ตอนที่ 177 อสูรเฒ่ามู่สุ่ยชิง!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

มู่สุ่ยชิงกล่าวจบก็สัมผัสพลังปราณในร่างกายหลิงหลานอย่างจริงจัง ใบหน้าแสดงอารมณ์ผิดปกติออกมาแวบหนึ่ง “ดี สมกับที่เป็นลูกของหลิงเซียวจริงๆ ไม่นึกเลยว่าอายุเท่านี้ก็มาถึงจุดสูงสุดของพลังปราณได้แล้ว…” บางทีนี่ก็อาจจะเป็นสาเหตุที่หลิงหลานโชคดีหลบหนีเภทภัยนี้มาได้ ยอดฝีมือระดับเขตแดนที่ลงมือคนนั้นอาจจะนึกไม่ถึงว่าหลิงหลานมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ได้ทุ่มสุดตัวลงมือสังหารตั้งแต่เริ่มแรก ทำให้หลิงหลานได้รับโอกาสรอดมาสายหนึ่ง หนีออกมาได้อย่างราบรื่น

มู่สุ่ยชิงมองหลิงหลานในแคปซูลรักษาด้วยแววตาอ่อนโยน นี่เป็นโชคดีของหลิงหลานอย่างไม่ต้องสงสัย เขากำลังคิดจะปิดแคปซูลรักษา ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ว่าพลังปราณของหลิงหลานที่เดิมทีโคจรช้าๆ ก็รวดเร็วขึ้นทันใด พลังปราณกำลังสะสมอย่างรวดเร็ว…หรือว่าตอนนี้หลิงหลานกำลังจะเข้าสู่ช่วงปลายของจุดสูงสุดแล้วเหรอ? นี่คือการรอดจากภัยพิบัติย่อมได้รับความสุขในภายภาคหน้าจริงๆ

มู่สุ่ยชิงปิดแคปซูลรักษาเบาๆ เขากล่าวเตือนหลานลั่วเฟิ่งว่า “จำไว้ว่าห้ามเปิดแคปซูลรักษาช่วงเวลานี้ เด็กคนนี้โชคดีอย่างยิ่ง ได้รับตัวเร่งในการเลื่อนความสามารถภายใต้เภทภัยใหญ่หลวงนี้…บางทีอาจเป็นเพราะอาการบาดเจ็บสาหัสบนตัวเขาทำให้ลดเวลาการเลื่อนขั้นในครั้งนี้ให้สั้นลงมากๆ”

คำพูดของมู่สุ่ยชิงทำให้ในใจหลานลั่วเฟิ่งรู้สึกโล่งอก ถึงแม้ว่าหลิงหนานอีจะปลอบใจเธอมาตลอดว่าอาการบาดเจ็บของหลิงหลานดูเหมือนสาหัส แต่ความจริงแล้วไม่มีปัญหาใหญ่เลย ทว่าเธอก็ไม่สามารถวางใจได้ ยังรู้สึกกังวลอยู่ดี แต่มู่สุ่ยชิงไม่เหมือนกัน เขาเป็นอาจารย์ที่หลิงเซียวเคารพอย่างยิ่ง คำพูดของเขาไม่มีทางผิดพลาด

มู่สุ่ยชิงครุ่นคิดแล้วก็กล่าวต่อว่า “หลังจากที่อาการบาดเจ็บครั้งนี้หายดีแล้ว เธอก็ให้หลิงหลานหยุดเรียนกลับมาที่คฤหาสน์ สิ่งที่สถาบันลูกเสือควรสอนก็สอนไปหมดแล้ว มันถึงเวลาให้เขาเรียนรู้กับฉันแล้ว…”

“อา….” หลานลั่วเฟิ่งเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจแกมยินดี “ฉันทราบแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ อาจารย์มู่!”

