ตอนที่ 171 ย้ายไปอยู่ในชุมชนบ้านพักทหาร
ตอนที่ 171 ย้ายไปอยู่ในชุมชนบ้านพักทหาร
ผู้เฒ่าเฉินชื่นชมและขอบคุณหลินเซี่ยอย่างจริงใจ หลินเซี่ยจึงพูดอย่างถ่อมตัวว่า “คุณปู่ ขอบคุณที่กรุณายกย่องค่ะ”
เมื่อพูดถึงโจวเจี้ยนกั๋ว ผู้เฒ่าเฉินก็คิดอะไรบางอย่างออก จึงถามด้วยรอยยิ้มว่า “จริงสิ ตอนที่แม่เธอคุยโทรศัพท์กับน้า น้ายังพูดทางโทรศัพท์ด้วยว่าเซี่ยเซี่ยออกแบบเครื่องจักรสำหรับทำการเกษตรประเภทหนึ่งให้กับโรงงานของพวกเขางั้นเหรอ?”
เมื่อคืนโจวเจี้ยนกั๋วคุยโทรศัพท์เสียงดังมาก ทำให้สมาชิกทั้งครอบครัวได้ยินคำพูดของเขาอย่างชัดเจน
โจวเจี้ยนกั๋วค่อนข้างพึงพอใจกับหลานสะใภ้อย่างหลินเซี่ยคนนี้มาก คำพูดถึงแปดในสิบประโยคล้วนเต็มไปด้วยความชื่นชมที่มีต่อหลินเซี่ย ทั้งยังเตือนโจวลี่หรงด้วยว่าอย่าเอาแต่ดื้อรั้นเสมอไป ให้ทำดีกับหลินเซี่ยมาก ๆ
เฉินเจียเหอเหลือบมองหลินเซี่ยอย่างภาคภูมิใจและพยักหน้า “ใช่ครับ หล่อนออกแบบเครื่องจักรไว้ให้เขาหลายแบบเชียว เซี่ยเซี่ยเป็นคนคิดค้นขึ้นเองทั้งหมดเลย ดูเหมือนว่าหนึ่งในนั้นจะอยู่ระหว่างขั้นตอนการผลิตแล้วด้วย”
หลินเซี่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “มันคือเครื่องหยอดเมล็ดข้าวโพดค่ะ โรงงานของพวกเขากำลังผลิต และจะพร้อมจำหน่ายในฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงนี้ คุณน้าและทางโรงงานยังได้มอบเงินรางวัลให้ฉันห้าร้อยหยวนด้วยนะคะ”
“อะไรนะ? โรงงานของน้าจ่ายโบนัสให้คุณด้วยงั้นเหรอ?” เฉินเจียเหอมองเธอด้วยความประหลาดใจ เขาเดินทางไปทำงานนอกสถานที่เสียหลายวัน พลาดข่าวสารไปตั้งกี่อย่าง?
“ใช่ค่ะ เขาฝากแม่มาให้ฉัน แม่บอกว่าถ้าฉันออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอื่น ๆ อีก ในอนาคตก็สามารถยื่นจดสิทธิบัตรได้ แล้วค่อยมอบหมายให้โรงงานของพวกเขานำไปผลิตต่อได้ เงินทั้งหมดที่ฉันใช้จ่ายในการตกแต่งร้านก็มาจากโบนัสห้าร้อยหยวนนี่แหละ ฉันไม่ได้แตะเงินจากบัญชีธนาคารของคุณเลยแม้แต่เหรียญเดียว”
ใจของเฉินเจียเหอแทบละลายเมื่อเห็นความชาญฉลาดของหญิงสาว เขามองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน ลูบหัวเธอพลางพูดด้วยเสียงทุ้มน่าฟังว่า “คุณเก่งมาก”
ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความรัก ในขณะที่ผู้เฒ่าเฉินกับหู่จือได้แต่ยืนนิ่งเพราะถูกป้อนอาหารสุนัขต่อหน้าต่อตา
