บทที่ 134 ไปเยี่ยมเฒ่าไวลด์

เจ้าของร้านพิศวง

แต่เดิม หลินเจี๋ยบอกโจเซฟว่าเขาไม่มีที่อยู่ของไวลด์

อันที่จริงนี่เป็นเรื่องโกหก

ทว่าการปกป้องความเป็นส่วนตัวของลูกค้านั้นเป็นจรรณยาบรรณของทุกธุรกิจ แม้ว่าเขาจะศึกษานิทานพื้นบ้าน แต่การเปิดร้านหนังสือหมายความว่ามันก็มีหลักการกลุ่มหนึ่งที่เขาต้องทำตามด้วย

หลังจากคล็อดกลับไป หลินเจี๋ยก็นำแฟ้มข้อมูลลูกค้าออกมาแล้วเริ่มหาที่อยู่และข้อมูลติดต่อของไวลด์…

แม้ว่าแฟ้มข้อมูลลูกค้าจะไม่ได้หนานัก ปกติไวลด์มักจะถือหนังสือไว้นานก่อนจะนำพวกมันมาคืน หลินเจี๋ยจำได้เพียงว่าเขาจดข้อมูลที่เกี่ยวข้องบางอย่างไว้ในใบข้อมูลในตอนที่ไวลด์มายืมหนังสือครั้งแรก แต่นั่นเป็นเพียงความทรงจำที่เลือนราง และเขาก็จำเนื้อหาของมันไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องมาพลิกหน้าแฟ้มหาใหม่

ในที่สุดหลินเจี๋ยก็เจอเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของไวลด์ที่เขียนไว้เมื่อสองปีก่อนเมื่อเขาพลิกจากหน้าล่าสุดมาจนถึงหน้าแรก

“ซอยที่ 387… นั่นใกล้กับเขตล่างเลยแฮะ เฒ่าไวลด์อยู่เสียตั้งไกล การมาที่นี่ได้นี่ลำบากเขาน่าดู” หลินเจี๋ยรำพึง

ระยะห่างขนาดนี้ต้องใช้เวลาสามถึงสี่ชั่วโมงต่อให้มาทางรถยนต์ ถึงอย่างนั้นเฒ่าไวลด์ก็ยังถ่อมาถึงที่นี่แค่เพื่อมาหาหนังสืออ่าน นี่ทำให้หลินเจี๋ยยิ่งเป็นห่วงชายชราผู้โดดเดี่ยวนี้ยิ่งขึ้นไปอีก

เมื่อไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้คาดหวังมากนัก คนเราก็อาจจะอ่อนไหวจนถูกคนอื่นหลอกได้ง่าย

สุดท้ายหลินเจี๋ยก็ตัดสินใจว่าตัวเองจะไม่โทรหาไวลด์ เพราะเขายังไม่รู้ว่าไวลด์มีความเกี่ยวข้องกับเจ้า ‘งานเลี้ยงโลหิต’ นี่ไหม เขาอาจจะทำให้ไวลด์แตกตื่นโดยไร้เหตุผลได้ถ้าจู่ ๆ เขาโทรหาอย่างไม่มีปีไม่มีขลุ่ย

เขาจะไปเยี่ยมแล้วตรวจสอบสภาพของเฒ่าไวลด์ก่อนจะตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อ

มันคงไม่เป็นเรื่องใหญ่โตนักหากเฒ่าไวลด์ยังมีเหตุผลอยู่ แต่ถ้าบังเอิญว่าเขาไม่อยู่บ้าน หลินเจี๋ยก็ตัดสินใจว่าจะรออีกสองสามวันแล้วดูว่ามีเบาะแสว่าเขาช่วยองค์กรอาชญากรนี้ไหม

ด้วยความที่ตอนนี้มีมูเอนเฝ้าร้านให้แล้ว หลินเจี๋ยก็สามารถจะออกเดินทางไปไกลกว่าเดิมและนานกว่าเดิมแล้วในตอนนี้

ถ้าเฒ่าไวลด์ถูกล้างสมองแล้วกลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งขององค์กรอาชญากรไปจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นหลินเจี๋ยก็จะทำทุกอย่างเพื่อล้างสมองเขากลับมา…

แน่นอนว่าหลินเจี๋ยก็พิจารณาถึงความเป็นไปได้ว่านี่จะเป็นการเดินทางเสี่ยงอันตรายเอาไว้แล้ว แต่แน่ใจว่าเฒ่าไวลด์จะมาหาเขาก่อนหากเขาทำอะไรไม่ถูกและมีความเคลือบแคลง

ในตอนนี้ เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันมากและหลินเจี๋ยก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรจากอีกฝ่ายเลย เพราะฉะนั้น เฒ่าไวลด์อาจมีแผนของตัวเองและอยู่ในสถานการณ์มั่นคง ก็เขาไม่มีเวลาขอความช่วยเหลือจากใครและตกสู่เงื้อมมือของพวกเขาไปแล้ว

