เรื่องย้ายบ้านถูกกำหนดขึ้นอย่างรวดเร็ว เด็ก ๆ ทั้งสองดูคึกคักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พวกเขากำลังวางแผนว่าตนเองจะพกสิ่งของอะไรไปบ้าง

แม้แต่หลินเหราเองก็คาดหวังอย่างเลือนรางอยู่ในใจ

วันนี้ขณะที่ทุกคนในบ้านกำลังเก็บข้าวของที่นอนหมอนมุ้งและเสื้อผ้าที่จำเป็นอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังมาจากลานบ้านข้างนอก ตามมาด้วยเสียงของชายหนุ่มผู้หนึ่ง

“อาซู อยู่บ้านหรือไม่!”

มือของเหยาซูที่กำลังเก็บข้าวของได้หยุดชะงักลงก่อนพูดกับหลินเหราว่า “พี่เหยาเล่ยน่ะ ข้าขอออกไปดูเสียหน่อย”

หลังจากที่นางลุกไป หลินเหราก็มองไปทางอาจื้อ เด็กชายผู้เฉลียวฉลาดสามารถเข้าใจความหมายของบิดาได้ในทันที จากนั้นก็ตามเหยาซูออกไปยังลานบ้าน

อาซือนั้นสับสนมึนงง เมื่อเห็นพี่ชายออกไป พลันวางสิ่งของในมือลงแล้วเดินตามออกไป

“ท่านพี่ ยังเก็บของไม่เสร็จเลย…”

อาจื้อรีบดึงมือของน้องสาวไว้และพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เอ้อเป่าหยุดพูดได้แล้ว เราไปยืนอยู่ข้างท่านแม่ก็พอ”

อาซือพยักหน้า

สองพี่น้องได้กล่าวทักทายเหยาเล่ยอย่างมีมารยาท จากนั้นก็ยืนอยู่ข้างกายผู้ใหญ่ ไม่ส่งเสียง ไม่โวยวาย เพียงเล่นกับตัวเองไป

กระทั่งได้ยินเหยาเล่ยถามว่า “อาซู ได้ยินว่าพวกเจ้าจะย้ายบ้านอย่างนั้นหรือ? บ้านหลังนี้อยู่แล้วไม่สบายหรืออย่างไร?”

เหยาซูรีบพูดขึ้นว่า “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร อยู่ที่นี่สบายมากทีเดียว เพียงแต่อาเหราต้องไปรับตำแหน่งในเมือง ข้าและลูก ๆ จึงต้องย้ายตามเขาไปด้วยกัน”

เหยาเล่ยกำลังจะอ้าปาก ทว่ากลับไม่ได้เอ่ยว่าไม่อยากให้นางย้ายบ้านแต่อย่างใด หลังจากที่อดกลั้นอยู่นานสองนาน จึงทำได้แค่ฝืนยิ้ม “อาเหราน้องข้าเป็นผู้มีความสามารถ ยินดีด้วย”

เหยาซูไม่ใช่คนโง่ ย่อมรู้ว่าเหยาเล่ยหวังดีต่อตน แต่เรื่องของทั้งสองคงเป็นไปไม่ได้ จึงไม่อยากเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายและทำได้แค่รักษาระยะห่างกับเขาไว้

หญิงสาวพูดอย่างเกรงใจ “พี่เหยาเล่ยละเอียดเกินไปแล้ว ทั้งยังตั้งใจเดินทางมาพบข้า เข้ามาดื่มชาก่อนแล้วค่อยกลับเถอะ”

ไฉนเลยเหยาเล่ยจะละเอียด เขาเพียงหาข้ออ้างเพราะอยากมาเจอเหยาซูสักครั้งก็เท่านั้น

ตอนนี้ได้พูดกันแล้ว เขาจึงต้องกล่าวคำลา

เหยาซูไม่ได้เอ่ยรั้งให้อีกฝ่ายอยู่ต่อ แต่กลับออกมาส่งเหยาเล่ยหน้าลานบ้านอย่างสุภาพ