เมื่อหู่จือเห็นพ่อและแม่ของเขาอยู่ใกล้ชิดกันมาก เขาก็พูดตรง ๆ ว่า “ปู่ทวดครับ ดูเหมือนพ่อกำลังจะจูบแม่เลย”
เมื่อได้ยินคำพูดของหู่จือ หลินเซี่ยก็รีบหลีกเลี่ยงสายตาเย้ายวนของเฉินเจียเหอ และก้าวถอยหลังด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ
ผู้เฒ่าเฉินมองฉากตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “หู่จือ ต้องขอบคุณที่พ่อของหลานมีสายตาที่ดี แม่เลี้ยงที่เขาหาให้ลูกชายถึงได้แสนดีแบบนี้”
ผู้เฒ่าเฉินมองดูหลินเซี่ยด้วยความชื่นชมมากขึ้นเรื่อย ๆ และยิ่งเขามองเธอมากเท่าใดก็ยิ่งชอบเธอมากกว่าเดิม
พร้อมกันนั้นยังชื่นชมหลานชายคนโตมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ถ้าให้เปรียบเทียบแล้ว หลานชายคนโตของเขามีสายตาที่เฉียบแหลมกว่าหลานชายคนรองผู้ไม่เอาไหนคนนั้นมาก
เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยพูดพร้อมกันว่า “ขอบคุณคุณปู่สำหรับคำชมครับ/ค่ะ”
ผู้เฒ่าเฉินตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เซี่ยเซี่ย ฉันบอกเจียเหอแล้วว่าในเมื่อเขาได้รับบาดเจ็บ เขาก็ควรกลับไปพักฟื้นที่บ้านสักสองสามวัน เพราะในระหว่างวันเธอค่อนข้างงานยุ่งมาก ไม่มีเวลาปลีกตัวมาดูแลเขา ถ้าอย่างนั้นให้เขากลับไปอยู่บ้านคงสะดวกกว่า พ่อแม่สามีของเธอจะได้ทำหน้าที่ดูแลเขาแทน”
เฉินเจิ้นเจียงรู้สึกประหลาดใจเช่นกันเมื่อโจวเจี้ยนกั๋วบอกว่าหลินเซี่ยเป็นคนออกแบบเครื่องมือทำการเกษตรให้กับโรงงานของพวกเขา เมื่อคืนก่อนเขาจึงบอกโจวลี่หรงว่าให้หล่อนไปเชิญหลินเซี่ยกับหู่จือมารับประทานอาหารมื้อเย็นด้วยกัน
หลินเซี่ยเหลือบมองเฉินเจียเหอแล้วพูดว่า “คุณปู่ ถ้าเขาอยากกลับบ้าน ฉันไม่มีปัญหาอยู่แล้วค่ะ”
“ฉันหมายความว่าให้พวกเธอทั้งสามคนกลับไปอยู่บ้านด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ”
ผู้เฒ่าเฉินไม่ให้โอกาสพวกเขาได้ปฏิเสธเลย ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด “หลังจากไปจดทะเบียนสมรสกันเรียบร้อยแล้ว พวกเธอกลับไปอยู่บ้านสักสองคืนเถอะ อย่าลืมซื้อลูกอมแต่งงานมาแจกเพื่อนบ้านในชุมชนด้วย รอให้งานของเจียเหอเบาลงเมื่อไหร่ เราจะจัดงานเลี้ยงแต่งงานเล็ก ๆ สำหรับญาติ ๆ และเพื่อนฝูง”
