ตอนที่ 166 มีเวลาว่าง ยิ้มและหัวเราะ (3)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 166 มีเวลาว่าง ยิ้มและหัวเราะ (3)

ในเวลาเดียวกันที่ลมพัดแขนเสื้อและผมสีนิลของหนิงเซ่าชิง ก็พัดหิมะบนต้นไม้ที่ยังไม่ละลาย ปลิวว่อนร่ายรำอยู่กลางอากาศ

ต้นไม้ใหญ่ ลานในเรือน ลมพัดผ่าน หิมะโปรยปราย บุรุษรูปงามผู้มีความงามที่ล้ำลึก ดูแล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน…

ตอนรถม้าไปถึง มือใหญ่เรียวยาวทั้งสองข้างของหนิงเซ่าชิง ไขว้อยู่ด้านหลังไม่ได้หันมามอง กลับกลายเป็นมั่วเชียนเสวี่ยที่มองเขาจนลุ่มลง ตอนที่เดินออกมาจากรถม้านางนิ่งงันครู่หนึ่ง

ตอนมั่วเชียนเสวี่ยเดินไปใกล้ หนิงเซ่าชิงเพิ่งหันกลับมา จับจ้องนาง ดวงตาลึกล้ำอย่างหาที่เปรียบไม่ได้มีความถวิลหาพลุ่งพล่าน…

มั่วเชียนเสวี่ยเห็นท่าทีลุ่มลึกของเขา นึกบทกวีขึ้นได้กะทันหัน ยิ้มตาหยีมองไปที่เขาแล้วพูด “ถึงวันปีใหม่แล้วทว่าบุปผายังไม่เบ่งบาน เดือนสองพานพบต้นกล้าด้วยความประหลาดใจ หิมะขาวโพลนวสันต์มาเยือนช้ายิ่งนัก จึงแปลงเป็นบุษบาร่ายรำกับต้นไม้ในลานบ้าน”

หนิงเซ่าชิงฟังนางพูด ยิ้มแล้วเดินไปจับมือของนาง เลิกคิ้วขึ้นพูด “ฮูหยินแต่งกลอนกวีเป็นด้วยหรือ”

มีอาซานและอาอู่อยู่ มีถงจื่อจิ้งและบ่าวรับใช้อยู่ เมื่ออยู่ด้านนอกหนิงเซ่าชิงล้วนจะเรียกนางว่าฮูหยิน มีเพียงตอนที่อยู่กันสองคน เขาจึงจะเปลี่ยนสรรพนามในการร้องเรียก

ปกติยามเสวนากัน จะเรียกนางว่าเชียนเสวี่ย ยามรักใคร่จะเรียกนางเสวี่ยเอ๋อร์ ยามหยอกล้อจะเรียกนางเสวี่ยเสวี่ย…

“ข้าแต่งกลอนกวีไม่เป็น แต่ว่าในอดีตคล้ายจะเคยเรียนสองสามบท ท่องจำได้บ้าง” มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มร่า

“อืม ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง สามารถท่องกลอนกวีได้ก็ไม่เลว” หนิงเซ่าชิงยิ้มบางๆ “กลอนที่ฮูหยินอ่านเมื่อครู่ความหมายลึกซึ้ง น่าจะเป็นผลงานของผู้เลื่องชื่อ เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่ทราบว่านักปราชญ์ท่านใดเป็นคนแต่ง”

“เอ่อ…ข้าเองก็ลืมแล้ว” มั่วเชียนเสวี่ยชะงัก นางจำได้ว่ากลอนนี้เป็นคือกลอนวสันต์หิมะของหานอวี้ แต่หากนางบอกว่าเป็นหานอวี้ เช่นนั้นหนิงเซ่าชิงก็ต้องถามอีกว่าหานอวี้คือผู้ใดอีกกระมัง เช่นนั้นบอกว่าลืมไปแล้วจะได้จบปัญหา

ขณะมั่วเชียนเสวี่ยพูด หลังจากหมิงเย่วห์และไฉ่สยาเดินลงจากรถม้าเห็นพวกนางมองดูรอบๆ ด้วยความสงสัยใคร่รู้ ทว่ายังคงยืนอย่างมีระเบียบเรียบร้อยตรงนั้น นางรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก

ปฏิเสธไม่ได้ว่า มู่หมัวมัวสอนคนเก่งจริงๆ สัญญาค้าทาสและเรื่องที่ได้รู้ตอนอยู่บนรถม้า ล้วนพิสูจน์ได้ว่าพวกนางถูกขายเมื่อต้นปี นี่เพิ่งผ่านมาหนึ่งเดือนกว่า กิริยาท่าทางแตกต่างจากสาวบ้านนอกทั่วไปอย่างมาก

