ตอนที่ 433 สหายเก่ามาเยือน

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 433 – สหายเก่ามาเยือน

 

    ลมปราณยิ่งมายิ่งใกล้ ผู้มาคล้ายจะไม่มีเจตนาอำพรางร่องรอยเลย เดินมาที่ถ้ำพำนักของพวกเขาช้า ๆ อย่างนั้นเอง

    ก่อเกิดตานขั้นกลาง คนเดียวโดด ๆ

    “หยางเฉิงจี?” โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางสบตากัน ทั้งสองเดาออกมาพร้อม ๆ กัน

    คำตอบเปิดเผยอย่างรวดเร็ว เสียงของหยางเฉิงจีดังขึ้นข้างนอกว่า “สหายเต๋าทั้งสอง สหายเก่าได้พบกันใหม่ ไม่รังเกียจที่จะพบหน้าสักครากระมัง”

    เข้ากับรูปลักษณ์อันอ่อนเยาว์ของเขามาก เสียงที่แท้จริงของหยางเฉิงจีใสเสนาะทว่าเจือความแหลมคมเล็กน้อย เพียงแต่ท่าทีของเขาหยิ่งผยองขนาดนั้นอยู่เสมอ เห็นชัด ๆ ว่าน่าจะเป็นเสียงที่ค่อนข้างน่าฟัง แต่มีความหมดความอดทนหนึ่งส่วนอยู่ในนั้นอยู่เสมอ ทำให้คนฟังแล้วไม่รื่นหู

    เนี่ยอู๋ชางใช้สายตาถามไถ่

    โม่เทียนเกอขบคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า หยางเฉิงจีมาคนเดียว อธิบายได้มากแล้ว น่าจะไม่ได้มาหาเรื่อง ถึงพวกนางกับหยางเฉิงจีไม่ได้มีไมตรีอะไร แต่ก็ไม่มีความแค้น

    รอจนโม่เทียนเกอถอนกำแพงอาคมและเนี่ยอู๋ชางเปิดถ้ำพำนัก หยางเฉิงจีก็ยืนอยู่ข้างนอก สวมชุดดำทั้งร่าง ไม่มีหน้ากาก บนมือก็ไม่มีอาวุธเวทอันใด

    เมื่อเห็นพวกนางสองคน เขาพยักหน้าให้โม่เทียนเกอก่อน “สหายเต๋าฉิน”

    โม่เทียนเกอยิ้มทีหนึ่ง อีกฝ่ายทำตัวตามสบายเช่นนี้ นางก็ไม่ได้โค้งคำนับ “สหายเต๋าหยาง ไม่พบกันเสียนาน”

    จากนั้น สายตาของหยางเฉิงจีก็หยุดอยู่บนร่างเนี่ยอู๋ชาง เขาสายตาเยือกเย็น มองอยู่พักใหญ่จึงอ้าปากเอ่ยว่า “ท่านนี้คือสหายเต๋าเทียนฉานกระมัง ข้ากลับไม่รู้ว่าที่แท้สหายเต๋าเทียนฉานเป็นสตรีที่ปลอมเป็นบุรุษ”

    เนี่ยอู๋ชางขณะนี้ไม่มีหน้ากาก แล้วก็ไม่ได้ปลอมตัว มองทีเดียวก็ทราบเพศ นางก็ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังอีก การท่องหุบเขาไร้กังวลวันนั้น นางแค่บังเอิญปลอมตัวเพื่อหลบการตามล่าของสำนักเทียนเหยี่ยน ไม่ได้ตั้งใจเลย

    “สหายเต๋าหยางสายตาดีนัก” เนี่ยอู๋ชางพูดประโยคหนึ่งอย่างเฉยเมย ไม่ได้มีเจตนาจะแรงมาแรงกลับกับเขา ในหุบเขาไร้กังวลในอดีต เพียงเพราะว่านางทนดูพฤติกรรมของหยางเฉิงจีไม่ได้ จึงออกปากเสียดสีไปหลายคำ เรื่องเล็ก ๆ พวกนี้ไม่จำเป็นต้องจดจำมาถึงวันนี้จริง ๆ