หลานลั่วเฟิ่งจำได้ว่าหลิงเซียวเคยเล่าให้เธอฟังว่า การที่เขาสามารถเลื่อนขั้นเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะได้อย่างราบรื่นเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มู่สุ่ยชิงสอนเขาในตอนนั้น เพียงแต่หลิงเซียวไม่เคยอธิบายมาก่อนว่ามู่สุ่ยชิงสอนอะไรเขากันแน่ คราวนี้หลิงหลานได้เรียนกับอาจารย์มู่สุ่ยชิง ย่อมมีประโยชน์กับการพัฒนาในอนาคตของเธออย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อเห็นหลานลั่วเฟิ่งทำหน้าตื่นเต้นยินดี มู่สุ่ยชิงก็อดนึกถึงหลิงเซียว ลูกศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของเขาไม่ได้ สีหน้าของเขาดูผิดหวังขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาจำได้ว่าตอนที่พบหลิงเซียวเป็นครั้งแรก เขาดีใจแทบบ้า คิดว่าอีกฝ่ายสามารถสืบทอดวิชาของเขาได้ มีลูกศิษย์แบบนี้สักคน ชาตินี้เขาก็ไม่เสียใจแล้ว

แต่เคยคิดที่ไหนว่า อีกฝ่ายกลับตายก่อนวัยอันควร โรยราจากโลกใบนี้ไปก่อน ทำให้เขาเจ็บปวดใจในขณะเดียวกันก็สงสัยว่า ไม่ใช่ว่าสวรรค์ไม่อนุญาตให้มีตัวตนของอัจฉริยะฝ่าฝืนกฎธรรมชาติอยู่หรอกนะ…หัวใจของเขาราวกับตายไปแล้ว ดังนั้นจึงเลือกขังตัวอยู่ในคฤหาสน์ของหลิงเซียว ไม่สนใจโลกหล้านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะหลิงฉินคุกเข่าอ้อนวอนอยู่หน้าประตูเขา ขอร้องให้เขาออกหน้าช่วยเหลือสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของหลิงเซียว เขาก็คงไม่สะเทือนใจแล้วเลือกออกมาจากการเก็บตัวหรอก ความจริงแล้วเขาอยากเห็นลูกที่หลิงเซียวทิ้งไว้เพียงหนึ่งเดียวมากจริงๆ…

ไม่นึกเลยว่าเห็นครั้งแรกก็ทำให้เขาตื่นเต้นอีกครั้ง ถึงแม้ว่าหลิงเซียวจะลาจากโลกไปแล้ว แต่คุณสมบัติที่ฝ่าฝืนกฎธรรมชาติของเขาไม่ได้ถูกสวรรค์เก็บกลับไปด้วย หากแต่ถ่ายทอดลงมาที่ลูกของเขาที่เป็นอัจฉริยะเช่นเดียวกัน นี่ทำให้หัวใจที่เดิมทีราวกับตายไปแล้วของเขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่…เขามีความปรารถนาอยากจะสั่งสอนลูกศิษย์อีกครั้ง

“หวังว่าเด็กคนนี้จะเติบโตได้อย่างราบรื่น ไม่ให้โศกนาฎกรรมของหลิงเซียวเกิดขึ้นซ้ำสอง…” เขาไม่อาจทนรับโศกนาฎกรรมที่ลูกศิษย์จากไปโดยไม่คาดฝันได้แล้ว นี่มันโหดร้ายต่อเขามากเช่นกัน

……….

เวลานี้ ผู้อำนวยการที่กำลังนั่งอยู่ในห้องผู้อำนวยการพลันได้รับข้อความที่ส่งมาจากหน่วยหุ่นรบวิทยาเขตที่ปกป้องความปลอดภัยของสถาบัน

“ว่าไงนะ? นายบอกว่าหน่วยหุ่นรบของตระกูลหลิงเข้าใกล้เขตห้ามบินของสถาบัน?” ผู้อำนวยการที่เดิมทีกลัดกลุ้มกังวลเรื่องยอดฝีมือระดับเขตแดนที่หายตัวไปอย่างลึกลับ เวลานี่ได้ยินข่าวร้ายนี้อีกก็โกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง “เชี่ยอะไรเนี่ย? ตระกูลหลิงคิดจะกบฏเหรอ?”

“ผู้อำนวยการ ได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า หลิงหลาน ผู้นำตระกูลหลิงคนปัจจุบันของพวกเขาถูกลอบโจมตีโดยอาจารย์ระดับเขตแดนลึกลับในสถาบัน ถึงแม้ว่าจะโชคดีหนีรอดมาได้ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสหมดสติไปแล้ว พวกเขาจึงต้องรีบมารับผู้นำตระกูลของพวกเขาไปเพื่อปกป้องความปลอดภัยของผู้นำตระกูลพวกเขา…” หัวหน้าหน่วยหุ่นรบที่อยู่อีกฝั่งของอุปกรณ์สื่อสารเอ่ยด้วยความกลุ้มใจอย่างมาก “เห็นได้ชัดว่าความหมายในคำพูดของพวกเขาคือ ตำหนิสถาบันของเราว่าไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องนักเรียน ถึงขนาดพูดเสียงแข็งหวังว่าท่านผู้อำนวยการจะมอบคำอธิบายที่น่าพอใจให้กับคุณนายของพวกเขา!”