เมื่อเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่อยากเสวนาเรื่องกลอนกวี หนิงเซ่าชิงจึงไม่ได้พูดต่อ เพียงมองไปตามสายตาของนาง เห็นสาวใช้สองคนยืนอยู่ตรงนั้น ถามด้วยรอยยิ้ม “นี่คือสาวใช้สองคนที่เจ้าซื้อมาจากในเมืองหรือ”

มั่วเชียนเสวี่ยพยักหน้า “เจ้าค่ะ พวกนางคนหนึ่งเย็บปักถักร้อยได้ ฝีมือการเย็บปักถักร้อยดียิ่งนัก เมื่อมีเวลาพวกเราสามารถให้นางทำเสื้อ ซ่อมปะเสื้อผ้าอาภรณ์ต่างๆ อีกคนทำอาหารเป็น หน้าตาของทั้งสองก็ใช้ได้ อีกทั้งนิสัยก็ดีมาก ด้วยเหตุนี้ข้าจึงพาพวกนางกลับมาเจ้าค่ะ”

หนิงเซ่าชิงยิ้มแล้วตอบอืม จากนั้นพูด “เจ้าชอบก็ดีแล้ว”

มั่วเชียนเสวี่ยเห็นหนิงเซ่าชิงยิ้ม ด้วยเหตุนี้จึงร้องเรียกหมิงเย่ว์และไฉ่สยา “พวกเจ้ามานี่…”

หมิงเย่ว์และไฉ่สยาขานรับ แล้วเดินมา มั่วเชียนเสวี่ยพูด “นี่คือสามีของข้า ท่านอาจารย์…หนิง” คงจะเรียกคุณชาย หรือว่าเจ้านายไม่ได้กระมัง

ชั่วขณะหนึ่งมั่วเชียนเสวี่ยนึกสรรพนามร้องเรียกที่เหมาะสมไม่ออก ปกติได้ยินอาซานและอาอู่เรียกว่าเจ้านาย แต่ว่าสาวสองคนนี้ซื้อกลับมาปรนนิบัติรับใช้นาง คอยช่วยทำงานบ้าง เรียกเจ้านายคล้ายจะไม่เหมาะสมเท่าใดนัก ดังนั้นจึงสำลักครู่หนึ่ง ให้พวกนางเรียกว่าท่านอาจารย์แล้วกัน

หมิงเย่ว์และไฉ่สยามองหน้ากัน คุกเข่าพร้อมกัน ก้มหัวลงคำนับ “น้อมทำความเคารพท่านอาจารย์”

หนิงเซ่าชิงเพียงแค่เหลือบมองพวกนางครู่หนึ่งเท่านั้น ผายมือบอกให้พวกนางลุกขึ้น แล้วพูดตักเตือน “หลังจากนี้พวกเจ้าติดตามฮูหยิน หากฮูหยินเป็นอะไรขึ้นมา ข้าจะเอาความกับพวกเจ้า”

เขาเคยชินกับการเป็นนาย เผยความน่าเกรงขามออกมา สาวใช้ทั้งสองย่อมหวาดกลัว รีบตอบ “เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์ หมิงเย่ว์/ไฉ่สยา จะดูแลปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินอย่างดี”

มั่วเชียนเสวี่ยรู้ว่าหนิงเซ่าชิงวางอำนาจให้ตน เห็นสาวใช้ทั้งสองตัวสั่น รู้สึกสงสาร จึงพูดออดอ้อน “ท่านดูสิ ทำให้พวกนางตกใจกลัวกันหมดแล้ว”

จากนั้นหันไปมองสาวใช้ทั้งสองที่คุกเข่าบนพื้น ผายมือบอกให้พวกนางลุกขึ้น หมิงเย่ว์และไฉ่สยาลุกขึ้นด้วยความหวาดกลัว หนีจื่อที่อยู่ด้านในเรือนทำอาหารเสร็จแล้วได้ยินเสียงรถม้า จึงเดินออกมา “ท่านอาจารย์ น้าหนิงเหนียงจื่อ อาหารกลางวันทำเสร็จแล้ว เตรียมทานอาหารกันเถอะเจ้าค่ะ”

“หนีจื่อ มานี่” มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มแล้วโบกมือให้หนีจื่อ ชี้ไปที่หมิงเย่ว์และไฉ่สย่าแนะนำตัวพวกนางสองคนให้นาง “นี่คือหมิงเย่ว์ นี่คือไฉ่สยา พวกนางคือสาวใช้ที่ข้าเพิ่งซื้อกลับมา”

แล้วแนะนำหนีจื่อให้หมิงเย่ว์และไฉ่สยา “นี่คือหนีจื่อ”