    น่าเสียดายที่นางคิดอย่างนี้ แต่หยางเฉิงจีเห็นได้ชัดว่าไม่

    เขายกมุมปาก ดูแล้วคล้ายกำลังยิ้ม แววตากลับมืดมิด เสียงยิ่งเยาะหยันเย็นชา “ดูไม่ออกจริง ๆ สหายเต๋าเทียนฉานไม่เพียงรูปลักษณ์เป็นของปลอม เพศเป็นของปลอม แม้แต่ระดับการฝึกตนยังปลอม เห็นชัด ๆ ว่าเป็นผู้ฝึกมาร ถึงกับปลอมตัวจนไม่มีช่องโหว่แม้เศษเสี้ยว ก็ไม่รู้ว่านามและศักดิ์ฐานะก็เป็นของปลอมหรือไม่?”

    ได้ยินวาจายั่วยุเยี่ยงนี้ เนี่ยอู๋ชางเพียงเหลือบมองเขาอย่างเฉยชา กล่าวว่า “จริงหรือปลอมแล้วสหายเต๋าหยางจะยุ่งอันใดเล่า สหายเต๋าหยางหากว่างขนาดนี้ ไม่สู้คิดว่าจะแย่งวัตถุศักดิ์สิทธิ์กลับมาอย่างไรจะมีประโยชน์กว่า”

    “ท่าน —” หยางเฉิงจีถูกท่าทีของนางทำเอาโมโหจนควันขึ้น นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการหัวเราะเยาะที่เขาเรื่องจริงจังไม่ไปทำ เที่ยวเล่นเป็นเด็ก ๆ! 

    โม่เทียนเกอแอบถอนหายใจ ไม่พบกันหลายสิบปี สหายเต๋าหยางผู้นี้ทำไมเพลิงพิโรธยังใหญ่โตขนาดนี้นะ นอกจากเคยเหน็บแนมเขาไม่กี่คำ เนี่ยอู๋ชางก็ไม่ได้ล่วงเกินอะไรเขาเลย

    “สหายเต๋าหยาง” นางขัดในเวลาที่เหมาะสม “ไม่ได้พบกันหลายปี ไม่ทราบว่าสหายเต๋ามาครั้งนี้มีธุระหรือไม่”

    เมื่อได้ยินเสียงนาง หยางเฉิงจีจึงมีเหตุผลขึ้นมาหน่อย กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “สองท่านอยู่ที่เมืองกุ่ยฟางหลายปี จ้ายเซี่ยกลับไม่ทราบ วันนี้ตั้งใจมาเยี่ยมถึงประตู สหายเต๋าฉินไม่ปฏิเสธกระมัง”

    โม่เทียนเกอหยุดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “ย่อมไม่ปฏิเสธ” ในใจแอบคิดว่า หยางเฉิงจีคนนี้ทำไมพูดไม่น่าฟังขนาดนี้ เยี่ยมก็เยี่ยม พูดให้สุภาพมันจะตายหรือ

    “สหายเต๋าหยางเชิญเข้า ถ้ำพำนักหยาบ ๆ ต้อนรับได้ไม่เพียบพร้อม โปรดอย่าถือสา”

    เมื่อได้ยินโม่เทียนเกอพูดอย่างนี้ หยางเฉิงจีเดินอาด ๆ เข้าไปในถ้ำพำนักแล้วนั่งลง แม้แต่ถ้อยคำตามมารยาทยังไม่มี

    แต่ว่า เขาจะไม่สุภาพอีกแค่ไหนโม่เทียนเกอก็ไม่ถือสา ขอเพียงเขาไม่ได้มาด้วยเรื่องของกระบี่ฝูเซิงก็พอ

