่งอิงขมวดคิ้วนิ่วหน้า

“ดีหรือชั่วพวกเราไม่ใช่คนตัดสิน อีกทั้งมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณและสติปัญญา ได้รับความเมตตาจากสวรรค์มาแต่ไหนแต่ไร และเด็กทุกคนที่เกิดมาส่วนมากต่างก็มีปัญญาเฉียบแหลมในการต่อสู้กับจุดหมายปลายทางที่ไม่อาจไปถึง…”

“ทว่าหากเป็นการฆ่าด้วยความเข้าใจผิด มีใจสำนึกผิดอย่างยิ่ง ก็สามารถลบล้างบาปกรรมได้เช่นกัน อีกทั้งเรื่องที่ว่ากลายเป็นเซียนแล้วจะเป็นอมตะก็คือคำลวง ดังนั้นตามจริงแล้วภูตหรือปีศาจส่วนมากจึงไม่ลังเลที่จะฆ่าคน อย่างเช่นปลาดุกแก่ที่หมู่บ้านสือโถว แรกเริ่มอาจยังพอคงความนึกคิดดีงามไว้ได้ แต่เวลานานวันเข้ากลับคิดว่าการกินคนไม่ใช่ปัญหาอะไร” กบเขียวกล่าวขึ้นอีกครั้ง

คนกับปีศาจ ต่างฝ่ายต่างมีข้อดี

คนอายุเพียงร้อยปี ปีศาจมีอายุถึงพันปี แม้ปีศาจที่ไร้รูปลักษณ์มนุษย์จะถูกผู้คนข่มเหง แต่กลับเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ อย่างเช่นน้องโสม มุดดินวิ่งได้อย่างรวดเร็ว อย่างเขาก็กระโดดได้สูงลิ่ว…

“พวกเจ้าบำเพ็ญเพียรกันไม่ง่าย พยายามไม่ละเมิดกฎระเบียบจะดีกว่า” ซ่งอิงกล่าวยืนกราน

ก่อนหน้านี้ตอนที่เผชิญหน้าปีศาจปลาดุกตัวนั้น นางเกิดหวั่นกลัวในใจเล็กน้อย แสงสีแดงอันร้อนแรงที่ใจกลางฝ่ามือก็ไม่ปรานีเช่นกัน ดังนั้นต้องให้ปฏิบัติตัวเป็นปีศาจที่สะอาดบริสุทธิ์เข้าไว้

อย่าว่าแต่เป็นปีศาจเลย ต่อให้เป็นคนก็ไม่สามารถลงมือสังหารผู้คนตามอำเภอใจได้เช่นกันนี่

แต่ละโลกย่อมมีระบบระเบียบของตัวเอง…

“พวกเจ้าทั้งสองไปคอยอยู่บนภูเขาสักระยะ ยามที่จำเป็นต้องกลับมา ข้าจะส่งข่าวไปให้เอง…” ซ่งอิงขบคิดแล้วกล่าว

จะต้องจับหัวขโมยลักพาตัวเด็กให้ได้

หากคนอื่นรู้ว่าฮั่วหลินกลับมาแล้ว การลงมือตามจับหัวขโมยอาจไม่เข้มงวดขนาดนั้นแล้วก็เป็นได้ ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ

อีกทั้ง นางไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้น

ขโมยลักพาตัวเด็กจะถ่อมาถึงหมู่บ้านและถึงขั้นมาหาถึงบ้านนางได้อย่างไร ฐานะของฮั่วหลิน แม้คนในหมู่บ้านรับรู้กันถ้วนหน้า แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาไปพูดถึงหูคนภายนอก ไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด

ไม่แน่ว่ามีคนจงใจก่อปัญหา!

“เช่นนั้นข้ากับน้องโสมจะอยู่ในนาข้าวสักระยะแล้วกัน ตอนนี้ในนาข้าวต้นกล้าสูงขึ้นพอตัวแล้ว ช่วยบดบังได้มิดชิด” ปีศาจกบเขียวกล่าว

“ตกลง” ซ่งอิงพยักหน้าและถือโอกาสนี้ถามไถ่ “ระยะนี้นาขาวเป็นอย่างไรบ้าง”