“ยอดฝีมือระดับเขตแดนลอบโจมตี?” ผู้อำนวยการตระหนักอะไรบางอย่างได้ทันที เขาพลันเอ่ยว่า “ ใครเป็นคนนำหน่วยหุ่นรบตระกูลหลิงมา? บอกให้เขาใจเย็นลง อย่าหุนหันทำเรื่องใหญ่…”

หัวหน้าทีมหน่วยหุ่นรบตอบด้วยรอยยิ้มขื่นว่า “เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหา คนที่พาหน่วยรบตระกูลหลิงมาคือ หลิงฉิน! หมอนั่นเป็นคนคิดก่อนทำ…”

ผู้อำนวยการได้ยินว่า หลิงฉินเป็นคนนำหน่วยรบ หัวคิ้วก็คลายลง แต่ก็กลับมาขมวดแน่นอย่างรวดเร็ว!

“หมอนี่ ดูเหมือนว่าบีบให้ฉันออกหน้าจัดการเรื่องนี้!” ผู้อำนวยการเข้าใจทันทีว่าหลิงฉินแสดงท่าทีใช้กำลังบีบบังคับเพื่ออะไร น่าเสียดายที่เขาจำเป็นต้องทำตามความคิดของอีกฝ่าย เพราะว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของสถาบันพวกเขาจริงๆ นักเรียนได้รับบาดเจ็บสาหัสในสถาบันพวกเขา นอกจากนี้ยังถูกลอบโจมตีโดยยอดฝีมือระดับเขตแดนลึกลับที่ไม่รู้สถานะตัวตนด้วย…ไม่ว่าจะพูดยังไง สถาบันของพวกเขาก็ต้องให้คำอธิบาย!

ผู้อำนวยการกล่าวด้วยความจนใจว่า “นายบอกหลิงฉินว่า ฉันจะไปพบคุณนายของพวกเขาทันที หลังจากที่เข้าใจสถานการณ์แล้ว เราจะให้คำตอบแก่พวกเขาแน่นอน”

หัวหน้าหน่วยหุ่นรบถ่ายทอดคำตอบของหลิงฉินอย่างรวดเร็ว “ผู้อำนวยการ หลิงฉินตกลงแล้ว แต่อีกฝ่ายให้เวลาพวกเราแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น ถ้าเกิดไม่ได้รับคำตอบสุดท้าย ต่อให้พวกเขาต้องสู้รบจนตัวตายที่นี่กันหมด พวกเขาก็จะฝ่าเข้ามาครับ”

“เชี่ย หมอนี่กำลังขู่ฉันชัดๆ ระยำจริงๆ!” ผู้อำนวยการโมโหจนแทบระเบิด แต่เขากลับตำหนิอะไรไม่ได้ ถ้าหากเขาอยากให้คำอธิบายจริงๆ เวลาหนึ่งชั่วโมงก็เพียงพอให้เขาค้นหาความจริงของเรื่องนี้ให้กระจ่าง “ฉันรู้แล้ว ฉันจะให้คุณนายของพวกเขาติดต่อพวกเขาภายในหนึ่งชั่วโมง”

ผู้อำนวยการวางสายอุปกรณ์ ความโกรธพุ่งเข้าใส่หัวใจ…หรือว่ายอดฝีมือระดับเขตแดนลึกลับพวกนั้นจะเป็นคนที่ศัตรูส่งมาเพื่อจัดการหลิงหลานจริงๆ?

