บทที่ 227 งานแต่งงานแห่งความอัปยศ
บทที่ 227 งานแต่งงานแห่งความอัปยศ
และในเวลาเดียวกันฉางเย่ก็ได้ยินบ้างลอยอย่างเข้ามาในหู
“จริงสิ เดี๋ยวเสร็จจากนี้ผมว่าจะพาเธอไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายสักหน่อย ผมว่าไตเธอน่าจะไม่ค่อยดีเท่าไรเพราะดูเหมือนว่าเธอจะปัสสาวะบ่อยไปหน่อยนะ ตรงนั้นแฉะมากเลยละ!” ฉู่เหินบอกหลังจากนั้นเขาก็ปิดแหวนมิติทันที
พอได้ยินแบบนั้นใบหน้าของสาวน้อยก็กลายเป็นสีแดง แต่ต่อมาเธอก็งุนงง ไม่เข้าว่าอีกฝ่ายพูดเรื่องอะไรกันแน่ เมื่อคิดอย่างละเอียดอีกทีเธอก็เข้าใจทันที เพราะเมื่อกี้อีกฝ่ายเข้ามาอยู่ใน…ไอ้ผู้ชายเฮงซวย!
ฉู่เหินไม่ได้ยินเสียงของหญิงสาวคนนี้ เขานำชุดแต่งงานเธอมาสวมเพื่อเตรียมตัว เมื่อเตรียมพร้อมเสร็จแล้วเขาก็นั่งนิ่งๆเพื่อรอเวลา
ผ่านถนนหลายสิบลี้บนภูเขาในที่สุดก็มาถึงบ้านของเจ้าบ่าว บ้านมุงจากสามหลังดูเรียบง่ายและทรุดโทรม ต้องเข้าใจว่าเงินที่สะสมมาทั้งชีวิตของเขานำไปซื้อเจ้าสาวจนหมดตัวแล้วไม่เหลือเงินมากพอจะซื้อบ้านดีๆหรอก
อย่างไรก็ตามฉู่เหินไม่ได้สนใจมันสักนิด เขาต้องการหลบหนีพวกที่ไล่ล่าเขาก็เท่านั้น แต่ที่ทำให้เขาโมโหก็คือ พวกที่ค่อยจับตาดูเขาอยู่ไม่ห่างเนี่ยแหละ
ประทัดและเสียงกลองดังสนั่น ทุกคนในหมู่บ้านต่างโห่ร้อง พรมแดงถูกปูจากเกี้ยวเจ้าสาว ฉู่เหินถูกประคองลงจากเกี้ยวเพราะว่าเขากำลังสวมผ้าคลุมศีรษะสีแดงทำให้มองไม่เห็นทางเท่าไร จึงมีคนประคองเขาเดินไปตามพรมสีแดงที่ได้ปูเอาไว้
“เฮ้ยๆ ไม่นึกไม่ฝันว่าฉันยังไม่ทันแต่งภรรยาเข้าบ้าน ก็ต้องแต่งเข้าไปเป็นภรรยาคนอื่นเองซะแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไรพอถึงเวลาเราแต่งเมียบ้างจะได้คุ้นเคยกับพิธีการ ฮ่าฮ่าฮ่า”
ฉู่เหินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เขารู้สึกกลุ้มใจไม่น้อย ยิ่งต้องสวมชุดแต่งงานและผ้าคลุมนี้ยิ่งรู้สึกไม่สบายตัว ที่สำคัญคือต้องเดินไปทำพิธีกับเจ้าวัณโรคนี้ ยิ่งทำให้ฉู่เหินอยากจะตะโกนด่าออกมาดังๆ
ฉู่เหินมองไปรอบๆ ฝูงชนอย่างระมัดระวัง เขาพบว่าคนที่ไล่ล่าเขาปะปนอยู่ในฝูงชน ดังนั้นเขาจึงต้องพับเก็บแผนการหนีเอาไว้และเคารพบรรพชนกับเจ้าวัณโรคคนนี้ไปก่อน
“วันนี้เป็นวันมงคลวันนี้เป็นวันที่น่าจดจำ เป็นวันแต่งงานครั้งยิ่งใหญ่ของหมู่บ้านพวกเรา เพื่อเป็นการต้อนรับคู่แต่งงานใหม่ วงดนตรีบรรเลงได้”เสียงพิธีกรเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคึกคัก ทำให้แขกทุกคนรู้สึกตื่นเต้นตามไปด้วย