“นาข้าวของท่านอาจารย์มีแมลงมากมาย แต่ถูกข้ากินไปเกือบหมดแล้ว นอกจากนี้ข้ายังเรียกลูกหลานรุ่นหลังจำนวนมากมาร่วมด้วย อาศัยช่วงเวลากลางคืนไปกินอาหารในนาของคนในหมู่บ้านด้วย ผลการเก็บเกี่ยวนาข้าวของหมู่บ้านปีนี้จะต้องดีกว่าปีก่อนๆ มากเป็นแน่ขอรับ” ปีศาจกบกล่าว

ซ่งอิงยิ้มเล็กน้อย “ลำบากเจ้าแล้ว”

เพียงแต่จะอาศัยการจับแมลงศัตรูพืชจากกบเขียวอย่างเดียวไม่ได้น่ะสิ

ตอนที่ 268 เป็นแม่สื่อ

เมื่อต้นปีนี้ได้ผลผลิตธัญพืชต่ำที่สุด สาเหตุไม่ใช่เพียงแค่ไม่มียากำจัดแมลง แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย

ที่ส่งผลกระทบมากสุดคือสิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้น้ำซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการ นอกจากนั้นคือคุณภาพเมล็ดพันธุ์ ตามมาด้วยวัตถุดิบอย่างปุ๋ยรวมไปถึงอุปกรณ์ทำการเกษตร เมื่อก่อนนางไม่ได้เรียนสาขาการเกษตรจึงไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง แต่นางก็ไม่ใช่คนไม่รู้จักขวนขวายหาความรู้ ฉะนั้นไว้รอชีวิตนางสุขสบายขึ้นมาหน่อย ค่อยคิดค้นวิจัยว่าจะยกระดับคุณภาพผลผลิตนาข้าวได้อย่างไรก็ย่อมได้เช่นกัน

สถานการณ์ในตอนนี้ นางจำเป็นต้องหาเงินก่อน ทำชีวิตแต่ละวันของตัวเองให้ดำเนินไปได้อย่างมั่นคงแล้วค่อยคำนึงถึงสิ่งอื่น

ในคืนเดียวกันนั้น ปีศาจกบเขียวและฮั่วหลินไปซ่อนตัวอยู่ในนาข้าวของครอบครัวนาง

ทว่าตลอดค่ำคืนนั้น ไม่ได้เงียบสงบแต่อย่างใด

เบื้องบนถ่ายทอดคำสั่งลงมาแล้วว่าต้องทุ่มเทสุดกำลัง จับหัวขโมยลักพาตัวเด็กในเขตเมืองยงให้จงได้ ดังนั้นเจ้าหน้าที่มือปราบของที่ว่าการอำเภอหลายแห่งจึงยุ่งเป็นพิเศษ

ทางอำเภอหลี่นี้ตึงเครียดที่สุด เพราะมีฮั่วซื่อเซี่ยงคอยจับตาดูด้วยตนเอง

นายอำเภอไม่กล้าหลับนอนตลอดทั้งคืน แม้ฮั่วซื่อเซี่ยงเป็นแค่ทหารองครักษ์ แต่ตำแหน่งงานสูงยิ่งกว่าเขานัก อยู่ต่อหน้าท่านผู้นี้ เขาจึงต้องนอบน้อมถ่อมตนเรียกขานว่าฮั่วต้าเหริน ยิ่งไปกว่านั้น ภูมิหลังของทหารองครักษ์ฮั่วท่านนี้ยิ่งไม่ธรรมดาเข้าไปใหญ่

นายอำเภอปาดเหงื่อ

“ไม่เลว ไม่กี่ปีมานี้เขตอำเภอของท่านมีเด็กหายตัวไปไม่ถือว่ามาก ทั้งยังตามกลับมาได้อีกจำนวนไม่น้อย เห็นได้ว่าท่านเป็นคนเอาการเอางานจริงจัง ไว้ข้ากลับไปจะเชยชมท่านกับใต้เท้าด้วยตนเองสักครั้ง” ฮั่วซื่อเซี่ยงมองเอกสารรวบรวมคดีความแล้วพยักหน้าเล็กน้อย

แต่นั่นก็เป็นเพราะเจ้านายเขาเก่งกาจ กำกับควบคุมพื้นที่ที่ฮ่องเต้พระราชทานแก่ตระกูลได้อย่างเคร่งครัด ส่งผลให้ผู้กระทำผิดลดลงไปหลายเท่าตัว

นายอำเภอปาดเหงื่อต่อ “เซี่ยกวน[1]ยังทำได้ไม่ดีพอหรอกขอรับ…”

