ตอนที่ 83-2 เฉียวเวยออกโรง
เฉียวเวยลงไปห้องครัว

“พ่อครัวหวง พักนี้กิจการเหลาสุราของพวกเราถูกเย่ว์ไหลแย่งลูกค้าไปไม่น้อย ท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด” เฉียวเวยถามพ่อครัวหวงเงียบๆ ในห้องครัวมีเพียงพวกเขาสองคน

พ่อครัวหวงส่ายศีรษะ “ข้าไหนเลยจะทราบ พวกเราก็ไม่ได้ให้อาหารลูกค้าปริมาณน้อยเลยนะ”

เฉียวเวยเอ่ยเสียงเบา “ตรงนี้ไม่มีคนอื่น ข้าจะพูดความจริงกับท่านก็แล้วกัน อาหารเหล่านั้นที่พวกเราปรุงกันก่อนหน้านี้โด่งดังมากเกินไปจึงถูกเย่ว์ไหลมาลักสูตรเอาไปเสียแล้ว วันนี้ข้าจะสอนอาหารจานใหม่จานหนึ่ง ท่านอย่าเพิ่งไปบอกผู้อื่น”

“อาหารอะไรหรือ” พ่อครัวหยางเอ่ยาม

เฉียวเวยหั่นเนื้อไก่เป็นลูกเต๋า “ไก่ผัดพิทักษ์วัง”

“เนื้อไก่หั่นเต๋าทำเช่นนี้ได้หรือ” พ่อครัวไห่ตาโตลิ้นพันกัน พลางมองของในชาม “น้ำเหนียวๆ สีแดงนี่คือเครื่องปรุงอะไร ดมแล้วไม่เห็นได้กลิ่นพริกนะ!”

“เผ็ดพอตัวทีเดียวล่ะ ไม่เชื่อท่านลองชิม” เฉียวเวยยกจานขึ้นมาส่งไปตรงหน้าพ่อครัวเหอ “รับประกันว่าท่านจะเผ็ดจนน้ำตาไหล!”

พ่อครัวเหอใช้ตะเกียบคีบสิ่งที่ทั้งนิ่มทั้งขาวและชุ่มน้ำเครื่องปรุงสีแดงนั่นขึ้นมากัดคำโตอย่างไม่ลังเลสักนิด “อืม เผ็ดนัก! อร่อยยิ่ง!”

เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “อร่อยมากหรือ ถ้าเช่นนั้นอีกประเดี๋ยว ข้าจะสอนพวกเขาสามคน ตอนนี้เย็นแล้ว ท่านกลับไปก่อนเถิด”

“อืม! ข้าไปก่อน!” พ่อครัวเหอหมุนตัวเดินออกจากห้องครัว

เฉียวเวยยกมือขึ้นแกะผ้ากันเปื้อน “พ่อครัวหวง ท่านช่วยข้าดูหน่อยว่าตุ๋นได้ที่หรือยัง หนึ่งชั่วยามแล้ว น่าจะเอาขึ้นจากหม้อได้แล้ว”

วันต่อมาเฉียวเวยก็ไปที่โรงเตี๊ยมเย่ว์ไหลอีกครั้ง แล้วสั่งอาหารสูตรลับจานใหม่ที่เพิ่งออกจากเตาของพวกเขา เป็นดังคาดมีอาหารที่นางเพิ่งสอนเมื่อวานจริงๆ ความจริงแล้วรสชาติธรรมดายิ่งนัก แต่คนผู้นั้นก็ยังเผยความลับให้โรงเตี๊ยมเย่ว์ไหลอย่างไม่มีกั๊ก โรงเตี๊ยมเย่ว์ไหลจึงชิงทำออกมาก่อนอย่างทนรอไม่ไหว นี่คงคิดจะให้หรงจี้กลายเป็นฝ่าย ‘ลอกเลียน’ ตามคำกล่าวหาของพวกเขาจริงๆ หน้าไม่อายนัก