อาจื้อเห็นดังนั้นจึงลากอาซือออกมา วิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาในบ้านก่อนจะพูดกับหลินเหราเบา ๆ ว่า “ท่านพ่อ ท่านอาเหยาเล่ยและท่านแม่ไม่ได้พูดเรื่องอื่น เขาแค่ถามว่าเหตุใดถึงต้องย้ายบ้านเท่านั้น”

หลินเหราพยักหน้าจากนั้นก็ลูบศีรษะน้อย ๆ กลม ๆ ของอาจื้อ

อาซือยืนอ้างปากตาค้างอยู่ด้านข้าง “ท่านพี่ ท่านบอกความลับ! ข้าจะไปบอกท่านแม่เรื่องที่ท่านเป็นนักส่งสาร!”

อาจื้อกอดน้องสาวไว้ในอ้อมแขนโดยไม่ได้หงุดหงิดใจ ทำเพียงปลอบน้องสาวตัวน้อยว่า “นักส่งสารไม่ใช่เด็กดีหรือ หากเอ้อเป่าบอกท่านแม่แล้ว ก็ไม่ใช่นักส่งสารแล้วน่ะสิ?”

นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง โดยไม่พูดสิ่งใดและได้แต่ตกตะลึง

อาจื้อจึงพูดอีกว่า “เอ้อเป่าเด็กดี ห้ามบอกท่านแม่เด็ดขาด พี่ไม่ได้บอกความลับ ไม่ใช่ว่าบทสนทนาของท่านแม่และท่านอาเล่ยคนอื่นจะได้ยินไม่ได้เสียที่ไหนกัน?”

อาซือพยักหน้าด้วยความสงสัย “อื้อ แต่…”

“เอาล่ะ ๆ” อาจื้อหมุนตัวน้องสาวกลับมา จากนั้นก็จูงมือของนางไปที่หน้าตู้พลางปลอบโยนว่า “เราไม่นึกถึงคนผู้นั้นแล้ว มาเก็บของกันดีกว่า เมื่อครู่เจ้าบอกว่าอยากนำของเล่นชิ้นไหนไปด้วยนะ?”

ความสนใจของอาซือถูกเบี่ยงเบน และไม่ได้เอ่ยถึงหัวข้อเมื่อครู่อีก

หลังจากจัดการน้องสาวให้สงบลงแล้ว อาจื้อพยักพเยิดปลายคางไปยังหลินเหราพร้อมทั้งเล่นหูเล่นตา อีกฝ่ายจึงส่งยิ้มบาง ๆ กลับมาให้เขา

บังเอิญว่าเหยาซูเดินเข้าบ้านมา และเห็นสีหน้าท่าทางของสองพ่อลูกพอดี จึงยิ้มพลางหยอกล้อว่า “พวกเจ้าสองคน เล่นใบ้คำอะไรกัน ทำไมไม่พูดกันดี ๆ เล่า เหตุใดต้องทำท่าทางประหลาดเหล่านี้ด้วย”

อาซือเงยหน้า “ท่านแม่!”

อาจื้อหัวเราะเหอะ ๆ และขานเรียก “ท่านแม่”

เหยาซูรู้นานแล้วว่าเด็ก ๆ ทั้งสองออกไปฟังบทสนทนาของตนเองกับเหยาเล่ย คงวิ่งกลับมาบอกหลินเหราเป็นแน่

หญิงสาวดีใจที่เห็นพวกเด็ก ๆ สนิทสนมกับบิดา จึงไม่พูดอะไรให้มากความ

เหยาซูยังพูดกับหลินเหราอีกว่า “เมื่อครู่พี่เสี่ยวเล่ยยังถามด้วยว่า อยากให้เขาไปช่วยย้ายบ้านด้วยหรือไม่…”

ฝ่ายชายส่ายหน้าโดยเด็ดขาด “ไม่ต้อง”

บางทีอาจเป็นเพราะห่วงว่าน้ำเสียงของตนจะกระด้างเกินไป หลินเหราจึงเกิดความลังเลพลันพูดเสริมขึ้นว่า “ของที่จำเป็นมีจำนวนไม่มากนัก ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่จำเป็นต้องรบกวนผู้อื่นด้วย”

