ตอนที่ 156 จับกุม

เสียงระฆังดังเหง่งหง่างแว่วมาจากบนหอคอยกำแพงเมือง

หยวนกังและเว่ยตัวที่เพิ่งออกมาจากกำแพงเมืองหันกลับไปมอง เห็นทหารยามเฝ้าประตูเมืองกำลังสกัดขวางกลุ่มคนที่เดินทางเข้าออก ประตูเมืองค่อยๆ ปิดลง

เว่ยตัวลอบรู้สึกโล่งใจ โชคดีที่หยวนกังเตรียมการรัดกุม ศึกษาจัดเตรียมเส้นทางที่สามารถหลบหนีออกจากเมืองได้รวดเร็วที่สุดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว หากช้ากว่านี้แม้เพียงนิดเดียว เกรงว่าหากคิดจะออกเมืองอีกก็คงเป็นไปได้ยากแล้ว

“ไป!” หยวนกังเรียกให้เขาเร่งฝีเท้าหลบหนี ขณะเดียวกันก็เอ่ยเตือนว่า “คาดว่าอีกไม่นานเส้นทางสัญจรที่มุ่งสู่มณฑลจินโจวอาจจะมีการตั้งด่านขึ้น เพื่อความปลอดภัย เกรงว่าเราคงต้องใช้เส้นทางบนภูเขาไปสักพัก”

“มะ…ไม่มี…ปัญหา! เมื่อ…เมื่อครู่…เสียงนั้น…เป็นเจ้าทะ…ทำขึ้น…จากสะ…สิ่งนั้นหรือ?”

“ถ้าพูดไม่คล่องก็ไม่ต้องพูดมาก”

….

ณ เรือนรับรองสุคนธา เกี้ยวตัวหนึ่งถูกหามเข้ามา มุ่งหน้ามาที่แหล่งต้นตอของเสียงดังกัมปนาทภายใต้การคุ้มกันของกององครักษ์

เมื่อเกี้ยวหยุดลง ไห่หรูเยวี่ยจัดแจงเสื้อผ้าเล็กน้อยแล้วมุดออกมาจากเกี้ยว ทันทีที่โผล่หน้าออกมาก็มองเห็นหลุมลึกขนาดใหญ่หลุมหนึ่งอยู่บนพื้นดิน นางจำได้ว่าที่นี่มีภูเขาจำลองอยู่หลายลูก แต่ยามนี้ล้วนหายไปหมดแล้ว

จากนั้นกวาดตามองดูต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่รอบข้าง เสียหายเป็นวงกว้าง ห่างออกไปอีกนิด มีต้นไม้บางต้นที่โค่นลงพร้อมกับรากที่งัดขึ้นมา บางต้นก็ถูกทำลายจนหักโค่นไม่มีชิ้นดี ศาลาในละแวกใกล้เคียงพังถล่มจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม สิ่งปลูกสร้างที่อยู่ห่างออกไปถูกกระแทกจนกระเบื้องแตกกระจาย ผนังกำแพงพังทลาย

หลีอู๋ฮวาเดินทางมาถึงก่อนแล้ว กำลังยืนมือไพล่หลังอยู่ริมหลุมลึกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ไห่หรูเยวี่ยเดินนวยนาดมาหยุดข้างกายเขา เอ่ยถามด้วยความตกตะลึงระคนสงสัย “ผู้อาวุโส สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

หลีอู๋ฮวาส่ายหน้า “ไม่ทราบแน่ชัด”

ไห่หรูเยวี่ยถาม “ผู้อาวุโสเองก็ไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนหรือ?”

หลีอู๋ฮวาเงยหน้ามองท้องฟ้า กล่าวอย่างใช้ความคิดว่า “หากวิเคราะห์จากประสบการณ์ของข้า มันน่าจะเป็นอุกกาบาตจากฟากฟ้าที่บังเอิญพุ่งชนสถานที่แห่งนี้พอดี ถึงได้เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงแบบนี้ขึ้นได้!”

ไห่หรูเยวี่ยเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าเช่นกัน จากนั้นก้มลงมองดูหลุมลึกที่อยู่บนพื้นอีกครั้ง ถามด้วยความฉงนว่า “แล้วอุกกาบาตเล่า?”