“บัดซบ หลังจากที่วางแผนใส่หลิงเซียวแล้ว ยังคิดจะจัดการลูกของหลิงเซียวด้วยเหรอ?” ผู้อำนวยการคิดถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ ก็ไม่สามารถข่มกลั้นความเดือดดาลในใจได้อีก กำปั้นของเขาชกใส่โต๊ะทำงานตรงหน้าอย่างหนักหน่วง

หมัดนี้ผสมผสานด้วยความโกรธและพลังแฝงของผู้อำนวยการ ซัดใส่โต๊ะหนังสือขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้แดงเก่าแก่หนึ่งพันปีจนพังลงทันใด เสียงตูมดังขึ้น โต๊ะทั้งตัวทลายลงตรงนั้นกลายเป็นเศษซากกองหนึ่งฉับพลัน

“ท่านผู้อำนวยการ คุณจะไปไหนครับ?” ซู่ชิงที่อยู่ในห้องโถงด้านนอกซึ่งเป็นเขตควบคุมของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักกำลังจดจ่อกับการตรวจตราพื้นที่ทุกแห่งเห็นผู้อำนวยการพุ่งออกมาจากห้องผู้อำนวยการอย่างกระหืดกระหอบ เขาก็รีบลุกขึ้นถามด้วยความตกใจ

“ซู่ชิง ยอดฝีมือลึกลับระดับขอบเขตพวกนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าเป้าหมายของพวกเขาคือหลิงหลาน พวกมันอยากฆ่าเขา…” เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ช่วยคนสำคัญที่ตัวเองเชื่อใจ ผู้อำนวยการก็บอกการคาดเดาของเขาออกมาทันที

สีหน้าของซู่ชิงเปลี่ยนไป นอกจากผู้อำนวยการแล้ว คนที่รู้สถานะที่แท้จริงของหลิงหลานในสถาบันก็มีแค่เขาเท่านั้น เขารู้ว่าหลิงหลานเป็นเชื้อสายเพียงหนึ่งเดียวของพลตรีหลิงเซียว

“ผู้อำนวยการ ผมไปด้วยครับ!” ซู่ชิงสะกดกลั้นความโกรธในใจอย่างยากลำบาก เตรียมตัวจะรุดหน้าตามไปด้วย

“ไม่จำเป็น นายจับตามองการต่อสู้ประจัญบานให้ฉันที อย่าให้อีกฝ่ายฉวยโอกาสนี้จับปลาในน้ำขุ่นเป็นอันขาด” ถึงแม้ว่าผู้อำนวยการจะเป็นห่วงหลิงหลานมาก แต่เขาเป็นผู้อำนวยการของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ เขาต้องรับผิดชอบนักเรียนทุกคน ไม่อาจให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันในการต่อสู้ประจัญบานเด็ดขาด

“เข้าใจแล้วครับ ผู้อำนวยการ!” ซู่ชิงรู้น้ำหนักของเรื่องราวดีจึงรับคำสั่งด้วยใบหน้าที่เผยความเสียใจออกมา

ผู้อำนวยการจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็รีบมายังเขตที่พัก เนื่องจากเขตความปลอดภัยถูกการจำกัดควบคุมโดยออปติคัลคอมพิวเตอร์หลัก คนที่ถูกขับไล่ออกมาคือ นักเรียนสองชั้นปีที่เข้าร่วมการต่อสู้ประจัญบาน คนที่มีสถานะอย่างผู้อำนวยการยังสามารถเข้าได้อย่างอิสระ แน่นอนว่าพวกอาจารย์ทั่วไปคิดจะเข้าออกเขตปลอดภัยในช่วงเวลาการต่อสู้ประจัญบานก็ไม่ถึงกับง่ายดายขนาดนั้น การจำกัดควบคุมของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักยังคงมีมากมาย

เขามาถึงบ้านพักของหลิงหลานก็เข้าประตูหลักไป จากนั้นก็เห็นหญิงสาวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นเยียบกำลังนั่งอยู่บนโซฟาของห้องรับแขก เธอก็คือหลานลั่วเฟิ่ง แม่ม่ายของหลิงเซียว มารดาของหลิงหลาน และก็มีแม่บ้านของบ้านพักแห่งนี้ซึ่งลงทะเบียนในแฟ้มของสถาบันว่า หลิงหนานอี กำลังยืนอยู่ด้านหลังเธอ

“สิบห้านาที ท่านผู้อำนวยการมาถึงเร็วมากเลยนะคะ” หลานลั่วเฟิ่งปิดนาฬิกาพกในมือฉับพลัน เอ่ยกับผู้อำนวยการอย่างเย็นชา เธอได้รับข้อความของหลิงฉินแล้ว หน่วยรบของตระกูลหลิงมาถึงชายขอบเขตห้ามบินของสถาบันแล้ว รอคอยแค่คำสั่งสุดท้ายของเธอเท่านั้น

ผู้อำนวยการเห็นฉากนี้ก็ขยี้จมูก รู้สึกจนปัญญาอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไงดี เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยถามอย่างขมขื่นอยู่บ้างว่า “หลิงหลาน…ยังดีอยู่ใช่ไหม!”