ฉู่เหินถูกประคองให้เดินบนพรมแดงด้วยความอดสู่ใจ ในขณะที่เดินอยู่เขาก็นึกถึงหน้าคนในครอบครัวโดยเฉพาะเสี่ยวชิง ไม่รู้ว่าถ้าเธอมาเห็น จะตกใจอ้าปากค้างหรือว่า จะหัวเราะเยาะกันแน่
ฉู่เหินลอบถอนหายใจอย่างเงียบๆ เขายืนฟังคำกล่าวอวยพรของพิธีกรนานกว่าสิบนาทีจนรู้สึกเหน็บกินขากว่าพิธีกรบ้าน้ำลายจะพูดจบ
จากนั้นฉู่เหินก็เห็นผู้จัดพิธีที่เจ้าบ่าวเตรียมไว้ไม่รู้ว่าไปเอาธนูมาจากไหน เขาดึงคันศรเบาๆ จากนั้นหัวลูกศรที่พันที่ด้วยผ้าสีแดงก็ยิงตรงออกไปทางฉู่เหิน ฉู่เหินตกใจจนเกือบหลบเพราะเขาเห็นว่ามีเชือกสีแดงเล็กๆ ผูกติดกับลูกศรเอาไว้
มันหมายถึงเฒ่าจันทรา*ผูกชะตาพวกเขาเอาไว้ด้วยกัน แต่ประเด็นคือ
ฉู่เหินรู้ว่าตัวเองเป็นชายอกสามศอก ถ้าถูกผูกชะตากับชายวัณโรคนี้แล้วนับว่าเป็นอะไรกัน? แต่ไม่ว่าเขาจะต้องการหรือไม่ต้องการ พิธีการยังคงต้องดำเนินต่อไป ถ้าเขากล้าปัดป้อง เกรงว่าวันนี้เขาน่าจะหนีรอดยากแล้ว
(*เฒ่าจันทรา = เทพแห่งความรักของจีน เป็นผู้ผูกด้ายแดงให้กับหนุ่มสาวที่เป็นเนื้อคู่)
ฉู่เหินรู้ว่าการกระทำทั้งหมดของเขาอยู่ในสายตาของผู้ไล่ล่า นอกจากคงความสง่างามเอาไว้ เขาไม่สามารถขยับอะไรได้เลย
หลังจากยิงธนูแห่งความรักแล้วทั้งสองก็ตกลงอยู่ด้วยกัน เดิมทีนี้ควรจะเป็นเรื่องราวที่แสนจะโรแมนติก ถ้ามันเกิดขึ้นกับฉู่เหินน่ะนะ เขารู้สึกว่าตัวเองช่างเสแสร้งจริงๆ
จากนั้นพิธีกรก็พูดยาวเหยียดอีกครั้ง พิธีการถึงค่อยสับเปลี่ยนเป็นการกราบไหว้ฟ้าดินสามครั้งพร้อมกับชายคนข้างๆ ฉู่เหินรู้ไม่ยินยอมอย่างแรง แม้ว่าเขาเองจะอยากเรียนรู้พิธีการแต่งงานก็ตาม ใช้เท้าเขียนพื้นเบาว่า
‘ช่างมัน’ เพียงแต่ว่าการเคลื่อนไหวนี้ทำได้เพียงแค่คิดในใจแต่ไม่กล้าแสดงออกมา
“คำนับที่หนึ่งคำนับฟ้าดิน คำนับที่สองคำนับพ่อแม่ คำนับที่สามคำนับสามีภรรยา เข้าห้องหอได้” พิธีแต่งงานซึ่งกินเวลานานกว่าสองชั่วโมงในที่สุดก็จบลงซึ่งทำให้ฉู่เหินโล่งใจ ทว่าหลังจากโล่งใจไม่นานก็ถูกหญิงสาวนางหนึ่งดึงเข้ามาในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง
ในเวลานี้ชุดแต่งงานของเธอจะถูกปลดออกได้แล้ว เพราะตามประเพณีของที่นี่หลังจากเสร็จสิ้นพิธีแต่งงาน เขาต้องเปลี่ยนไปสวมชุดแดงอีกชุด แต่เด็กสาวกับป้าๆ เหล่านี้ไม่มีท่าทีจะออกไปข้างนอกสักที แสดงออกอย่างชัดเจนว่าพวกเขาต้องการช่วยฉู่เหินแต่งตัวแน่แท้ ทำให้ฉู่เหินรู้สึกกังวลใจ