    ทั้งสามคนแยกย้ายกันนั่งลง หยางเฉิงจีสำรวจถ้ำพำนักเรียบง่ายนี้ด้วยสายตาวิพากษ์วิจารณ์ เนี่ยอู๋ชางเบื่อแทบตาย โม่เทียนเกอมีความกังขาในใจ

    ผ่านไปพักหนึ่ง หยางเฉิงจีสำรวจเสร็จสิ้นในที่สุด ยกถ้วยชาขึ้นดื่มหนึ่งคำ เอ่ยว่า “สหายเต๋าทั้งสองในเมื่อมาถึงเมืองกุ่ยฟาง ทำไมไม่มาทักทาย หากมิใช่เหตุบังเอิญครั้งนี้ ข้ายังไม่รู้ว่าทั้งสองท่านอยู่ที่นี่”

    โม่เทียนเกอยิ้ม ๆ กล่าวว่า “คิดว่าอาจารย์ท่านจะต้องตรวจสอบไปแล้ว ปีนั้นข้ากับสหายเต๋าเทียนฉานมาถึงที่นี่ล้วนมีอาการบาดเจ็บบนตัว เสาะหาที่รักษาบาดเจ็บ และภายหลัง อวิ๋นจงวุ่นวายขนานใหญ่ กลับไม่สะดวกจะรบกวนแล้ว”

    เมื่อได้ยินนางเอ่ยถึงคำว่าตรวจสอบสองคำ หยางเฉิงจีสีหน้ามีความไม่สบายใจอยู่บ้าง เขาพูดว่ามาเยี่ยมถึงประตู อันที่จริงได้รับคำสั่งของซือฟุ มาดูว่าทั้งสองคนมีสิ่งผิดปกติหรือไม่ ถึงอย่างไรสิ่งของอย่างวัตถุศักดิ์สิทธิ์สำนักพุทธเป็นสิ่งที่มาจากตัวพวกนาง ไม่มีใครประมาทได้

    เขาใช้ประโยชน์จากการก้มหน้าดื่มชาลอบมองโม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางแวบหนึ่ง ค้นพบว่าพวกนางสีหน้าไร้ความผิดปกติ ราวกับว่าเรื่องประเภทนี้เกิดขึ้นเป็นปกติ ไม่ใส่ใจสักนิด จึงได้วางใจลง

    นี่กลับเป็นเขาที่คิดมากแล้ว อย่าพูดว่าระหว่างพวกเขาไร้ซึ่งมิตรภาพ ถึงจะมีมิตรภาพ เมื่อเจอกับเรื่องใหญ่เช่นนี้ การมาลองหยั่งเชิงสักหน่อยเป็นไม่นับว่าเป็นอะไร โม่เทียนเกอและเนี่ยอู่ชางล้วนเห็นจนชิน ใส่ใจที่ไหน นี่ก็แสดงให้เห็นว่าหยางเฉิงจีถึงจะมีสำนักอาจารย์ที่ซับซ้อน ตนเองกลับไม่คุ้นเคยกับวิถีของโลก

    “สหายเต๋าหยาง” ผ่านไปพักใหญ่ หยางเฉิงจียังไม่พูดไม่จา โม่เทียนเกอได้แต่ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน “จากกันที่หุบเขาไร้กังวลในวันวาน ไม่พบกันสี่สิบปี ไม่คิดว่าท่านจะเลื่อนขึ้นขั้นกลางได้อย่างราบรื่นแล้ว ยินดีด้วย”

    หยางเฉิงจีเอ่ยอย่างอึดอัดว่า “สหายเต๋าฉินเกรงใจขนาดนี้เพื่ออะไร พูดถึงการแสดงความยินดี สหายเต๋าทั้งสองล้วนเลื่อนขึ้นขั้นปลาย จึงเป็นเรื่องที่สมควรยินดี ความสำเร็จเล็กน้อยของข้าไม่มีค่าให้เอ่ยถึง”