เฉินเจียเหอมองไปที่หลินเซี่ย ก่อนจะตอบรับเบา ๆ “ได้ครับคุณปู่”
เมื่อเฉินเจียเหอแสดงท่าทีของเขา หลินเซี่ยก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตอบเห็นด้วย “ค่ะ”
“คุณปู่ พรุ่งนี้ฉันจะเปิดร้านตัดผมอย่างเป็นทางการ ถ้าคุณพอมีเวลาว่าง ช่วยมาอุดหนุนเพื่อเป็นสิริมงคลหน่อยได้ไหมคะ?” หลินเซี่ยถามพลางมองไปที่ผู้เฒ่าเฉิน
ผู้เฒ่าเฉินตอบตกลงทันที “ได้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหา”
“รบกวนคุณปู่บอกคุณพ่อ คุณแม่ และน้องสามีให้หน่อยนะคะ งานของฉันที่นี่ค่อนข้างยุ่งมาก ดังนั้นฉันอาจไม่มีเวลาไปเชิญพวกเขามาด้วยตัวเอง ถ้าใครพอจะมีเวลาก็สามารถแวะมาเยี่ยมชมร้านได้ค่ะ”
ตอนแรกหลินเซี่ยต้องการโทรศัพท์ไปเชิญพวกเขาในเย็นวันนี้ด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้ผู้เฒ่าเฉินอยู่ที่นี่แล้ว จึงฝากให้เขาช่วยส่งข้อความแทน
แม้เธอจะรู้ว่าพ่อของเฉินเจียเหอมีภาระงานหลายอย่างที่ต้องทำ และโจวลี่หรงอาจไม่ยอมมาก็ได้ แต่เธอก็ยังเชิญพวกเขาตามมารยาท
ผู้เฒ่าเฉินพูดอย่างยินดี “ฉันบอกพวกเขาแล้ว แต่สองคนนั้นเป็นคนบ้างาน พวกเขาอาจติดงานจนปลีกตัวมาไม่ได้ แต่เดี๋ยวเย็นนี้ฉันจะบอกเจียวั่งให้เขาลาเรียนในวันพรุ่งนี้แล้วมากับฉัน”
ผู้เฒ่าเฉินกลับบ้านด้วยอารมณ์ที่มีความสุข
หลินเซี่ยก็ปิดร้าน และกลับบ้านด้วยกันสามพ่อแม่ลูก
หลังจากที่หลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนปิดแผงขายอาหารเสร็จแล้ว ครอบครัวทั้งสามก็มาที่อาคารพักอาศัยในเขตโรงงานเครื่องจักรเพื่อเยี่ยมเยียน
หลินเซี่ยออกไปรอพวกเขาที่หน้าประตูแต่หัววัน ทั้งยังซื้อแป้งทำบะหมี่กลับมาด้วย
“คุณแม่ พี่เขย เสี่ยวเยี่ยน เชิญเข้ามาก่อนครับ”
หลิวกุ้ยอิงเห็นหน้าเฉินเจียเหอก็ถามด้วยความกังวล “เจียเหอ จินซานบอกว่าเธอได้รับบาดเจ็บงั้นเหรอ? ร้ายแรงมากไหม?”
เฉินเจียเหอตอบกลับ “ไม่ใช่แผลรุนแรงมากครับแม่”
หลินเซี่ยเห็นเนื้อกระป๋องและนมผงที่พวกเขานำติดมือมาด้วยก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ทำไมถึงซื้อของฝากมามากมายแบบนี้ล่ะคะ?”
หลิวกุ้ยอิงอธิบาย “แม่ซื้อของพวกนี้มาเยี่ยมเจียเหอน่ะสิ”
หลินเซี่ยมองเธอแล้วพูดติดตลก “มีเงินซื้อเยอะ ๆ แบบนี้ ดูเหมือนว่ายอดขายค่อนข้างดีเลยใช่ไหมคะ?”