“ท่านมีความอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้ถือเป็นเรื่องดี ไว้กลับไปข้าจะโยกย้ายกำลังคนมาให้ท่านจำนวนหนึ่ง จัดการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่มือปราบอำเภอนี้ให้ดีสักหน่อย รับประกันได้ว่าจากนี้ท่านจะทรงพลังดุจพยัคฆ์” ฮั่วซื่อเซี่ยงดูสุขุมหนักแน่นไม่น้อย

อยู่ภายนอกทั้งที อย่างไรก็ไม่ดีนักหากจะทำตัวเอิกเกริกทำให้นายท่านต้องเสียหน้า

นายอำเภอส่งเสียงหัวเราะแห้ง

มองดูตะวันโผล่พ้นภูเขาไม่ทันไรก็ล่วงเลยเข้าสู่เวลาอาทิตย์อัสดง

ยังคงไร้วี่แววใดๆ

เขาร้อนใจแทบแย่แล้ว

คนที่หายตัวไปเกรงว่าคงสำคัญไม่น้อย มิเช่นนั้นใต้เท้าฮั่วทหารองครักษ์คงไม่อยู่ด้วยตลอดไม่ยอมไปไหนเช่นนี้ คนหายตัวไปเป็นเรื่องใหญ่ เด็กที่หายตัวไปในปีที่ผ่านๆ มา บ้างก็ถูกส่งไปเรียนกายกรรม บางส่วนถึงขั้นถูกตัดมือตัดเท้าขาดด้วนให้เป็นขอทานก็มี!

นานขนาดนี้ ไม่ใช่ว่ากลายเป็นศพเนื้อตัวเย็นเฉียบแล้วกระมัง

รอคอยกันอีกหนึ่งวัน

ในหมู่บ้านบรรดาชาวบ้านล้วนอดถอดทอนใจไม่ได้ คิดว่าความหวังเลือนรางแล้ว บางคนค่อนข้างรู้ประสีประสาหน่อยจึงไม่กล้ามารบกวนใจซ่งอิง ไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ ส่วนบางคนที่จิตใจดีหน่อย คิดว่าต้องปลอบประโลมซ่งอิงให้เผื่อใจไว้บ้างก็เอาของกินมาให้และเอ่ยพูดสองสามประโยค แน่นอนว่าเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีพวกปากเปราะ…

อย่างเช่นหลิวซื่อมารดาของหลี่จิ้นเป่า อยากให้ชีวิตของซ่งอิงในแต่ละวันย่ำแย่ใจแทบขาด ดังนั้นจึงเกาะกลุ่มพูดคุยกับคนปากมากประเภทเดียวกัน

คนตระกูลซ่งส่วนใหญ่ค่อนข้างหดหู่เศร้าสร้อย

ในยามนี้เอง หน้าประตูบ้านซ่งอิงกลับมีหญิงแก่คนหนึ่งมาเยือน

หญิงแก่ผู้นั้น…

แม้ไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนาม แต่ซ่งอิงมองดูอีกฝ่ายสวมชุดมงคล กำลังโบกสะบัดผ้าเช็ดหน้าอยู่ พลันเกิดคำหนึ่งแวบขึ้นมาในหัวสมอง แม่สื่อ!

“แม่นางเอ้อร์ยา ข้า…ขอพูดคุยดื่มน้ำชาด้วยหน่อย” แม่สื่อผู้นั้นเอ่ยปากแล้วคลี่ยิ้ม “แม่นางอย่าได้คิดสั้นเชียว ไม่แน่ว่าเด็กก็ถูกพ่อแม่รับตัวไปแล้ว แม่นางเพิ่งเลี้ยงดูเขาไม่กี่เดือนเอง โชคดีที่ยังไม่มีความรู้สึกลึกซึ้ง หากแม่นางคิดจะมีลูกสักคนจริงๆ ข้าว่าให้กำเนิดเองจะดีกว่า ใครก็แย่งไปไม่ได้ทั้งนั้น!”

“…” ซ่งอิงเพิ่งเปิดประตูมาเจอคนผู้นี้ ในใจก็เกิดความรำคาญเล็กน้อย

“เรื่องดื่มชาไม่ดีกว่า นี่ท่านคงไม่ได้มาเป็นแม่สื่อกระมัง” ซ่งอิงแสยะยิ้มแล้วเอ่ยถาม

——————————

[1] เซี่ยกวน (下官) คำเรียกแทนตัวเองในยุคสมัยโบราณ เมื่อผู้พูดเป็นขุนนางที่มีขั้นยศต่ำกว่าผู้ที่สนทนาด้วย