บทที่ 110 นี่คือชุดเกราะสำหรับผู้ชาย!

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 110 นี่คือชุดเกราะสำหรับผู้ชาย!

“เกิดอะไรขึ้น?”

ซูเซียงเสวี่ยกลับมาสู่ห้วงอารมณ์เดิม นางพยายามสงบใจที่กำลังเต้นรัวเร็ว

“คือว่า ข้า…”

ไป๋ชิวหรานลังเลเล็กน้อย

“ข้าขอขุดหลุมฝังศพสุสานบรรพบุรุษเจ้า…”

ซูเซียงเสวี่ยกะพริบตา ก่อนจะยืนขึ้นเพื่อเอ่ยถาม

“ไม่สิ ข้าอาจได้ยินไม่ชัด…ท่านพูดว่าอะไรนะ?”

“ข้าต้องการขุดหลุมฝังศพสุสานบรรพบุรุษเจ้า… ไม่นะ วางพิณในมือลงก่อน หมายถึงสุสานบรรพบุรุษเผ่ามาร!”

ไป๋ชิวหรานพยายามเกลี้ยกล่อมซูเซียงเสวี่ยให้สงบลง

“โอ้ ไม่ใช่สุสานของท่านแม่สินะ”

ซูเซียงเสวี่ยตอบกลับ

“งั้นบอกแผนการมาได้เลย…ให้ข้าช่วยอะไรหรือเปล่า?”

“ถูกต้อง ๆ ใช่แล้วล่ะ”

ไป๋ชิวหรานพยักหน้า

“สิ่งที่ข้ากำลังมองหาคือสุสานของจักรพรรดิมารองค์แรก มันไม่ได้อยู่ร่วมกับสุสานจักรพรรดิมารทั้งหมด หากมีหน่วยข่าวกรองของสำนักเหอฮวนช่วยคงจะดีมาก… เจ้าต้องการเท่าไหร่?”

เพราะหน่วยข่าวกรองของสำนักเหอฮวน เป็นเหมือนสมบัติของสำนักนี้ แม้ว่าซูเซียงเสวี่ยจะเป็นเจ้าสำนัก แต่ชายหนุ่มก็ไม่อยากบังคับใช้ด้วยเหตุผลส่วนตัว ดังนั้นแม้จะสนิทกัน ไป๋ชิวหรานก็จะยอมจ่ายค่าเหนื่อยให้

อีกทั้งไม่อยากให้ซูเซียงเสวี่ยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างลับ ๆ เพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ใกล้ชิดกับเขา

“ข้าไม่รับเงินหรอก”

ซูเซียงเสวี่ยส่ายหัว

“นั่นมัน…จะดีหรือ?”

ไป๋ชิวหรานลังเล

“ไม่ใช่แค่ท่านคนเดียว ข้าเองก็สนใจเช่นกันว่าสุสานจักรพรรดิมารองค์แรกอยู่ที่ไหน?”

ซูเซียงเสวี่ยกล่าว

“และ…เป็นถึงสุสานจักรพรรดิมารองค์แรก เช่นนั้นคงมีสมบัติมากมายใช่หรือไม่?”

“แกร๊ก แน่นอนสาวน้อย”

ทันใดนั้นหัวกะโหลกที่ห้อยอยู่ตรงเอวของไป๋ชิวหรานก็ส่งเสียงพูด

“มันเต็มไปด้วยความมั่งคั่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หากพาข้าไปยังที่นั่น ข้าอาจจะสามารถฟื้นฟูประวัติศาสตร์และความรู้ในยุคนั้น รู้หรือไม่ ว่าความรู้คือสมบัติอันยิ่งใหญ่ที่สุด!”

ซูเซียงเสวี่ยถอนหายใจอย่างไม่พอใจพร้อมเอ่ยถาม

“ท่านจะพาเขาไปด้วยแบบนี้หรือ?”

“แล้วมีวิธีอื่นอีกงั้นหรือ? ตอนนี้การให้เขาอยู่ข้างข้าเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว และยังหยุดเขาได้ทันเวลาหากเกิดอะไรขึ้น”

ไป๋ชิวหรานตอบกลับ

“นอกจากนั้นข้ายังรวบรวมเบาะแสต่าง ๆ ได้ เพราะเขาเป็นเซียนที่มีสติปัญญาอันยิ่งใหญ่”

“สติปัญญาอันยิ่งใหญ่คืออะไร?”

ซูเซียงเสวี่ยเอ่ยถาม

“เป็นความสามารถที่ทรงพลัง”

ไป๋ชิวหรานอธิบาย

“ตราบใดที่เขาเห็นสิ่งของ จะทำให้ทราบข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นโดยตรงและโดยอ้อม”

“โอ้ สุดยอดจริง ๆ”

ซูเซียงเสวี่ยพยักหน้า

“นี่เป็นวิชาอาคมจากยุคเซียนปฐพีงั้นหรือ?”

