บทที่ 144 แม่ทัพเจิ้นเป่ย

หลังจากอาหารมื้อเช้า ไป๋มู่หยางพาถังหลี่และลุงหลี่ไปยังกองทหารรักษาการณ์ของเมือง เมื่อพูดคุยกันแล้วเจ้าหน้าที่ก็ไปตามคนที่ไป๋มู่หยางรู้จักมา บุรุษผู้นี้ แซ่ฝาง เขาอายุราวสามสิบต้น ๆ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับไป๋มู่หยาง ชายหนุ่มเชื้อเชิญทั้งสามคนให้นั่งลงและรินน้ำชาให้

ลุงหลี่ไม่เคยติดต่อกับขุนนางระดับสูงอย่างผู้บัญชาการเมืองเช่นนี้ ชายชราวางตัวไม่ค่อยถูกนัก ทว่าตอนนี้ในหัวใจของลุงหลี่เริ่มมีความหวังขึ้นมา ลุงหลี่อายุมากแล้วเขาจึงพอรู้มาบ้างว่ากองกำลังรักษาเมืองนั้นมีหน้าที่ดูแลปกป้องเมือง ในเมื่อนายท่านไป๋รู้จักกับทหารที่นี่ บางทีเขาอาจจะช่วยจูเฉิงได้จริง ๆ

ถังหลี่นั่งด้านข้างไป๋มู่หยางด้วยท่าทีที่สงบ และเต็มไปด้วยสัมมาคารวะ

“พี่ไป๋ คราวนี้ท่านมีธุระอะไรกับข้าหรือ?”

“ผู้บัญชาการฝาง ญาติของข้าคนหนึ่งถูกจับเข้ากองทัพที่เมืองฉินโจว แต่ภรรยาของเขาเพิ่งตั้งครรภ์ ทันทีที่ข้าได้ข่าวว่าเขาโดนเกณฑ์ไปข้าเลยมาที่นี่เพื่อสอบถามเสียหน่อย”

ไป๋มู่หยางพูดด้วยรอยยิ้ม

เมื่อผู้บัญชาการฝางได้ยินก็เข้าใจทันทีว่าชายหนุ่มหมายถึงเรื่องอะไร ก่อนจะปฏิเสธออกไป

“พี่ไป๋ เรื่องนี้ข้าไม่สามารถช่วยท่านได้”

ผู้บัญชาการฝางปฏิเสธทันที ชายหนุ่มจึงตระหนักได้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย

“ผู้บัญชาการฝาง มีเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหารครั้งนี้หรือ?”

ผู้บัญชาการฝางเหลือบตามองพวกเขาก่อนจะพูดขึ้นว่า

“พี่ไป๋ ข้าเพิ่งได้อาวุธที่เหมาะมือมา ให้ข้าพาท่านไปดูดีหรือไม่?”

ไป๋มู่หยางเข้าใจทันทีว่าเขาคงมีเรื่องที่อยากจะพูดคุยเป็นการส่วนตัวตามลำพัง ชายหนุ่มมองถังหลี่จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินตามเขาไป เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปที่ลับตาทหารหนุ่มก็กล่าวว่า

“พี่ไป๋ ข้ากับท่านรู้จักกันมาแปดปีแล้ว เรามีมิตรภาพที่เหนียวแน่นที่ซ่างจิง หากเป็นยามปกติข้าก็สามารถช่วยท่านได้ แต่ที่นี่ในเวลานี้ข้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ การเกณฑ์ทหารในครั้งนี้จัดขึ้นโดยแม่ทัพเจิ้นเป่ยที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่ ข้าเป็นเพียงผู้บัญชาการตัวเล็ก ๆ เท่านั้น”

“แม่ทัพเจิ้นเป่ย?” ไป๋มู่หยางประหลาดใจ

แม่ทัพผู้นี้ประจำการอยู่ที่ชายแดนตลอดทั้งปี เขาเป็นคนสกุลเฉา ไป๋มู่หยางไม่ได้รู้จักเขามากนัก

“ใช่แล้ว แม่ทัพกู้นำกองกำลังของเขาไปที่ต้าฉี ตอนนี้ผู้คนกลัวว่าเผ่าซยงหนูจะฉวยโอกาสนี้เข้าโจมตีต้าโจว ราชสำนักเลยส่งแม่ทัพเจิ้นเป่ยมารักษาการณ์ที่นี่เพื่อป้องกันการโจมตีของเผ่าซยงหนู กองกำลังของเขาไม่ได้มีจำนวนมากนัก ดังนั้นแม่ทัพเจิ้นเป่ยจึงเกณฑ์กองกำลังไปสามหมื่นนาย ตอนนี้ฝึกอยู่ที่ค่ายทหารใกล้เมือง หากพวกซยงหนูบุกมาเมื่อไหร่เขาจะได้เคลื่อนทัพได้ทันที”