ไม่ว่ากรณีใดก็เป็นสถานการณ์ที่เป็นไปได้สองอย่าง ก็คือปรากฏว่าเรื่องไปได้สวยโดยหลินเจี๋ยไม่ต้องช่วย หรือหลินเจี๋ยต้องไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

แม้มันอาจจะอันตรายสักหน่อย แต่เราก็พอมีทักษะป้องกันตัวถ้าต้องเผชิญกับคนทั่วไปแล้วในตอนนี้ จากที่ซิลเวอร์ว่า

หลินเจี๋ยวางปากกาลงแล้วลูบคางครุ่นคิด

ผลไม้นั่นจากก่อนหน้านี้…อืม…ไม่รู้เลยแฮะว่ามันเปลี่ยนร่างกายเรายังไง มันรู้สึกเหมือนเราแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ก็ไม่รู้สึกผิดแปลกอย่างอื่นเลย

วิชาดาบนั้นมีประสิทธิภาพในการต่อสู้จริง เราจะให้มูเอนทำกล่องไวโอลินให้แล้วเราจะเอาดาบศักดิ์สิทธิ์แคนเดลาไปด้วย…หลังจากเราบรรลุวิชาดาบแล้ว ซิลเวอร์จะบอกเราได้ถึงประวัติศาสตร์ยุคที่สอง เราอยากให้ถึงตอนนั้นจริง ๆ

ปัญหาก็คืออีเธอร์พวกนี้ที่ไม่ถูกจัดเก็บนี่แหละ เราต้องสร้างแดนนิมิตของตัวเองให้ได้ แต่ความคืบหน้าก็ช้าเหลือเกิน

การฝันนั้นง่าย แต่การสร้างความฝันที่ชัดเจนแจ่มแจ้งราวกับตื่นอยู่จริง ๆ นี่…เป็นงานที่ยากชะมัดเลย เราสงสัยจริง ๆ ว่าซิลเวอร์จงใจให้เราใช้วิธีที่ยากที่สุดหรือเปล่า

หลินเจี๋ยเริ่มจัดเรียงปัญหาที่เขามีอยู่ หลังจากครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอยู่นาน ชายหนุ่มก็ตระหนักว่ามันค่อนข้างดึกแล้ว เขาถอนหายใจแล้วส่ายหน้าก่อนจะเดินขึ้นชั้นสองเพื่อไปนอน

ในคืนนี้ เขาก็ได้พบซิลเวอร์ในความฝันอีกครั้ง

ความมืดมาเหมือนปกติ ตามมาด้วยเกล็ดหิมะที่พริ้วลอย

ในช่วงไม่กี่ค่ำคืนที่ผ่านมา หลินเจี๋ยก็เรียนวิชาดาบและการสร้างแดนนิมิตจากซิลเวอร์อย่างต่อเนื่อง

หลังจากบอกซิลเวอร์ถึงปัญหาและความเคลือบแคลงของเขา เธอก็ตอบง่าย ๆ แค่ว่าเธอไม่รู้ว่ามนุษย์สัมผัสและใช้งานอีเธอร์อย่างไร เธอเลยสอนวิธีของตัวเธอเองให้แทน ด้วยเชื่อว่าหลินเจี๋ยจะทำอย่างนั้นได้

หลินเจี๋ยมักจะคิดว่าซิลเวอร์เป็นอาจารย์ที่ไร้ความรับผิดชอบที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา

เขายังพบด้วยว่าซิลเวอร์ไม่ใช่มนุษย์ แต่ซิลเวอร์ไม่บอกว่าเธอคืออะไร

แน่นอนว่าหลินเจี๋ยยังคงให้ความเคารพต่อซิลเวอร์ตลอดมา เพราะถึงอย่างไรเขาก็อยู่ในความฝันของซิลเวอร์และต่อสู้กับเหล่าสัตว์ประหลาดแล้ว สัตว์ประหลาดที่ถูกเธอควบคุมน่ะนะ…

ถ้าซิลเวอร์ไม่ชอบใจ หลินเจี๋ยจะตื่นขึ้นในวันพรุ่งนี้ด้วยร่างกายที่เมื่อยขบ

ซิลเวอร์ใช้ความจริงที่ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในความฝันนี้จะมีผลสะท้อนบางส่วนสู่ความเป็นจริงด้วยเป็นเครื่องมือที่เพิ่มความฮึกเหิมให้หลินเจี๋ย และไม่เข้าใจว่าทำไมหลินเจี๋ยจึงคิดว่ามันแปลก

ทว่าในที่สุด หลินเจี๋ยก็สร้างพิมพ์เขียวแรกของแดนนิมิตของตนเองโดยใช้วิธีนี้ได้แล้ว