หลีอู๋ฮวาตอบ “คงจะกระแทกจนแตกกระจายไปแล้ว”

“อย่างนี้นี่เอง!” ไห่หรูเยวี่ยพยักหน้ารับ หันไปเรียกจูซุ่นเข้ามากระซิบสั่งการว่า “แพร่ข่าวออกไป บอกว่าเป็นเพียงอุกกาบาตจากฟากฟ้า เป็นนิมิตหมายอันดี ปลอบขวัญชาวบ้าน! แล้วก็สร้างอุกกาบาตขึ้นมาก้อนหนึ่ง จัดขบวนแห่ไปตามท้องถนนเพื่อขจัดข่าวลือ!”

“ขอรับ!” จูซุ่นตอบรับ

หลีอู๋ฮวาหันไปมองนางแวบหนึ่ง อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย สตรีนางนี้ยังคงมีทักษะด้านการปกครองเป็นเลิศ แล้วก็ไม่ทำให้ตนต้องลำบากในการอธิบายต่อทางสำนักด้วย

ไห่หรูเยวี่ยกวาดสายตามองไปรอบๆ หันไปเอ่ยถามผู้ที่รับผิดชอบดูแลที่นี่ “ได้ยินว่ามีคนได้รับบาดเจ็บ คุณชายหยวนที่อยู่ในเรือนทิศตะวันตกไม่เป็นอะไรกระมัง?”

ผู้รับผิดชอบตอบเสียงอ่อนว่า “คนหายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

ไห่หรูเยวี่ยขมวดคิ้ว “อะไรคือหายไปแล้ว?”

ผู้รับผิดชอบตอบ “อาจจะฉวยโอกาสหนีไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

“หนีไปแล้ว?” ไห่หรูเยวี่ยหัวเราะหยันคราหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “กระทั่งคนที่ถูกผนึกพลังเอาไว้ก็ยังคุมไม่ได้ เจ้ายังจะทำอันใดได้อีก” นางสะบัดแขนเสื้อ ท่วงท่าทรงอำนาจเป็นอย่างยิ่ง

ทหารหลายคนก้าวเข้ามาทันที ลากตัวผู้รับผิดชอบออกไป

“องค์หญิงใหญ่…องค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ…”

ไห่หรูเยวี่ยไม่สนใจเสียงคร่ำครวญอ้อนวอน หันกลับไปเรียกแม่ทัพคนหนึ่งเข้ามา “ปิดประตูเมืองแล้วออกค้นหาเดี๋ยวนี้!”

แม่ทัพประสานมือตอบว่า “ทูลองค์หญิงใหญ่ ทันทีที่ได้รับแจ้งจากทางนี้ กระหม่อมก็ได้สั่งปิดประตูเมืองและทำการตรวจค้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

“ดีมาก!” ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยชื่นชม “ต้องหาตัวคนให้เจอให้ได้!”

…..

สายน้ำลดเลี้ยว ณ สะพานโค้งทอดตัวยาวแห่งหนึ่ง มีจุดพักม้าแห่งหนึ่งอยู่ตรงหัวสะพาน

กองทหารกองหนึ่งข้ามสะพานมา นายทหารไว้หนวดเคราหนาดกผู้หนึ่งควบอาชานำอยู่เบื้องหน้า มีทหารราบตามหลังมาหนึ่งร้อยนาย

กองทหารหยุดลงด้านนอกจุดพักม้า นายทหารเคราดกที่อยู่บนหลังม้าพาทหารสิบกว่านายค่อยๆ เดินเข้าไปในจุดพักม้า

ทางนี้เพิ่งกระโดดลงจากหลังม้า หัวหน้าจุดพักม้าก็กระวีกระวาดเข้ามาหา ประสานมือเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้เป็นนายกองหวังนี่เอง ไม่ทราบว่ากำลังจะไปไหนหรือขอรับ?”