ใบหน้าของหลิวกุ้ยอิงเปล่งประกายสดใส พูดยิ้ม ๆ ว่า “ของขายดิบขายดีจริง ๆ วันแรกเรายังไม่ได้เพิ่มปริมาณ เลยขายห้าสิบชามหมดเกลี้ยงตั้งแต่เที่ยง วันนี้พอเราเพิ่มปริมาณจากเดิมเป็นสองเท่า ก็ขายได้ทั้งหมดร้อยชาม หมดเกลี้ยงตั้งแต่ช่วงบ่าย”
หลินเซี่ยเตือนเธอ “แม่คะ ต่อไปไม่ต้องเพิ่มปริมาณของที่จะขายแล้ว คงไว้ที่ตัวเลขนี้ดีกว่า ขายหมดเมื่อไหร่ก็ปิดแผงเมื่อนั้น เดี๋ยวของจะเหลือทิ้งซะเปล่า ๆ”
“แม่ก็พูดไปอย่างนั้นเอง เอาจริง ๆ ทำเยอะขนาดนั้นไม่ไหวหรอก”
หลินเยี่ยนพูดเสริม “ใช่แล้ว ถึงพวกเราจะดีใจมากที่ของขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่พอกลับมาบ้านพวกเราต่างก็เหนื่อยกันมาก ๆ ตอนเช้าแทบตื่นไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ”
หลังจากปิดร้านช่วงบ่าย พอกลับถึงบ้านล้างหน้าล้างตาเข้านอนทันที
วันรุ่งขึ้นหล่อนต้องตื่นนอนแต่เช้า นึ่งแป้งเหลียงผี ทำแป้งเหลียงเฝิ่น จากนั้นค่อยออกไปตั้งแผงขายในช่วงพักกลางวัน
อย่างไรก็ตาม งานที่ทำอยู่ก็หนักหน่วงน้อยกว่าตอนที่หล่อนทำงานที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ในตัวอำเภอมาก
อย่างน้อยก็ลูกค้าที่นี่ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดี ไม่โดนดุตลอดเวลา
หลินเซี่ยพูดว่า “ถ้าเหนื่อยเกินไป จะออกไปตั้งแผงขายของวันเว้นวันก็ได้ ไม่ต้องจริงจังกับการหาเงินมากนัก”
“ไม่ได้สิ เราเพิ่งจะตั้งแผงขายอาหารได้ไม่นาน เงินทุนสะสมที่มียังไม่เพียงพอต่อการตั้งหลัก ช่วงแรก ๆ อาจต้องออกไปขายทุกวันเพื่อรักษาลูกค้าไว้”
หลินจินซานกำลังนับนิ้วของเขาเพื่อคำนวณยอดเงิน “ขายชามละห้าเหมา วันละหนึ่งร้อยชาม เท่ากับห้าสิบหยวนเลยเหรอ?”
“อย่าลืมหักค่าต้นทุนด้วยนะ” หลิวกุ้ยอิงกล่าว
หลินจินซานคำนวณเสร็จก็อุทานว่า “ถ้าไม่รวมค่าต้นทุน เราทำเงินได้อย่างต่ำวันละตั้งสามสิบหยวน แม่กับเสี่ยวเยี่ยนมีรายได้รวมกันมากกว่าฉันซะอีก ถ้ายอดขายคงที่แบบนี้ต่อไป เดือนหนึ่งอาจได้เงินพอ ๆ กันกับลูกจ้างประจำเลยนะ”
“กว่าจะได้เงินมาแต่ละหยวนใช่เรื่องง่ายซะที่ไหนกัน? ตั้งใจทำงานของตัวเองไปเถอะน่า อย่าเอาแต่คาดหวังให้แม่กับน้อง ๆ สนับสนุนตัวเองเลย”
ยิ่งเป็นธุรกิจขนาดย่อมที่โดดเด่นน้อยเท่าใด ก็ยิ่งมีช่องทางทำกำไรมากขึ้นเท่านั้น เงื่อนไขเบื้องต้นของความสำเร็จคือต้องทำงานหนักและทุ่มเทความอุตสาหะ
แผงลอยขายอาหารแบบนี้ทำเงินได้มากกว่าคนทั่วไปก็จริง แต่โดยพื้นฐานแล้ว หลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน พวกหล่อนต้องนวดแป้งตอนกลางคืนทิ้งไว้ ตื่นเช้ามาก็ต้องนึ่งแป้ง ทำเหลียงเฝิ่น และปรุงน้ำซุป
ถ้าอยากรักษาฐานลูกค้าไว้และขยับขยายสร้างชื่อเสียง ก็ต้องคงเส้นคงวาในคุณภาพและรสชาติอีกด้วย