“คงจะดีถ้าเป็นแค่วิชาอาคม”

จื้อเซียนยิ้มอย่างขมขื่น

“นี่เป็นสิ่งที่ข้าต้องแลกมาด้วยความปรารถนาอื่น ๆ ซึ่งต้องจ่ายด้วยราคาที่แพงมาก…เป็นความสามารถที่สุดยอดที่สุดน่ะสาวน้อย”

ซูเซียงเสวี่ยงุนงงเล็กน้อย

“ยุคนี้อาจจะหายสาบสูญไปแล้ว แต่ในยุคของข้ายังมีอาคม ‘แลกเปลี่ยนกับสวรรค์’ ซึ่งสามารถแลกเปลี่ยนเจตจำนงของสวรรค์ได้โดยตรง แต่ปกติแล้วต้องจ่ายในราคาที่สูง”

จื้อเซียนตอบกลับ

“อาคมนี้มีเก็บไว้ในหอตำราด้วย แต่ถ้าไม่จำเป็น ข้าก็ไม่แนะนำให้เรียนรู้มันหรอก”

“ถ้าเช่นนั้น ท่านจะพาเขาไปด้วยสินะ”

ซูเซียงเสวี่ยเข้าใจและกล่าว

แม้ว่าซูเซียงเสวี่ยจะไม่ชอบหัวกะโหลกจื้อเซียนเท่าไร เพราะเขามาขัดขวางนางกับไป๋ชิวหรานเมื่อครู่ แต่อีกทางหนึ่ง มันก็มีประโยชน์กับไป๋ชิวหราน

หลังจากนั่งสนทนากันอยู่ในศาลาได้ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนและกลับไปดูสถานการณ์ของศิษย์สำนักกระบี่ชิงหมิง ซูเซียงเสวี่ยจึงกลับไปหาโหยวเหมยเฉียว ดูเหมือนว่าศิษย์ของนางจะค้นพบสุดยอดวิชาอีกด้วย!

ศิษย์สำนักกระบี่ชิงหมิงส่วนใหญ่รวมตัวกันอยู่แถวอาวุธเวท ทุกคนต่างหลงใหลในกระบี่วิเศษและกระบี่บิน ทำให้พวกเขารีบวิ่งไปหาสิ่งนี้ทันทีเมื่อเข้ามา เพราะบางคนต้องการอาวุธวิเศษที่ดีเพื่ออนาคตของตัวเอง

ในสำนักไม่ใช่ทุกคนที่เหมือนถังรั่วเวยที่ชนะเดิมพันไป๋ชิวหราน และได้รับกระบี่บินที่มีคุณภาพสูงที่สุดในโลกมาครอบครอง

ทันทีที่เข้ามาในห้องโถง ไป๋ชิวหรานก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายจิตสังหารแผ่ออกมา

“เจอจุดอ่อนแล้ว!”

ชิงตานอิ๋งกระโดดออกมาจากความมืด เปลวเพลิงที่ลุกโชนทั่วร่างอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอ่อน ๆ มันควบแน่นและก่อตัวขึ้นบนศีรษะโดยอยู่ในรูปของนกหลวน นางกระโดดโจมตีไป๋ชิวหรานพร้อมตะโกนเสียงดัง

ไป๋ชิวหรานมองดูก็พบว่าสตรีน้อยนางนี้บรรลุขั้นพลังไปอีกขั้นแล้ว

ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม สิ่งนี้ยังคงไร้ประโยชน์นัก ผ่านไปเพียงชั่วอึดใจ ไป๋ชิวหรานก็ใช้แขนรั้งชิงตานอิ๋งเอาไว้ จนนางกระพือปีกไม่ได้อีก

“ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีนกหลวนอยู่ในยุคนี้ด้วย”

จื้อเซียนมองไปที่ชิงตานอิ๋ง

“นี่เป็นสายพันธุ์ที่สืบทอดมาจากเหล่าเทพ ข้าคิดว่ามันคงใกล้จะสูญพันธุ์แล้วในโลกมนุษย์”

“วิเศษถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”

ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม

“ตอนข้าอุ้มนางมาครั้งแรก นางดูเหมือนไก่ธรรมดา”

“ในยุคเทพ นกหลวนเป็นเผ่าพันธุ์รองจากจักรพรรดิวิหคอมตะ จักรพรรดิแห่งนกทั้งหมด”

หลังจากครุ่นคิดชั่วครู่ จื้อเซียนจึงกล่าวต่อ

“เมื่อมองดูตอนนี้แล้วช่างวิเศษนัก ข้าว่าโลกใบนี้คงไม่อาจหาปีศาจที่มีสายเลือดบริสุทธิ์แบบนางได้อีก”

“ข้าเป็นสัตว์เทวะ! ไม่ใช่ปีศาจ!”

ชิงตานอิ๋งกระพือปีกที่ยังอยู่ในมือไป๋ชิวหราน

“แล้วสัตว์เทวะไม่ใช่ปีศาจหรืออย่างไร?”