“ขอบคุณในความเป็นห่วงค่ะ ตอนนี้เขากำลังนอนอยู่ในแคปซูลรักษา เกือบจะไม่รอดแล้วค่ะ” น้ำเสียงของหลานลั่วเฟิ่งแหลมคม ไม่ไว้หน้าผู้อำนวยการเลยสักนิดเดียว

“ไม่เป็นไรก็ดี ไม่เป็นไรก็ดี!” เด็กเกิดเรื่องขึ้นในสถาบัน สถาบันของพวกเขาก็ต้องรับผิดชอบ ผู้อำนวยการได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บช้ำยอมรับความโกรธเกรี้ยวของหลานลั่วเฟิ่งทั้งหมด

“อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือระดับเขตแดนธาตุน้ำ เครื่องแบบที่สวมคือชุดเครื่องแบบอาจารย์ของสถาบัน…เยี่ยอีฝาน เธอต้องให้คำอธิบายกับพวกเราใช่ไหม?” เสียงโรยราดังมาจากด้านบนของห้องโถง ผู้อำนวยการใจกระตุก มองไปตามเสียงนั้น และก็เห็นชายชราผอมผมขาวเดินลงมาจากบันไดช้าๆ เขาก้าวเดินช้าๆ ทว่าหนักแน่นมั่นคง

เมื่อเห็นชายชราแวบแรก ท่านผู้อำนวยการเด้งตัวขึ้นมาทันทีราวกับถูกทำให้ตกใจ และเอ่ยด้วยความเคารพว่า “อาจารย์มู่!”

“เหอะ ยังจำได้ว่าฉันเป็นอาจารย์ของเธออีกเหรอ? ฉันคิดว่าเธอลืมไปแล้วเสียอีก…” มู่สุ่ยชิงแค่นเสียงเย็นด้วยความไม่พอใจ เยี่ยอีฝานเป็นนักเรียนที่โดดเด่นช่วงแรกของเขา เพียงแต่พอมาให้หลัง ความคิดของพวกเขาไม่ตรงกันจึงค่อยๆ แยกห่างกัน

ผู้อำนวยการลอบปาดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก สีหน้าเปลี่ยนไปไม่สงบ แววตาฉายความครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งออกมาแวบหนึ่ง มู่สุ่ยชิงเป็นอาจารย์แรกเริ่มตอนเขายังหนุ่ม ห้าสิบปีก่อนเขาเป็นยอดฝีมือระดับเขตแดน ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ เขาน่าจะเข้าสู่อีกขั้นแล้วละมั้ง…

ผู้อำนวยการเป็นคนคิดเยอะ พอเห็นมุ่สุ่ยชิงปรากฏตัวขึ้นที่นี่ เขาก็เริ่มสงสัยว่าอีกสองคนที่ถูกเรียกว่ายอดฝีมือระดับเขตแดนจะเป็นสิ่งที่มู่สุ่ยชิงแปรสภาพขึ้นมาหรือเปล่า? ในตำนานบอกว่ายอดฝีมือเขตเทวะสามารถแปรสภาพพลังงานธาตุใดๆ ก็ได้ตามใจนึก…

อันที่จริงจะโทษผู้อำนวยการที่คิดแบบนี้ไม่ได้ ในสายตาของเขา ต่อให้หลิงหลานแข็งแกร่งอีกสักแค่ไหน ก็เป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถต้านท้านการโจมตีเดียวของยอดฝีมือระดับเขตแดนได้เลย ถ้าไม่ใช่มู่สุ่ยชิงลงมือช่วยเหลือ หลิงหลานไม่อาจหนีรอดจากในเงื้อมมือของยอดฝีมือระดับเขตแดนได้แน่นอน

ยอดฝีมือระดับเขตแดนคิดจะฆ่าลูกเสือคนหนึ่งก็ง่ายดายราวกับบี้มด จะให้หลิงหลานมีโอกาสหนีรอดง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไง

…………………………………..