ต้องเข้าใจว่าเขาเป็นชายฉกรรจ์เต็มตัว แม้ว่าใบหน้าของเขาเปลี่ยนไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าร่างกายของเขาเปลี่ยนไปด้วย ถ้าให้เด็กสาวกับป้าๆเหล่านี้ถอดชุดแต่งงานละก็เรื่องต้องแดงแน่ๆ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกชุดชั้นในกางเกงในเล็กๆนั้นอีก เพราะเขาสวมกางเกงของผู้ชาย ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ควรจะมีและที่สำคัญ คือถ้าถอดชุดแล้วแม้แต่คนโง่ก็รู้ว่าไอ้ที่ตุงๆตรงเป้ากางเกงนี้ไม่ใช่ของผู้หญิงอย่างแน่นอน
ฉู่เหินรู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นเรื่องที่อัปยศที่สุดในชีวิตของเขาอย่างแน่นอน “โอ พระเจ้า นี่ล้อกันเล่นใช่ไหม?”
“ฉันไม่ค่อยรู้สึกคุ้นให้ใครมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ พวกเธอออกไปก่อนเถอะ ฉันเปลี่ยนเสื้อเองได้” ฉู่เหินไม่มีทางเลือกนอกจากพูดออกไปเช่นนั้น แต่หลังจากพูดประโยคกลายเป็นเรียกเสียงหัวเราะให้กับผู้หญิงในห้องซะงั้น
“อะไรเล่าอายทำไมกัน ตรงนี้ก็ผู้หญิงกันทั้งนั้น ฉันจะไปอายทำไมกัน เอ๋ หรือว่าเธอจะเป็นสาวประเภทสอง นอกจากจะมีตรงนั้นของผู้หญิงแล้วยังมีของผู้ชายด้วย งั้นขอพวกฉันดูหน่อยสิ!”
ถ้าฉู่เหินไม่พูดคงดีกว่านี้พอพูดขึ้นมาเท่านั้นแหละ ผู้หญิงในห้องก็คล้ายจะกลายเป็นคนบ้าก็ไม่ปาน ฉู่เหินรู้ว่าผู้หญิงบ้าเหล่านี้เกินจะเยียวยาแล้วจริงๆ ให้ตายสิ อะไรทำให้เขาต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้กันนะ
แต่เขารู้ว่าว่าเขาต้องไม่ให้ผู้หญิงพวกนี้แตะต้องเขา ไม่งั้นละก็เขาต้องซวยแน่ๆ
ฉู่เหินรีบวิ่งตรงไปที่เตียงทันที พร้อมกับงอขาสองข้างขึ้นมา นั่งคุกเข่าอยู่บนเตียง เพราะถ้าเกิดโดนคลำโดนเจ้านั้นขึ้นมาเกรงว่าความต้องแตกแน่ๆ
หญิงชาวบ้านเหล่านั้นเดิมทีแค่ต้องการหยอกเล่นเท่านั้น แต่พอเห็นว่าเธออายจริงๆ พวกเธอจึงมองหน้ากันแล้วค่อยๆทยอยกันออกไป ก่อนออกมาก็กำชับบอกฉู่เหินถ้าเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วก็เรียกพวกเธอด้วย เมื่อเห็นว่าพวกเธอออกไปหมดแล้วฉู่เหินถึงค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก
ชุดแต่งงานถูกถอนออกแล้วเปลี่ยนเป็นชุดสีแดงเข้มอีกตัว พอสวมเสร็จเรียบร้อย ฉู่เหินเรียกให้ผู้หญิงเหล่านั้นเข้ามา แม้ว่าผู้หญิงเหล่านี้จะไม่สวยแบบถางเย่ ทว่าแต่ละคนก็ทั้งสาวและสดใส
อายุเยอะที่สุดในกลุ่มนี้เพิ่งจะย่างเข้าสามสิบปี เรียกได้ว่านี้เป็นครั้งแรกที่ฉู่เหินพบเรื่องผิดปกติถึงเพียงนี้