นายทหารเคราดกยืดเส้นยืดสายเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “งานของข้าใช่เรื่องที่เจ้าจะถามได้เรอะ? ไปเตรียมสุราอาหารให้ข้าสองโต๊ะ”

“ได้ขอรับ รอสักครู่ขอรับ” หัวหน้าจุดพักม้ารับคำสั่ง หันกลับไปเรียกคนเลี้ยงม้าให้มาช่วยงานทันที

นายทหารเคราดกเดินนำลูกน้องกลุ่มหนึ่งเข้าไปนั่งลงในเพิง มีคนยกสุรามาส่งให้ก่อน เหล่าทหารจึงเริ่มดื่มสังสรรค์เฮฮากัน

คนเลี้ยงม้าคนหนึ่งอุ้มฟืนกองหนึ่งมุ่งหน้าไปทางห้องครัว ในขณะที่เดินผ่านทางด้านนี้ นายหมู่คนหนึ่งที่ดื่มสุราอยู่ได้วางชามลง ลุกออกจากเก้าอี้ตามหลังไปอย่างเงียบๆ ปลดเชือกที่เอวมาถือไว้ ทันใดนั้นพลันสืบเท้าก้าวใหญ่ออกไปก้าวหนึ่ง เหวี่ยงเชือกออกไป รัดปากของคนเลี้ยงม้ารายนั้นเอาไว้ ลงมือคล่องแคล่วฉับไว

โครม! กองฟืนหล่นลงพื้น คนเลี้ยงม้ารายนั้นกำลังจะดิ้นรนขัดขืน ด้านข้างพลันมีทหารหลายนายพุ่งเข้ามาในชั่วพริบตา จับคนเลี้ยงม้ารายนั้นพลิกตัวแล้วกดลงบนพื้น คนที่จับแขนไพล่หลังก็จับเอาไว้ คนที่กดขาก็กดเอาไว้ ราวกับกำลังจะเชือดหมูอย่างไรอย่างนั้น นายหมู่ที่ถือเชือกไว้รั้งเชือกไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เข่าข้างหนึ่งยันหลังของคนเลี้ยงม้ารายนั้นไว้ กดเขาเอาไว้บนพื้น

คนเลี้ยงม้ารายนั้นร้อง “อื้อๆ” อย่างสุดชีวิต จนปัญญาที่มีเชือกคาดปากเอาไว้ กระทั่งแก้มยังถูกรัดจนจมลึกลงไป ไหนเลยจะพูดเป็นคำได้

คนเลี้ยงม้าในจุดพักม้าตื่นตระหนก ทว่าเมื่อทหารนับร้อยที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงก็เคลื่อนไหวทันที ทหารหลายสิบนายเข้าปิดล้อมจุดพักม้า อีกหลายสิบนายพุ่งเข้ามา น้าวสายธนูจ่อเล็งไปที่คนเลี้ยงม้ารายนั้น

หัวหน้าจุดพักม้าที่กำลังเอาอกเอาใจอยู่ข้างๆ นายกองตะลึงตาค้าง เอ่ยถามด้วยความมึนงง “ใต้เท้า นี่มันอะไรกันขอรับ?”

นายกองค่อยๆ ดื่มสุราจนหมดชาม ลุกขึ้นยืน พยักเพยิดหน้าไปทางคนเลี้ยงม้าที่ถูกจับกดอยู่บนพื้นรายนั้น เอ่ยถาม “คนนี้ใช่คนที่มาใหม่คนนั้นหรือไม่?”

หัวหน้าจุดพักม้าพยักหน้าด้วยความหวาดกลัว “ใช่ขอรับ ไม่ทราบว่าเขาไปล่วงเกินอันใดใต้เท้าเข้าขอรับ?”

“เฮอะๆ!” นายกองหัวเราะหยัน โบกมือคราหนึ่ง “ไปที่ห้องของเขา ค้นให้ทั่ว!”

ทหารกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้าไปในห้องพักของคนเลี้ยงม้า พลิกหีบรื้อตู้ค้นหา

ส่วนคนเลี้ยงม้าคนอื่นๆ ที่อยู่ภายในจุดพักม้า รวมถึงหัวหน้าจุดพักม้า ทั้งหมดมารวมตัวอยู่ด้วยกัน คุกเข่าเอามือกุมหัวอยู่บนพื้น ด้านข้างมีดาบส่องประกายวาววับจ่อเฝ้าระวังอยู่

ผ่านไปไม่นาน มีทหารถือกรงนกที่ใส่ปีกทองตัวหนึ่งเอาไว้เดินออกมาจากในห้องพักคนเลี้ยงม้า เมื่อเดินมาถึงตรงหน้านายกองก็สะบัดกางภาพเหมือนแผ่นหนึ่งออก “ใต้เท้า เจอแล้วขอรับ!”