ชาติก่อน หลินเซี่ยได้ยินมาว่าสามีภรรยาที่เปิดแผงเจียนปิ่งริมถนนได้ซื้ออะพาร์ตเมนต์ไว้หลายห้องทีเดียว เงินทั้งหมดล้วนได้มาจากน้ำพักน้ำแรงที่ขายเจียนปิ่งทีละชิ้น
หลินจินซานคิดว่าด้วยเงินเดือนอันน้อยนิดของเขา เขาน่าจะเป็นคนที่มีรายได้น้อยที่สุดในครอบครัว
ในฐานะที่เป็นผู้ชาย เขาค่อนข้างช้ำใจกับสิ่งที่เป็นอยู่
เขามองไปที่หลินเซี่ยเพื่อขอความช่วยเหลือ “เซี่ยเซี่ย เธอช่วยไปคุยกับเจ้านายให้เพิ่มเงินเดือนให้ฉันหน่อยสิ ฉันได้รับเงินเดือนแค่เดือนละแปดสิบหยวนเท่านั้นเอง”
หลินเซี่ยกลอกตามองเขา “แปดสิบหยวนก็นับว่าไม่เลวแล้ว คนงานชั้นผู้น้อยที่พี่ทำอยู่ไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวตรงไหน ใคร ๆ ก็ทำได้”
เมื่อถูกหลินเซี่ยโจมตี ใบหน้าของหลินจินซานก็มืดมนลง รู้สึกกระดากอายมาก
“คืนนี้พวกเรามากินบะหมี่เครื่องผัดกันเถอะ ฉันซื้อบะหมี่สำเร็จรูปมาแล้ว จะได้ปรุงสุกไว ๆ”
หลิวกุ้ยอิงลุกขึ้นและเดินตามเธอเข้าไปที่ห้องครัว “แม่จะช่วยลูกทำกับข้าว หลังจากกินเสร็จ แม่กับเสี่ยวเยี่ยนยังต้องกลับไปนวดแป้ง พรุ่งนี้เช้าเราจะได้มีแป้งเหลียงผีพร้อมนึ่ง”
“แม่คะ พรุ่งนี้หยุดร้านสักหนึ่งวันเถอะ พรุ่งนี้ฉันจะเปิดร้านตัดผมอย่างเป็นทางการแล้ว พวกคุณต้องไปอุดหนุนกิจการใหม่ของฉันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา มะรืนนี้ค่อยตั้งแผงตามเดิมก็ได้”
ห้องครัวในบ้านเล็กเกินไปสำหรับคนสามคน หลินเซี่ยจึงบอกให้หลิวกุ้ยอิงออกไปนั่งพักผ่อน ในขณะที่เธอกับหลินเยี่ยนช่วยกันทำอาหาร
“แม่ นั่งพักนะครับ” เฉินเจียเหอนั่งลงตรงข้าม มองหน้าหล่อนแล้วพูดว่า “คุณแม่ เซี่ยเซี่ยกับผมคุยกันแล้วว่าเราจะไปจดทะเบียนสมรสกันในวันพรุ่งนี้”
หลิวกุ้ยอิงยิ้มและพยักหน้า “ดีแล้ว ไปจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายซะ พวกเราจะได้โล่งใจ”
“น้องเขย ผมขอถามคุณหน่อยเถอะ ตั้งแต่คุณแต่งงานกับน้องสาวของผมมา คุณได้จ่ายสินสอดทองหมั้นให้หล่อนหรือยัง?”
หลินจินซานนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา กำลังดูทีวี เมื่อได้ยินสิ่งที่เฉินเจียเหอและหลิวกุ้ยอิงพูดคุยกัน เขาก็มองไปที่เฉินเจียเหอแล้วพูดต่อ “ผมไม่ได้หมายถึงเงิน แค่คิดว่าน้องสาวผมแต่งงานทั้งที ผู้ชายอย่างคุณก็ควรให้อะไรเป็นการให้เกียรติหล่อนบ้าง ไม่อย่างนั้นจะดูเหมือนคุณไม่จริงจังกับหล่อน ผู้หญิงในชนบทต่างก็แต่งงานโดยได้รับสินสอดทองหมั้นกันทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่หล่อนเคยเติบโตในเมืองมาก่อน แถมยังมีความสามารถมาก ตอนนี้หล่อนกลายเป็นเจ้าของกิจการเต็มตัวแล้ว หารายได้ได้ด้วยตัวเอง ในขณะที่คุณเป็นแค่…”
พ่อม่ายลูกติด…
แต่เมื่อหลินจินซานเหลือบมองหู่จือ เขาก็หยุดพูดทันใด
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
พี่จินซานก็ต้องพัฒนาสกิลตัวเองนะคะ ถ้าอยากจะมีรายได้ไม่แพ้สมาชิกคนอื่นในครอบครัว
ไหหม่า(海馬)