ผู้บัญชาการฝางอธิบายให้เขาฟัง

“แม่ทัพเจิ้นเป่ยคือเทพเจ้าสังหาร ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง หากมีคนไปโยกย้ายทหารที่เขาเกณฑ์มาล่ะก็ แม้แต่หัวก็คงไม่อาจรักษาไว้ได้”

ไป่มู่หยางขมวดคิ้ว หากเป็นเช่นนี้คงลำบากแน่…

น้องสาวของเขารักและดูแลหลันฮวาราวกับน้องแท้ ๆ หากนางรู้ข่าวนี้…

“ผู้บัญชาการฝาง ข้าจะเข้าไปพบเขาได้หรือไม่?” ไป่มู่หยางถาม

“ได้ แต่ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น แสร้งทำเป็นทหารรับใช้ติดตามเข้าไปที่ค่ายพร้อมข้า”

ผู้บัญชาการฝางขมวดคิ้ว

ไป๋มู่หยางรู้ว่าการทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่เสี่ยงกับชายผู้นี้เป็นอย่างมาก ไป๋มูหยางจึงรีบขอบคุณอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

“พี่ไป๋ ข้าต้องไปที่ค่ายแล้วหลังจากที่แม่ทัพเจิ้นเป่ยมาประจำการ ข้าต้องรับผิดชอบการฝึก เขาปกครองกองกำลังอย่างเคร่งครัด พวกเราต้องไปให้ตรงเวลาไม่เช่นนั้นจะโดนทำโทษ!”

“ได้สิ งั้นวันนี้ข้าขอตัวก่อน”

ผู้บัญชาการฝางเดินทางไปที่ค่ายทหาร ขณะนั้นเองไป๋มู่หยางก็พาถังหลี่และลุงหลี่กลับไปที่โรงเตี๊ยม ชายหนุ่มเล่าเรื่องราวที่สามารถบอกได้และปกปิดในส่วนข่าวกรองของกองกำลังทหารไว้ ถังหลี่และลุงหลี่มีท่าทีไม่ค่อยดีนักเมื่อฟังข่าวจากไป๋มู่หยาง หากเป็นเช่นนี้ก็คงช่วยจูเฉิงออกมาได้ยาก

ถังหลี่ได้แต่ภาวนาไม่ให้พวกชาวซยงหนูบุกโจมตีในตอนนี้ หากไม่มีเรื่องร้ายแรงอาจจะเป็นไปได้ว่าแม่ทัพเจิ้นเป่ยจะให้ทหารที่เกณฑ์มากลับบ้าน แต่ว่าการเคลื่อนทัพของต้าโจวไปต้าฉีนั้นรู้กันทั่ว สถานการณ์ตอนนี้เป็นไปได้ยากมากที่ชายแดนฉินโจวจะไม่เกิดสงคราม พวกซยงหนูที่จับตาดูต้าโจวเหมือนนายพรานซุ่มดูเสือ จะไม่ฉวยโอกาสจริงหรือ?

การเกณฑ์ทหารของแม่ทัพเจิ้นเป่ยในครั้งนี้เป็นกองกำลังสำคัญในการทำสงคราม ในครั้งสุดท้ายที่ถังหลี่เห็นจูเฉิง คือตอนที่เขากำลังจะได้เป็นพ่อคน

ถังหลี่ยังไม่อยากยอมแพ้…

เมื่อหญิงสาวครุ่นคิดเดียวกับมัน นางก็รู้สึกท้อใจ

“ผู้บัญชาการฝางสัญญาว่าจะพาคนเข้าไปในค่ายเพื่อพบกับจูเฉิงแต่ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น”

ไป๋มู่หยางกล่าว

“ข้าจะไปเอง!” ลุงหลี่รีบพูด

“ลุงหลี่ ค่ายทหารอันตรายมาก” ไป๋มู่หยางพูด

“ข้าจะกลับไปหาหลันฮวาได้อย่างสบายใจก็ต่อเมื่อได้เห็นจูเฉิงกับตาแล้วเท่านั้น ข้าจะระวังตัวให้ดี” ลุงหลี่กล่าวอย่างจริงจัง

อาเฉิงเป็นเด็กดี มีความสามารถ และกตัญญู ลุงหลี่ถือว่าเขาเป็นเหมือนกับลูกชายของตนเองมานานแล้ว ดังนั้นชายชราอยากทำอะไรเพื่อเด็กหนุ่มคนนั้น

ลุงหลี่สัมผัสกับถุงเงินที่ตัวเองซ่อนไว้ ชายชราโค้งคำนับขอร้องชายหนุ่ม

“นายท่านไป๋ ช่วยข้าหน่อยเถิด”

“ตกลง พรุ่งนี้เช้า เราจะไปที่กองรักษาการณ์กัน” ไป๋มู่หยางตกลง

เมื่อลุงหลี่กลับไปที่ห้องของตนเอง ทันทีที่ประตูปิดลงแผ่นหลังของชายชราคุดคู้ลง เขาเหมือนคนที่สูญเสียจิตวิญญาณของตัวเองไปหมดแล้ว ดวงตาของเขาแห้งผากใบหน้าซีดเผือด สวรรค์ เหตุใดท่านถึงใจร้ายกับหลานสาวข้าเช่นนี้?