เหยาซูเห็นดังนั้นจึงขบขันออกมา ก่อนจะส่ายหน้าพลางเดินไปเก็บของ

เรื่องย้ายบ้านไม่ได้สร้างความตื่นตกใจให้ผู้คนมากมายนัก เพียงให้เหยาเฟิงขนหีบใส่ของเดินทางไปให้หนึ่งรอบ

ในระหว่างที่ทุกคนกำลังออกจากหมู่บ้านตระกูลเหยานั้น เหยาซูได้เอ่ยถามหลินเหราประโยคหนึ่งว่า “ไม่บอกตระกูลหลินสักคำหรือ?”

ชายหนุ่มมักจะใช้ความเงียบในการตอบคำถามน้อยครั้ง แต่ครั้งนี้กลับไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยปาก

ในใจของเหยาซูจึงได้แต่ทอดถอนใจ

ถึงอย่างไรทางนั้นก็เป็นครอบครัวที่ให้กำเนิดตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนสมัยโบราณ แนวคิดของตระกูลนั้นรุนแรงมากที่สุด ถึงแม้บีบเค้นจนถึงที่สุดก็คงไม่มีใครยอมตัดความสัมพันธ์ ตัดบัวไม่เหลือเยื่อใยกับครอบครัวเป็นแน่

“หากคิดจะบอกพวกเขาสักคำ เราก็ต้องอ้อมไปหมู่บ้านตระกูลหลิน…”

เหยาซูยังเอ่ยยังไม่ทันจบ กลับถูกผู้เป็นสามีตัดบทเสียก่อน

“ไม่ต้องหรอก” เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด “คงไม่มีใครสนใจหรอก”

เหยาซูเข้าใจความหมายของเขาทันที

แม่เฒ่าเหยายังเคยบ่นญาติฝั่งนั้นอยู่เมื่อสองสามวันก่อน…

นับตั้งแต่ตระกูลหลินได้เงินของหลินเหราไป ก็ไม่เคยรับรู้ข่าวคราวของครอบครัวนั้นอีกเลย

พูดจาแต่ประโยคที่ไม่เข้าหู ต่อให้หลินเหราต้องตายอยู่ข้างนอก ก็คงไม่มีใครหลั่งน้ำตาร้องไห้หรอก

แม่เฒ่าเหยาที่อยู่ข้างหลินเหรามาโดยตลอด ปวดใจกับเขยผู้นี้ รู้สึกเสียใจแทนเขายิ่งนัก

ตอนนั้นเหยาซูทำได้แค่ปลอบใจมารดา ต่างคนต่างมีโชคชะตาที่แตกต่างกัน เมื่อครั้งหลินเหรายังเด็กเขามีเครือญาติทางสายเลือดเพียงเล็กน้อย แต่อาจื้อและพวกเด็ก ๆ กลับต้องพึ่งพาเขา

หากมาคิด ๆ ดูตอนนี้ ตามโครงเรื่องต้นฉบับ หลินเหราไม่ค่อยสนิทกับตระกูลหลินสักเท่าใด แม้แต่ลูก ๆ ทั้งสามคน หลังจากเติบโตมาก็ไม่มีใครสนิทกับเขาสักคน

แต่เดิมทีหลินเหราก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไร เขาจริงจังและมีความรับผิดชอบ เช่นนั้นเขาทำสิ่งใดผิดไป?

หัวใจของเหยาซูพลันอ่อนยวบ จากนั้นก็ดึงมือของหลินเหรามากุมไว้และพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ช่างเถอะ ไม่ต้องเสียใจเพราะพวกเขาหรอก เราไปกันเถอะ”

นิ้วมือที่อ่อนโยนของหญิงสาวกุมฝ่ามือของชายหนุ่มเอาไว้ แต่กลับถูกเขาพลิกมือมาจับมือของผู้เป็นภรรยาด้วยความอ่อนโยน