นายกองมองปีกทองในกรง จากนั้นก็มองภาพเหมือนแผ่นนั้น หัวเราะหึๆ มองไปทางคนเลี้ยงม้าที่ถูกกดตัวไว้บนพื้นด้วยสายตาเยียบเย็น “มีปัญหาจริงๆ สินะ นี่คือคนที่เบื้องบนต้องการตัว จัดการอย่างระมัดระวัง อย่าให้ตาย!”

มีทหารเข้าไปกระชากผมของคนเลี้ยงม้าแล้วดึงศีรษะขึ้นมาทันที กระบองเหล็กแท่งหนึ่งถูกยัดเข้าไปในปากของเขา งัดเปิดปากของเขาเอาไว้ เชือกที่คาดอยู่ถูกคลายออก จากนั้นคีมอีกอันหนึ่งก็ถูกยัดเข้าไปในปาก ถอนฟันของคนเลี้ยงม้ารายนั้นออกมาทีละซี่ๆ

ฟันมิได้ถูกโยนทิ้งไป หากแต่ถูกเก็บใส่ถุงผ้าใบหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง

ไม่นานนักปากของคนเลี้ยงม้ารายนั้นก็เต็มไปด้วยเลือดสดๆ ไหลนอง พนักงานของจุดพักม้าที่คุกเข่าอยู่ไม่ไกลต่างขนหัวลุกกันหมด

เมื่อถอนฟันคนเลี้ยงม้าออกจนหมด เศษผ้าชิ้นหนึ่งก็ถูกยัดใส่ปากคนเลี้ยงม้ารายนั้นอีกครั้ง จากนั้นดึงตัวขึ้นมา มัดตัวเอาไว้จนแน่นหนาอย่างรวดเร็ว

ทหารที่ตรวจค้นทั่วจุดพักม้ากลับมารายงานผล ไม่พบความผิดปกติอื่นใด

มีทหารจูงม้าเข้ามา นายกองปีนขึ้นหลังม้า เหล่าทหารที่ติดตามมาคุมตัวคนเลี้ยงม้ารายนั้นไว้เตรียมจากไป

หัวหน้าจุดพักม้าวิ่งเข้ามาหา ประสานมือเอ่ยถาม “ใต้เท้า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ขอรับ?”

เดิมทีนายกองไม่คิดจะสนใจ ต่อไม่ทราบว่านึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรั้งม้าแล้วจ้องมองไปที่เขา เอ่ยถามว่า “ได้ยินว่าเจ้าเพิ่งแต่งอนุมาใหม่อีกคนหนึ่ง คงงดงามมากกระมัง?”

“เอ่อ…” หัวหน้าจุดพักม้าตะลึงงัน สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างจากในสายตาที่ไม่ประสงค์ดีของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว รีบล้วงเหรียญทองเหรียญหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ ประคองส่งให้ด้วยสองมือ “เหล่าพี่น้องทำงานเหนื่อยยาก นำไปซื้อสุราดื่มสักหน่อยเถิดขอรับ!”

นายกองเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นดุดัน ชี้แส้ไปที่เขา “คนผู้นี้อาจจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด จับตัวไปด้วย!”

“ใต้เท้า!” หัวหน้าจุดพักม้าส่งเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนก ยังไม่ทันจะได้โต้แย้งอะไร ทหารหลายนายก็พุ่งเข้ามากดตัวเขาลงไป มัดมือไพล่หลัง อุดปากเอาไว้ จากนั้นลากตัวไปด้วยกัน

เหตุการณ์ทำนองนี้มิได้เกิดขึ้นแค่เพียงที่นี่เท่านั้น ไม่เพียงแต่จะเกิดขึ้นในแคว้นจ้าวเท่านั้น แต่นอกจากแคว้นเยี่ยนแล้ว จุดพักม้าในแคว้นต่างๆ ล้วนทยอยเกิดเรื่องทำนองนี้กันหมด

นี่เป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อยนัก แล้วก็ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้ปรากฏขึ้นมาก่อน ภายในหกแคว้นเกิดการบุกจับกุมขึ้นตามจุดพักม้าในเขตแคว้นของตนอย่างต่อเนื่อง รวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือการสอบสวนญาติสนิทมิตรสหายและคนที่ไปมาหาสู่กับผู้ถูกจับกุมในเวลาปกติอย่างเข้มงวด สืบสาวไปเป็นวงกว้าง ไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเพียงใดที่บ้านแตกสาแหรกขาดและล้มหายตายจากไป

…..