    โม่เทียนเกอยิ้มเอ่ยว่า “นี่เหมือนกันที่ไหน ข้ากับสหายเต๋าเทียนฉานหลายปีมานี้ซ่อนอยู่ที่เมืองกุ่ยฟาง ไม่เคยออกไปหาประสบการณ์ กลับเป็นสหายเต๋าหยาง ไม่เพียงหนีรอดปลอดภัยในความวุ่นวายเจดีย์มารสวรรค์ ยังสามารถเลื่อนขั้น นี่เทียบกับพวกเราที่ปิดประตูกักตนแล้วแกร่งกว่าตั้งเท่าไหร่”

    ถึงจะเป็นคำยกยอ วาจานี้ของโม่เทียนเกอก็ไม่ได้พูดเหลวไหล หลายปีมานี้ อวิ๋นจงมีสถานการณ์อย่างไร พวกนางไม่เคยเห็นกับตา แต่ได้ยินข่าวจากภายนอกก็รู้ว่าอเนจอนาถมาก หยางเฉิงจีสามารถมีชีวิตรอดในความวุ่นวายอย่างนี้ อีกทั้งยังเลื่อนขั้นสำเร็จ ไม่ง่ายดายเลย

    ได้ยินวาจานี้แล้ว สีหน้าของหยางเฉิงจีจึงดูดีขึ้นมากมาย เผยรอยยิ้มบาง ๆ เอ่ยว่า “สหายเต๋าทั้งสองมีกิจธุระ ข้าก็จะไม่เสียเวลาแล้ว อันที่จริงที่มาในครั้งนี้ หนึ่งคือมาพบเพื่อนเก่า ตั้งใจมาเยี่ยมเยือน สองคนในมือสหายเต๋าฉินถึงกับมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์สำนักพุทธ ผู้แซ่หยางใคร่รู้อย่างยิ่ง ดังนั้น……”

    “ที่แท้เป็นเช่นนี้” โม่เทียนเกอสีหน้าเรียบนิ่ง ยิ้มบางกล่าวว่า “อันที่จริงพูดไปแล้ว เรื่องนี้ข้าก็รู้สึกเหลือเชื่อมาก หากมิใช่พวกเขาวัดหัวเหยียนเสาะมาถึงหน้าประตู ข้ายังไม่รู้ว่าในมือตนเองมีสมบัติสำคัญเลย! เฮ้อ ครองสมบัติสำคัญทว่าไม่รู้ตัว ตอนที่รู้กลับไม่อาจไม่มอบออกไป เห็นได้ว่าสิ่งของนี้ไม่ใช่ของของข้าจริง ๆ เรียกร้องมากก็ไร้ประโยชน์”

    ตอนที่พูดวาจานี้ โม่เทียนเกอใบหน้าเสียดาย เสียใจอย่างสุดซึ้ง หยางเฉิงจีเห็นนางไม่คล้ายหลอกลวง อดเห็นใจอยู่บ้างไม่ได้ เอ่ยว่า “สหายเต๋าฉินไม่ต้องเสียใจเกินไป เจดีย์มารสวรรค์หนึ่งอันก็ชักจูงให้อวิ๋นจงวุ่นวายอยู่หลายสิบปี ผู้ฝึกตนสิ้นชีพนับไม่ถ้วน เห็นได้ว่าบางเวลาได้ครองสมบัติสำคัญก็ไม่ใช่เรื่องดี ผู้ฝึกตนอย่างพวกเรา ไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอจะครอบครองอาวุธเวทเช่นนี้ มิสู้มอบออกไปแต่โดยดี ไม่เช่นนั้นทิ้งชีวิตไปกลับไม่คุ้มค่า”

    “สหายเต๋าหยางพูดก็ใช่” โม่เทียนเกอเห็นด้วยอย่างร่าเริง “หากไม่คิดอย่างนี้ ข้าก็เจ็บใจที่ต้องมอบสมบัติชิ้นนี้ออกไปแล้ว ใครใช้ให้พวกเราระดับการฝึกตนต่ำเล่า เรื่องบางอย่างก็ได้แต่ทนเอาไว้”