สีหน้าของเขาพลันอ่อนโยนลงในทันที น้ำเสียงทุ้มต่ำและแหบแห้ง “อาซู ข้าไม่เสียใจ พวกเขาล้วนไม่ใช่คนสำคัญ”

แท้จริงแล้วคนที่สำคัญคือเจ้า

ประโยคสุดท้ายแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดออกมา ทว่าเหยาซูกลับเข้าใจความหมายที่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยของเขาได้จากนัยน์ตาที่ลึกซึ้งของเขา

ทั้งสองคนยืนอยู่อีกด้านของเกวียนวัว ซึ่งหลบเข้ามุมที่อับสายตาพอดี คนภายนอกที่เดินผ่านไปผ่านมาจึงมองไม่เห็นพวกเขา

เหยาซูได้ยินเสียงบทสนทนาของพี่ใหญ่และเด็ก ๆ อยู่ใกล้ ๆ มือขวานั้นถูกชายหนุ่มกุมแน่นเต็มฝ่ามือ หัวใจเริ่มดังเร็วรัวราวกับเสียงตีกลอง ฝ่ามือเริ่มมีเหงื่อซึมออกเล็กน้อย

เขาเรียกนางด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “อาซู ข้า…”

ลมหายใจของชายหนุ่มค่อนข้างระมัดระวังและยับยั้ง หอบเอาความเคร่งเครียดและร้อนใจมาพร้อมกัน ผสมปนเปอยู่กับลมหายใจของเหยาซูในอากาศ

“หื้อ?” เสียงของหญิงสาวเหมือนกับตะขอ เห็นได้ชัดว่าเพียงแค่ประโยคเดียว กลับเกี่ยวหัวใจของหลินเหราให้ปั่นป่วนไม่น้อย

เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใด ทำได้แค่พึมพำคำเดิม “ข้า อาซู…”

เหยาซูเงยหน้ามองเขา

แก้มของหญิงสาวขึ้นสีแดงแดงระเรื่อ ราวกับเครื่องลายครามหยกขาวชั้นดีที่ถูกขัดด้วยผงบาง ๆ อย่างไรอย่างนั้น แม้แต่บนร่างกายก็ยังส่งกลิ่นหอมสมุนไพรอันสดชื่น เวลานี้กลิ่นหอมนี้ได้ตลบอบอวลไปทั่วทุกพื้นที่ แทรกซึมเข้ามาในโพรงจมูกและในสมองของเขา สร้างความปั่นป่วนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

เสียงหัวใจเต้นของเขาเต้นถี่ดังมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับจะทะลุออกมาจากหน้าอก กระตุ้นเส้นประสาทของเขาอย่างรุนแรง ก่อเกิดแรงกระตุ้นที่รุนแรงและไม่คุ้นเคยขึ้นภายในใจ ทำให้เขามือไม้อ่อนทำอะไรไม่ถูก

จิตใจค่อย ๆ คล้อยตาม ชายหนุ่มก้มหน้าลงอย่างช้า ๆ พรมจูบลงบนเปลือกตาของเหยาซูอย่างแผ่วเบา

เหยาซูหลับตาลง ลมหายใจที่สับสนและหนักหน่วงของผู้เป็นสามีได้สร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นในจิตใจอย่างเงียบ ๆ เสียงของเหยาซูนุ่มนวลอย่างไม่น่าเชื่อ “ท่านจูบตาข้าทำไม?”

หลินเหราตอบกลับ “ดวงตาเจ้าช่างงดงามยิ่งนัก งดงามยิ่งกว่าดวงดาวที่สว่างไสวที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นในซีเป่ยเสียอีก”

เหยาซูหลับตาลง เปลือกตาสั่นระริกอย่างอดไม่ได้ ทว่าร่างกายท่อนล่างกลับไม่ขยับเขยื้อนราวกับเป็นสัตว์เล็กที่ถูกจับเป็นเชลย รอคอยโชคชะตาของตนเองอย่างเคร่งเครียดและว่านอนสอนง่าย