ณ มหานครชื่อโจว รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนตัวออกไปจากมหานคร ก่อนจะค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้น วิ่งไปตามเส้นทางหลวง

ภายในรถม้า เฉวียนเซ่าคังเปิดหน้าต่างบานเล็กที่อยู่ทางด้านหลังออก กระทั่งมหานครชื่อโจวค่อยๆ เลือนหายไปจากครรลองสายตาของเขา เขาถึงจะค่อยๆ ปล่อยม่านลง จากนั้นหันหน้ากลับมาถอนหายใจเบาๆ “จากไปครานี้ เกรงว่าวันหน้าคงไม่มีโอกาสได้กลับมาอีกแล้ว”

พ่อบ้านเฉวียนเฉียวที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยว่า “เดิมทีพวกเราก็เป็นชาวแคว้นเยี่ยนอยู่แล้ว ปกตินายท่านก็คิดถึงบ้านเกิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน วันนี้จะได้กลับแผ่นดินแม่ สมควรต้องดีใจสิขอรับ!”

เฉวียนเซ่าคังเอ่ยว่า “เริ่มจากศูนย์จนมั่งมี ข้าสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจสร้างกิจการอยู่ที่นี่มาครึ่งค่อนชีวิต จู่ๆ ต้องละทิ้งไปเช่นนี้ รู้สึกทำใจไม่ได้เลย!”

เฉวียนเฉียวเอ่ยว่า “เป็นเพราะนายท่านรู้ตัวทันท่วงที แจ้งเตือนเบื้องบนให้ทำการรับมือได้ทันเวลา ถึงแม้เครือข่ายระดับล่างจะเสียหายอย่างหนัก แต่เครือข่ายหลักยังคงปลอดภัยอยู่ ไม่ช้าก็จะขยายตัวไปได้อีกครั้ง นายท่านช่วยให้แคว้นเยี่ยนไม่ต้องเสียหายหนักไปมากกว่านี้ เมื่อกลับไปถึงแคว้นเยี่ยนครานี้ อนาคตย่อมสดใส สมควรจะรู้สึกยินดีนะขอรับ!”

เฉวียนเซ่าคังเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “บางครั้งความดีความชอบและความผิดพลาดมันก็แขวนอยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน เพราะข้าทำพลาดครั้งนี้ ทำให้หลายครอบครัวต้องสูญเสียล้มตาย…ปีนั้นยามที่ข้าจากบ้านมา ท่านพ่อเป็นเพียงขุนนางเล็กๆ คนหนึ่ง คิดไม่ถึงเลยว่ายี่สิบปีผ่านไป ท่านพ่อจะไต่เต้าเป็นขุนนางสูงศักดิ์ได้”

เฉวียนเฉียวเข้าใจความหมายของเขาดี หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา เมื่อก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาก็คงจะถูกผลักให้ออกไปรับโทษแล้ว แต่นายท่านผู้นี้มีคนคอยหนุนหลังอยู่ หน่วยข่าวกรองของแคว้นเยี่ยนไม่กล้าผลักเขาออกไปรับโทษส่งเดช จึงจัดการเปลี่ยนความผิดพลาดให้กลายเป็นผลงาน จากจุดนี้ทำให้มองเห็นถึงอิทธิพลของผู้ที่หนุนหลังเขาอยู่ ส่วนคนธรรมดาที่เข้ามาทำงานด้านนี้ ส่วนใหญ่ล้วนไม่อาจเปิดเผยตัวไปได้ตลอดชีวิต ไหนเลยจะเหมือนนายท่านผู้นี้ที่ถูกเรียกตัวกลับแคว้นเป็นการด่วนแล้วยังได้เลื่อนตำแหน่งเพราะมีความดีความชอบได้ เห็นได้ชัดว่ามีคนต้องการดึงตัวเขาออกมาจากปัญหา ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเขาลงมือแล้ว!