    “สหายเต๋าฉินสามารถคิดตกก็ดี” ขณะที่หยางเฉิงจีพูดคำพูดนี้ เจือการคัดค้านอยู่หลายส่วน พูดจบ ก็ถามอย่างรอไม่ไหวว่า “แต่ไม่รู้ว่าสหายเต๋าฉินสรุปแล้วได้รับวัตถุศักดิ์สิทธิ์สำนักพุทธนี้มาอย่างไรหรือ”

    โม่เทียนเกอรู้แต่แรกว่าตนเองยังต้องอธิบายเรื่องนี้สักรอบ ขณะนี้ก็ไม่ได้ถ่วงเวลา พูดเรื่องที่พบเมื่อสี่สิบปีก่อน จบด้วยการเอ่ยว่า “ว่าไปแล้ว หลังจากนั้นไม่นานข้าก็ได้พบสหายเต๋าหยางแล้ว ไม่รู้ว่าเวลานั้นสหายเต๋าหยางอยู่ที่เมืองเทียนเสวี่ยหรือไม่”

    “ที่แท้เป็นเช่นนี้……” หยางเฉิงจีเสียดาย เวลานั้นเขาเหมือนจะกำลังเร่งรุดไปที่เมืองเทียนเสวี่ย น่าเสียดายที่คลาดไปนิดเดียว เดินเฉียดผ่านวัตถุศักดิ์สิทธิ์ไป แต่ว่า ถึงเขาจะได้พบก็ไม่มีประโยชน์ เวลานั้น เขาไม่รู้เลยว่าสิ่งของนี้เป็นหนึ่งในห้าวัตถุศักดิ์สิทธิ์

    เมื่อรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรให้ถามแล้ว หยางเฉิงจีหันเหหัวเรื่องไปว่า “ไม่ทราบสหายเต๋าทั้งสองถัดจากนี้ไปวางแผนอะไรเอาไว้”

    เห็นหยางเฉิงจีไม่ถามมากความอีก โม่เทียนเกอผ่อนลมหายใจ ยิ้มเอ่ยว่า “ยังสามารถทำอันใดเล่า สหายเต๋าหยางก็รู้ ข้าเดิมมิใข่ชาวอวิ๋นจง หากมิใช่ว่าหลายสิบปีมานี้อวิ๋นจงวุ่นวาย ข้าก็จากไปแต่แรกแล้ว กลับไปบ้านเกิด ในเมื่อปัจจุบันนี้ความวุ่นวายค่อย ๆ สงบ ขอเพียงข้าทำธุระของตนเองเสร็จสิ้นก็จะจากไป”

    “อ้อ ผู้แซ่หยางลืมไปชั่วขณะ ว่าไปแล้ว ช่วงเวลาที่สหายเต๋าฉินอยู่อวิ๋นจงไม่สั้นเลย ไม่ได้กลับไปนานขนาดนี้ ญาติที่บ้านคิดถึงมากแล้วกระมัง”

    “ใช่” ในดวงตาโม่เทียนเกอปรากฏแววคิดถึง “ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะมาเสาะหาถึงอวิ๋นจง……”

    “สหายเต๋าเทียนฉานเล่า” หยางเฉิงจีหันเหสายตาไปที่เนี่ยอู๋ชาง “ทำไมไม่พูดไม่จาเลย”

    เนี่ยอู๋ชางคล้ายจะใจลอย เมื่อได้ยินเสียงของเขาก็มองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ข้าเดิมก็ไม่ชอบพูดจา สหายเต๋าหยางอยากถามอะไร”

    หยางเฉิงจีขมวดคิ้วนิด ๆ ถามซ้ำว่า “ไม่รู้ว่าถัดจากนี้สหายเต๋าเทียนฉานวางแผนอะไรเอาไว้ ต้องการไปจากเมืองกุ่ยฟางหรือไม่”