หมิงเย่ว์และไฉ่สยาเห็นหนีจื่อเดินออกมาจากในเรือน ทั้งยังผูกผ้ากันเปื้อน ร้องเรียกทั้งสองกินข้าว คิดว่านางเป็นสาวใช้ในเรือนเหมือนกับพวกนาง ด้วยเหตุนี้จึงยิ้มแล้วกล่าวทักทาย “แม่นางหนีจื่อ”

ทว่าหนีจื่อเห็นพวกนางทั้งสองกลับหน้านิ่ง นานครู่หนึ่งก็คงพูดไม่ออก นางรู้สึกเสียใจ น้าหนิงเหนียงจื่อซื้อสาวใช้ของตนเองมาสองคนแล้ว วันข้างหน้าคงจะไม่ต้องการตนแล้วกระมัง

เด็กน้อยคนนี้ไม่มีความคิดอ้อมค้อม คิดสิ่งใดก็แสดงสิ่งออกมาทางสีหน้า มั่วเชียนเสวี่ยเพียงแค่มองก็รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด จึงส่ายหน้าแล้วยิ้ม

“หนีจื่อ หมิงเย่ว์และไฉ่ซย่าเพิ่งมา ยังไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมรอบๆ ยังต้องให้เจ้าคอยดูแล เจ้ามาทุกวันเหมือนที่ผ่านมาเถอะ ช่วยข้าสอนงานและทำงานร่วมกันกับหมิงเย่ว์และไฉ่สยา ได้หรือไม่”

เด็กสามคนนี้ อายุไล่เลี่ยกัน น่าจะเข้ากันได้เป็นอย่างดี

ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบเอ็ดสิบสอง เพียงได้ยินมั่วเชียนเสวี่ยกล่าวว่าหลังจากนี้นางยังมาได้ ความห่างเหินในใจของหนีจื่อหายไปทันที

ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ทักทายทั้งสองราวกับเป็นนายหญิงน้อย

หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จ มั่วเชียนเสวี่ยเห็นหนิงเซ่าชิงเตรียมจะไปห้องหนังสืออีกครั้ง นึกขึ้นได้ว่าเมื่อตอนเช้าสีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก ในเรือนไม่มีเรื่องใหญ่อะไร จึงรบเร้าให้เขากลับไปนอนพักในห้อง

หนิงเซ่าชิงไม่อาจเถียงชนะนางได้ จึงพานางเข้าไปในห้องด้วยกัน นอนอยู่บนเตียง

มั่วเชียนเสวี่ยครุ่นคิด…ตนก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรให้ทำ อยู่กับเขาก็ดี อีกสองวันหิมะละลายแล้ว หุบเขาทางด้านนู้นก็จะเริ่มงงานแล้ว นางก็จะมีงานยุ่งอีกครั้ง พอถึงเวลานั้นคาดว่าคงไม่มีเวลาว่างเช่นตอนนี้

เมื่อครู่หลังจากกินข้าวเสร็จ นางบอกให้หนีจื่อพาหมิงเย่ว์และไฉ่สยาเดินดูรอบๆ ทำความคุ้นเคยกับสภาพแววดล้อม

คิดดูแล้วไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ! ด้วยเหตุนี้จึงล้มตัวลงนอนด้วยความสบายใจ

หนิงเซ่าชิงนอนด้านใน มั่วเชียนเสวี่ยนอนด้านนอก บรรยากาศอึมครึมเล็กน้อย มั่วเชียนเสวี่ยจึงหยิบตำราขึ้นมาอ่านเล่มหนึ่ง

วันนี้ระหว่างทางไปทิงเฟิงเฉวียนในเมืองเทียนเซียง นางซื้อตำราเรื่องผีตอนผ่านร้านตำรา ตำราเหล่านี้ในสมัยโบราณพบเจอน้อยมาก เมื่อนางเห็น จึงซื้อโดยไม่ลังเล

ตอนเช้าหนิงเซ่าชิงตื่นสาย ย่อมไม่ง่วงนอน เอามือเกยศีรษะนอนพิงอ่านตำราอยู่ด้านหลังนาง ลมหายใจรินรดซอกคอ ทำให้นางไม่มีสมาธิในการอ่านตำรา มักจะเหม่อลอยคิดเรื่องต่างๆ

ทว่าเสียงเร่งของหนิงเซ่าชิงดังขึ้นที่ข้างหู “เปลี่ยนหน้า”

มั่วเชียนเสวี่ยไม่พอใจ “ข้ายังอ่านไม่จบ”

หนิงเซ่าชิงม้วนผมของนางด้วยความรักใคร่ มองนางครู่หนึ่ง เห็นนางใจลอย พูดซ้ำอีกครั้งด้วยความดูแคลน “ช้าเสียจริง”

มั่วเชียนเสวี่ยคร้านจะถือสาเขา กล้ารังเกียจที่นางช้า?

หึ เพราะเขาไม่ใช่หรือ หายใจรดคอของ

ทำให้นาง…ใจลอย