“นายท่านกลับไปครานี้ ท่านผู้เฒ่าคงจะไม่มีทางปล่อยให้นายท่านต้องมาทำงานเช่นนี้อีก เกรงว่าคงเตรียมตำแหน่งอื่นเอาไว้คอยแล้วขอรับ!” เฉวียนเฉียวประสานมือกล่าวว่า “ครั้งนี้ข้าเองก็ได้อาศัยบารมีนายท่านด้วย!”

อันที่จริงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนมิใช่นายบ่าวอันใด หากแต่เป็นเจ้านายและผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นความสัมพันธ์แบบหัวหน้าและรองหัวหน้า ครั้งนี้เขารอดตัวมาได้ก็เพราะบารมีของเฉวียนเซ่าคังจริงๆ

เฉวียนเซ่าคังเอ่ยด้วยสีหน้าเลื่อนลอย “แคว้นเยี่ยนในยามนี้ ย่ำแย่ลงทุกที กลับไปครานี้ไหนเลยจะ…” เขาส่ายหน้า เปลี่ยนคำพูดไป “ไม่รู้ว่าทางฮูหยินกับลูกๆ จะเดินทางไปถึงเมื่อไร”

เฉวียนเฉียวกล่าวว่า “นายท่านวางใจเถอะขอรับ เบื้องบนจะเป็นธุระดูแลรับส่งให้ นายผู้เฒ่าเองก็ไม่มีทางมองดูลูกหลานของตัวเองเกิดเรื่องได้หรอกขอรับ พวกเขาออกเดินทางไปหลายวันแล้ว คาดว่าคงใกล้จะถึงชายแดนแคว้นเยี่ยนแล้ว ขอเพียงเข้าสู่อาณาเขตของแคว้นเยี่ยน พวกเขาก็จะไปถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยแน่นอน เพียงแต่ฮูหยินและเหล่าคุณหนูคุณชายคงจะต้องตกใจกับสถานะของตนเป็นแน่…”

รถม้าเคลื่อนมาหยุดอยู่ที่เชิงเขาลูกหนึ่ง ทั้งสองลงจากรถม้า เฉวียนเฉียวโบกมือให้สัญญาณเล็กน้อย สารถีบังคับรถม้ามุ่งหน้าต่อไป

ทั้งสองเดินเข้าไปในป่า ค่อยๆ ปีนป่ายขึ้นไปจนถึงยอดเขา เก็บกิ่งไม้แห้งส่วนหนึ่งมากองสุมกันไว้บนยอดเขา จากนั้นจุดไฟเผากิ่งไม้

เฉวียนเฉียวล้วงขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมา สาดผงบางอย่างใส่กองไฟ พลันมองเห็นควันสีเหลืองลอยโขมงขึ้นไป

เฉวียนเซ่าคังที่ยืนอยู่บนยอดเขาหันมองไปยังทิศทางของมหานครชื่อโจว “เหล่าพี่น้องมากมายต้องบ้านแตกล้มหายตายจาก แต่ข้ากลับทอดทิ้งพวกเขาหลบหนีมา…หนิวโหย่วเต้า นับว่าเจ้าแน่มาก บัญชีแค้นครานี้ข้าไม่มีวันลืมแน่!”

และในเวลานี้เอง อินทรียักษ์สีดำตัวหนึ่งโฉบเข้ามาจากท้องนภา ร่อนลงเหนือยอดเขา ก่อให้เกิดสายลมกระโชกรุนแรง ร่างสูงประมาณหนึ่งจั้ง

ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งกระโดดลงมา ตรวจสอบยืนยันตัวตนคนทั้งสอง ก่อนจะดึงตัวคนทั้งสองขึ้นสู่หลังอินทรีพร้อมกัน ร่ายพลังป้องกันคนทั้งสองเอาไว้

อินทรียักษ์กางปีกโผบินสู่ท้องนภา บนยอดเขาเหลือเพียงควันไฟที่ลอยม้วนอ้อยอิ่ง

……………………………………………