บางค่ำคืนช่างน่าเหน็ดเหนื่อยสุดขีด และบางคืนก็ยิ่งกว่านั้นอีก ดังนั้นหลินเจี๋ยจึงตัดสินใจพักสักหน่อยในช่วงกลางวันซึ่งทำให้เขาดูเหมือนเป็นตัวขี้เกียจที่นอนกินบ้านกินเมืองมันได้ทั้งวัน

เรื่องนี้ดำเนินต่อจนกระทั่งมูเอนทำกล่องใส่ไวโอลินที่มีขนาดเหมาะสมจะใส่ดาบศักดิ์สิทธิ์ได้เสร็จสิ้น

หลินเจี๋ยสั่งให้มูเอนเฝ้าร้านแล้วสอนวิธีการช่วยลูกค้าในการส่งต่อหนังสือก่อนที่ในที่สุดจะออกเดินทางไปช่วยเฒ่าไวลด์

ในตอนที่หลินเจี๋ยก้าวออกไปแล้วหันไปข้าง ๆ นั้นเอง เขาก็สังเกตเห็นเถาวัลย์งอกเลื้อยไปบนกำแพงแล้วขดเป็นข้อความในตรอกมืดใกล้ ๆ

“ทางนี้”

แล้วเถาวัลย์เขียว ๆ พวกนั้นก็รวมตัวกันเป็นลูกศรที่ชี้ไปทางตรอกนั้นจริง ๆ

“เจ้าดำ?”

หลินเจี๋ยเข้าใจทันทีว่าเจ้าดำได้มาช่วยเขาอีกครั้งแล้ว

“ดูเหมือนว่าเจ้าดำจะโผล่มาบ่อยขึ้นในช่วงนี้ และดูเต็มใจช่วยเหลือสุด ๆ เลยแฮะ”

เขาตระหนักว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่างที่ทำให้เจ้าดำปลื้มใจมาก ๆ ในช่วงนี้แน่ ๆ

ช่วงนี้หลินเจี๋ยไม่ได้โปรโมตหนังสือของตัวเองเลย แต่เขาได้นำทางจูนิเบียวหนุ่มน้อยฮู้ดและแก๊งนอกลู่นอกทางของเขาให้เข้าที่เข้าทาง

แถมคุณพ่อวินเซนต์ที่จมดิ่งในอาการติดยาก็ได้พบความหวังใหม่ แล้วตอนนี้เขาก็ออกตามหาความจริงจากการพูดสร้างแรงบันดาลใจของตัวเองแล้วด้วย

ดูเหมือนเจ้าดำจะเห็นดีเห็นงามกับวิธีของเราแล้วอยากให้เราทำต่อนะ…

หลินเจี๋ยคิดกับตนเองพลางเดินเข้าไปในตรอก

สิ่งแวดล้อมเขากลายเป็นสีดำสนิทในทันที แต่สองก้าวถัดมา ความมืดนั้นก็สลายไปแล้ว ประตูที่ดูเหมือนจะเป็นของคฤหาสน์หลังย่อมก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

หลินเจี๋ยเลิกคิ้ว ดูเหมือนว่าพลังของเจ้าดำให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับเมื่อตอนที่เขาย้ายมาที่โลกนี้เลย

ช่างมันเถอะ…เขาตัดสินใจแล้วว่าเขาจะตรวจสถานการณ์ของเฒ่าไวลด์ก่อน

หลินเจี๋ยเอื้อมมือไปเคาะประตู

ไวลด์เพิ่งจะเริ่มดำเนินพิธีบูชายัญรอบใหม่ด้วยเลือดสด ๆ และแขนขาที่ชำแหละออกมาจากร่างของอสูรมายา และที่ใจกลางของแท่นพิธีก็เป็นร่างที่กลายพันธุ์อุบาทว์ตาของเฮริส

ก๊อก ๆ

ใบหน้าของไวลด์ซีดในทันที เขาไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของอีเธอร์เลย แล้วใครจะปรากฏหน้าประตูบ้านเขาอย่างลึกลับและไร้ที่มาที่ไปได้?!

เขาโบกมือ แล้วภาพที่หน้าประตูบ้านเขาก็ปรากฏบนอากาศตรงหน้าเขา

ชายหนุ่มผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยนผู้หนึ่งที่ถือกล่องยาวปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ แล้วจากนั้นก็เคาะประตู

“เจ้าของร้านหลิน?! เขามาที่นี่ทำไม? หรือเพราะว่าแผนลับของเรากันนะ?”

ไวลด์ผงะไปชั่วขณะ แล้วเขาก็จำได้ว่ามือของเขายังเปรอะไปด้วยเลือดและบ้านก็ดูคับแคบไปสักหน่อย…และไม่เหมาะกับการมาเยี่ยมเยียนนี้เลย