ลมหายใจของสัตว์ป่าตนนี้ค่อย ๆ ไล่ลงต่ำ เมื่อถึงปลายจมูกกลับหยุดชะงักลง

“เอาล่ะ” หญิงสาวได้ยินเสียงของเขาที่แหบแห้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “เราเตรียมตัวไปกันเถอะ

ในขณะที่พูดชายหนุ่มได้ขยับตัวออกจากเหยาซู สายลมอันหนาวเหน็บเข้ามาแทนที่ความอบอุ่นรอบตัวพวกเขา

รอจนกระทั่งทั้งสองคนสงบลงอย่างช้า ๆ เหยาซูจึงใช้หลังมือหยั่งเชิงแตะอุณหภูมิบนแก้มของตน นางสัมผัสได้ว่ามันร้อนผ่าวมาก จึงส่งเสียงกระแอมออกมาแสร้งทำเป็นพูดโดยไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น “เก็บของหมดแล้วใช่หรือไม่? ให้ข้าเข้าไปตรวจสอบสักหน่อยดีหรือไม่?”

เห็นได้ชัดว่ารอบสุดท้ายได้รับการตรวจสอบแล้ว หลินเหราจึงถือโอกาสมองตามสายตาของเหยาซูเข้าไปในลานบ้าน สุดท้ายก็พยักหน้า และมองเข้าไปในบ้านอีกหนึ่งรอบ

เหยาซูพิงราวไม้บนเกวียนวัว จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และค่อย ๆ พ่นลมหายใจออกมาอย่างช้า ๆ

หญิงสาวเริ่มปลดปล่อยกิริยาท่าทางที่ไร้ซึ่งความงดงามของตัวเองต่อหน้าหลินเหรา

ก็จูบเปลือกตาไปแล้วไม่ใช่หรือไง?! ไฉนยังตื่นเต้นและคาดหวังอีกล่ะ?

เหยาซูครุ่นคิดอย่างหงุดหงิดใจ

ตั้งแต่สมัยปัจจุบัน หญิงสาวไม่เคยเห็นฉากจูบไหนในภาพยนตร์หรือการ์ตูนเลย แต่วันนี้กลับปลดอาวุธและยอมจำนนต่อหน้าหนุ่มโบราณที่แสนบริสุทธิ์อย่างหลินเหราผู้นี้….

น่าอับอายขายขี้หน้าชะมัด!

เหยาซูตบตีกับความคิดของตนอยู่นาน จากนั้นจึงได้เดินออกมาจากด้านหลังรถเกวียน

เหยาเฟิงไม่เห็นถึงความผิดปกติใด ก่อนถามน้องสาวว่า “อาเหราล่ะ? เราจะออกเดินทางกันเมื่อใด?”

เหยาซูได้ยินดังนั้นจึงใช้น้ำเสียงที่ราบเรียบยิ่งกว่าเดิมตอบกลับไป “อาเหรากำลังตรวจสอบว่ามีของอะไรตกหล่นหรือไม่ รอเขากลับมาก็ออกเดินทางทันทีเจ้าค่ะ”

อาจื้อและอาซือส่งเสียงโห่ร้องดีใจ จากนั้นก็ดึงมือของน้องชายที่นั่งอยู่บนราวกั้นรอบ ๆ เกวียนลงมา โดยไม่สนใจว่าเขาจะเข้าใจหรือไม่ จากนั้นก็เริ่มพูดคุยหยอกล้อกับซานเป่า

แสงจากดวงอาทิตย์ในช่วงฤดูใบไม้ผลินั้นอบอุ่นและนุ่มนวลยิ่ง ผสมผสานกับอากาศที่ค่อนข้างเย็นฉ่ำ ทำให้รู้สึกอบอุ่นถึงก้นบึ้งในหัวใจ

รอจนกระทั่งหลินเหราเดินออกมาจากในลานบ้าน ลงกลอนประตู ทั้งหมดจึงบังคับรถเกวียนมุ่งหน้าสู่ตัวเมือง

…………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

แปลตอนนี้แล้วเขินแทนอาซูเลยค่ะ ไม่อยากนึกเลยว่าอาเหราตอนอบอุ่นจะโรแมนติกขนาดไหน

ไหหม่า(海馬)