    เนี่ยอู๋ชางเงียบงันไปครู่หนึ่งจึงตอบว่า “จุดนี้ ไม่อาจตอบสหายเต๋าหยางได้ชั่วคราว ข้านิสัยสบาย ๆ เสมอ อาจจะไปพรุ่งนี้เลย แล้วก็อาจจะรั้งอยู่ที่นี่หลายปี” นางไม่มีแผนแน่นอนจริง ๆ ถึงจะบอกว่าเรื่องของวัตถุศักดิ์สิทธิ์สำนักพุทธไม่เกี่ยวข้องกับพวกนางแล้ว แต่เรื่องนี้ถึงที่สุดแล้วจะก่อให้เกิดผลตามหลังอะไร กลับบอกไม่ได้ แต่หากจากไป ด้วยสภาพของนางในขณะนี้กลับไม่เหมาะสม

    “……”

    โม่เทียนเกอเห็นว่าบรรยากาศพิกลอยู่บ้าง ยิ้มแล้วเอ่ยปากว่า “สหายเต๋าเพียงถามพวกเรา ไม่ทราบว่าท่านวางแผนอันใดไว้เล่า พวกเราอยู่ที่เมืองกุ่ยฟางในช่วงหลายปีนี้ ได้ยินว่าปัจจุบันท่านเป็นศิษย์ที่มีความเป็นไปได้ที่สุดที่จะผูกจิตวิญญาณในสำนักอาจารย์ ได้รับความสำคัญถึงสิบส่วน พอผูกจิตวิญญาณ เป็นไปได้ว่าจะได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าเมือง ช่างน่ายินดีโดยแท้”

    เอ่ยถึงเรื่องนี้ ใบหน้าหยางเฉิงจีกลับไร้วีแววยินดีสักครึ่งส่วน เขาเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “สหายเต๋าฉินมีใจแล้ว แต่เสียดายที่เรื่องนี้มิใช่สิ่งที่ผู้แซ่หยางร้องขอ”

    “……” ได้ยินวาจานี้ของเขา แล้วยังน้ำเสียงนี้ โม่เทียนเกออยากจะเหยียบหน้าหยางเฉิงจีสักเท้าจริง ๆ ถึงเขาดูแล้วจะยังมีรูปลักษณ์อ่อนเยาว์ แต่เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานแล้ว อ่อนเยาว์อย่างไรก็มีชีวิตมาหนึ่งร้อยกว่าปีแล้ว หรือจะไม่รู้ว่าอะไรเรียกว่าฉากพูดคุย? ตอนนี้นางก็ขี้เกียจจะคุยแล้ว

    ทั้งสามคนต่างตนต่างนั่งกันไปเงียบ ๆ หยางเฉิงจีในที่สุดก็ค้นพบสักทีว่าบรรยากาศไม่ถูกต้อง มองดูโม่เทียนเกอ แล้วมองดูเนี่ยอู๋ชาง อยากจะพูดอะไร สุดท้ายกลืนกลับลงไปอีก เอ่ยอย่างซึม ๆ ว่า “สหายเต๋าทั้งสองดูท่าจะมีธุระ ผู้แซ่หยางขอลาไปก่อน ภายหลังมีโอกาสจะมาเยี่ยมเยือนอีก”

    โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางได้ยินวาจานี้ ล้วนเผยรอยยิ้มในที่สุด ลุกขึ้นส่งแขก “สหายเต๋าหยางเชิญ มีโอกาสค่อยพบกันใหม่”

    หยางเฉิงจีเห็นรอยยิ้มที่เนี่ยอู๋ชางยากจะเผยออกมา ยิ่งรู้สึกหดหู่ กุมมือมั่ว ๆ แล้วลุกขึ้นจากไป 

……………….

 

น้องหยางนี้คืออยากจะมาผูกมิตรแต่พูดไม่เป็นปะเนี่ย สงสารนิด ๆ นะ เห็นใจด้วย เราก็ประเภทต่อบทสนทนาไม่เป็นเหมือนกัน

 

ตอนที่ 434 – เมืองเล็กชายทะเล