จื้อเซียนสวนกลับ

“จักรพรรดิมารยังเป็นมังกรเก้าเศียร และมีสายเลือดบริสุทธิ์ของเผ่ามังกร แต่เขายังเรียกตัวเองว่ามาร”

สิ้นคำ ชิงตานอิ๋งก็ตั้งท่าจะเตะหัวกะโหลกที่เอวของไป๋ชิวหรานด้วยความโกรธทันที เช่นนั้นแล้วชายหนุ่มจึงเปลี่ยนมืออีกข้างไปจับปีกนางแทน

หลังจากเดินไปได้สองสามก้าว หลินฟานก็รีบวิ่งออกมาจากมุมข้าง ๆ เขาถือกระบี่ทองสัมฤทธิ์โบราณอันใหม่อยู่ในมือและตะโกนใส่ชายหนุ่ม

“อาจารย์ลุง รับกระบี่!”

แต่ถึงอย่างนั้นคนพูดก็ไม่ได้รอคำตอบจากไป๋ชิวหรานแต่อย่างใด เขาหุนหันยกกระบี่ในมือขึ้นและโจมตีชายหนุ่มด้วยกำลังทั้งหมด

เงากระบี่จากฟากฟ้าพลิกแพลงไปมาไม่รู้จบ ส่งประกายสีทองตัดผ่านอากาศจนเกิดเสียงแหลมสูง

หลังจากได้รับคำชี้แนะจากตนก่อนที่จะไปทำบททดสอบสุดท้าย ชายหนุ่มพบว่าหลินฟานก้าวหน้าขึ้นมาก ศิษย์ผู้นี้สื่อสารกับผู้คนไม่เก่งก็จริง ทว่าความพากเพียรและความกระตือรือร้นช่างยอดเยี่ยม

ไป๋ชิวหรานต้านอีกฝ่ายด้วยมือเปล่า จากนั้นก็ยกร่างของหลินฟานขึ้นและเอ่ยถาม

“เจ้าดูเหมือนไม่ใช่คนที่จะกระทำเช่นนี้…ใครเป็นคนสอน?”

“อาจารย์ข้าเองขอรับ”

หลินฟานเป็นเด็กที่สุภาพมาก เมื่ออยู่ต่อหน้าไป๋ชิวหราน เขาจึงกล้าเอ่ยชื่อของเจวี๋ยอวิ๋นจื่ออย่างไม่ลังเล

“เขาบอกว่าการต่อสู้กับอาจารย์ลุงเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการก้าวหน้า เพราะท่านไม่มีทางตายแน่นอน อีกทั้งยังจะชี้แนะวิชากระบี่ให้ด้วย”

“โอ้ เป็นเช่นนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว”

ไป๋ชิวหรานวางหลินฟานลง และชี้แนะทักษะกระบี่ให้ ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็บันทึกชื่อของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อลงในตำราเล่มเล็ก ๆ ในใจ

ขณะเดินตรวจสอบ ไป๋ชิวหรานพบว่าศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงหมิงบรรลุบางสิ่งบางอย่างในที่สุด ไม่นาน ชายหนุ่มก็เดินมาถึงตัวถังรั่วเวย

การปรับแต่งชุดเกราะของถังรั่วเวยใกล้จะเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว แสงศักดิ์สิทธิ์ก็หลอมรวมเข้าด้วยกัน เป็นผลให้นางและชุดเกราะมีความเชื่อมโยงกันเล็กน้อย

อย่างไรก็ตามเมื่อมองไปที่ชุดเกราะ ไป๋ชิวหรานรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ แต่ไม่อาจพูดได้

หลังจากเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่ง ถังรั่วเวยก็ประสบความสำเร็จในการกลั่นชุดเกราะ นางลืมตาขึ้นแล้วสวมชุดเกราะทันที แต่เนื่องจากสวมกระโปรงอยู่ ทำให้ดูแปลก ๆ เล็กน้อย

“อาจารย์”

นางเดินไปหาไป๋ชิวหราน แต่ชายหนุ่มรู้สึกว่า… นั่นไม่น่าพอใจเท่าไหร่ ดังนั้นจึงยกหัวกะโหลกจื้อเซียนขึ้นและชี้ไปทางถังรั่วเวย

“ตาแก่ มันเกิดอะไรขึ้นกับชุดเกราะนั่น? เหตุใดข้าถึงรู้แปลก ๆ กับภาพลักษณ์ของนาง?”

ไฟสีเขียวในดวงตาจื้อเซียนสั่นไหวอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าว

“หืม? นี่ไม่ใช่เกราะปฐพีจากโลกวิญญาณหรอกหรือ? เจ้าสวมมันได้อย่างไร?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถังรั่วเวยรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย ไป๋ชิวหรานเลยถามอีกครั้ง

“เกราะนี้มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”

“ไม่มี”

จื้อเซียนตอบ

“แต่ชุดเกราะนี้แค่ออกแบบมาเพื่อบุรุษ!”