อาเฉิงเป็นเด็กดี เหตุใดเรื่องแบบนี้จึงเกิดกับเขา?

แม่ทัพเจิ้นเป่ย ท่านทำร้ายคนยากไร้แบบนี้ได้อย่างไร?

น้ำตาของลุงหลี่ไหลออกมาเปรอะเปื้อนใบหน้า

…..

ถังหลี่รู้สึกไม่สบายใจเกินกว่าที่จะอยู่ห้องเฉย ๆได้ นางจึงไปโรงเตี๊ยมกับไป๋มู่หยาง ตั้งแต่สมัยโบราณร้านเหล้าย่อมเป็นสถานที่สำคัญที่สุดในการหาข้อมูล หญิงสาวต้องการรู้ว่าแม่ทัพเจิ้นเป่ยคือใคร ในนวนิยายต้นฉบับที่นางเคยอ่าน ไม่เคยมีตัวละครนี้ขึ้นมาเลย

ถังหลี่และไป๋มู่หยางนั่งอยู่ที่โรงเตี๊ยมตลอดช่วงบ่าย ทำให้ถังหลี่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับแม่ทัพคนนี้ แม่ทัพเจิ้นเป่ยไต่เต้าจากทหารยศต่ำขึ้นไปทีละขั้นจนตอนนี้เป็นถึงระดับแม่ทัพ อันที่จริงนับได้ว่าการเลื่อนขั้นของเขามาจากการสังเวยเถ้ากระดูกของกองกำลังในสงคราม รวมถึงข่าวลือที่ว่าแม่ทัพเจิ้นเป่ยเป็นคนโหดเหี้ยม และเข้มงวดมาก เมื่อกฎในกองทัพรุนแรง ทหารทุกนายจึงกลัวและไม่กล้าขัดคำสั่ง

“เจ้าคิดว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เขาจะเทียบชั้นกับแม่ทัพกู้ได้หรือไม่?”

“แม่ทัพกู้เปรียบเสมือนดั่งเทพเจ้าของเหล่าทหาร เขาทั้งกินทั้งนอนรวมกับทหารยศน้อยได้ คนที่เป็นเทพเจ้าสังหารแบบเขาจะเหมือนแม่ทัพกู้ได้อย่างไร?

“ใช่! การเลื่อนขั้นของเขา ล้วนแลกมาจากชีวิตทหาร!”

“ใช่แล้ว กรรมนั้นย่อมไปตกอยู่ที่พ่อแม่ลูกเมีย ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงเลือกที่อยู่เป็นโสดดีกว่า ”

แม่ทัพเจิ้นเป่ยไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียงดีนัก

เมื่อคนเป็นแม่ทัพโลภชื่อเสียงและความสำเร็จ ชีวิตของพลทหารจะยิ่งไร้ค่ามากยิ่งขึ้น

ถังหลี่กำลังกังวลเรื่องจูเฉิง

ในตอนนี้ถังหลี่ยิ่งรู้สึกถึงความสำคัญของอำนาจมากขึ้น หากไม่ใช่จูเฉิงที่โดนจับในตอนนี้แต่เป็นเว่ยฉิง คนธรรมดาอย่างนางคงทำได้แต่เพียงเฝ้ามองและสวดภาวนาเท่านั้น ไม่มีทางเลือกอื่น

เมล็ดพันธุ์แห่งความทะเยอะทะยานเติบโตขึ้นภายในหัวใจของถังหลี่ ต้องแข็งแกร่งและมีอำนาจเท่านั้น จึงจะสามารถปกป้องครอบครัวของตนไว้ได้

ไป๋มู่หยางมองดูคิ้วที่ขมวดยุ่งของนาง เขาลูบหัวน้องสาวเบา ๆ กดนิ้วที่หว่างคิ้วให้คลายปมออก

“พี่ใหญ่ ข้าอยากกินถังหูลู่” ถังหลี่กล่าว

ตอนนี้หัวใจของถังหลี่กำลังร้อนรุ่ม นางต้องการหาอะไรบางอย่างทานเพื่อบรรเทาความคุกรุ่นในจิตใจ

“เจ้ารอที่นี่ พี่จะไปซื้อให้” ไป๋มู่หยางยิ้มอย่างอ่อนโยน

ฉีหยินได้ยินเขาเตรียมตัวจะกระโดดออกไปทางหน้าต่างเพื่อซื้อขนม แต่ไป๋มู่หยางหยุดเขาไว้

“ข้าไปเอง”

ไป๋มู่หยางเดินลงบันได

ชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวที่ปราศจากฝุ่น เดินเบียดเสียดท่ามกลางเหล่าพ่อค้าแม่ค้ามากมาย เพื่อซื้อถังหูลู่หนึ่งไม้ เขารีบวิ่งนำมันกลับมาให้น้องสาวของเขา

ถังหลี่รับถังหูลู่ขึ้นมากิน ในที่สุดรอยยิ้มงดงามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง

————–