แต่ก็โชคดีที่พวกเขาไร้ยางอายเช่นนี้ ในที่สุดนางจึงรู้แล้วว่าไส้ศึกคือผู้ใด

เฉียวเวยกลับมาถึงหรงจี้ก็เรียกทุกคนมาที่ห้องโถงด้านหน้า แล้วยิ้มเฉยชาพลางมองทุกคน “หรงจี้มีไส้ศึก เห็นแก่ที่ทุกคนทำงานมาด้วยกัน ข้าจะให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง ก้าวออกมายอมรับผิดด้วยตนเอง ข้าจะละเว้นเจ้า หากไม่เป็นเช่นนั้น…ข้าก็จะใช้วิธีตามอย่างยุทธภพ”

ทุกคนมองหน้ากัน ไม่ทราบว่าที่แท้นางหมายถึงผู้ใด

เถ้าแก่หรงยืนอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน คิ้วขมวดแน่น

เสี่ยวลิ่วขยับเข้าไปใกล้เขา “ไม่ใช่ข้านะ เถ้าแก่”

เถ้าแก่หรงแค่นเสียงเหอะอย่างเย็นชา “ข้าว่าเจ้านั่นแหละ ทั้งวันตาหลุกหลิกลับๆ ล่อๆ! เวลาทำงานก็ชอบเผ่นแน่บหายหัว!”

“ข้าสาบานว่าข้าไม่ได้เป็นไส้ศึก ก็แค่…ขโมยอาหารจากห้องครัวนิดหน่อยไปให้แม่นางผู้นั้นที่ขายเต้าหู้” เสี่ยวลิ่วตกหลุมรัก ‘แม่ค้าเต้าหู้คนงาม’ ผู้นั้นเข้าแล้ว ทุกสามวันห้าวันต้องแอบขโมยอาหารจากห้องครัวไปให้ผู้อื่น แต่นอกจากเรื่องนี้เขาก็ไม่ได้ทำสิ่งใดจริงๆ

เถ้าแก่หรงกลอกตา!

“ไม่ออกมาใช่หรือไม่ ถ้าเช่นนั้นข้าจะขานชื่อ ข้าขอบอกเอาไว้ก่อน หากข้าเอ่ยชื่อแล้วจะไม่มีหนทางแก้ไขอีก ข้าจะนับสุดท้ายถึงสาม ไม่อยากลำบากก็ก้าวออกมาเอง! หนึ่ง สอง…สาม” เฉียวเวยแววตาเย็นยะเยือก “พ่อครัวหวง! ท่านยังไม่ยอมรับอีกหรือ!”

พ่อครัวหวงเผยสีหน้าตกใจยิ่งนัก “ทำไมเป็นข้าเล่า”

เฉียวเวยเอ่ยเสียงเย็นชา “ไม่ใช่ท่านแล้วเป็นผู้ใด”

พ่อครัวหวงโกรธจนเต้นผาง “ข้าไม่ได้ทำ! ข้าไม่ใช่ไส้ศึก! เจ้าใส่ร้ายป้ายสีคน!” เขามองไปทางเถ้าแก่หรง “เถ้าแก่ ข้าอยู่ที่หรงจี้มาเจ็ดแปดปีแล้ว เป็นพ่อครัวชุดแรกสุดของที่นี่ ในใจข้า หรงจี้ก็เหมือนกับบุตรของตนเอง ข้าจะทรยศหรงจี้ได้เช่นไร”

ในหมู่พ่อครัวทั้งสี่คน พ่อครัวหวงเป็นคนที่ทำงานมายาวนานที่สุด เป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งของหรงจี้โดยไม่มีผู้ใดปฏิเสธ พ่อครัวคนอื่นเงินเดือนห้าตำลึง แต่เขาได้แปดตำลึง เถ้าแก่หรงให้เกียรติเขาเท่าใดดูจากตรงนี้ก็เห็น

เถ้าแก่หรงเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาเป็นไส้ศึก เขามองเฉียวเวยแล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวเฉียว เจ้าเข้าใจผิดหรือไม่”

แววตาของเฉียวเวยไม่สั่นไหวสักนิด “ข้าไม่ได้เข้าใจผิด เขานี่แหละ หวงเทียนเป่า”

พ่อครัวหวงโกรธจัด “แม่นางเฉียวข้าเหมือนจะไม่เคยทำสิ่งใดล่วงเกินเจ้านะ เหตุใดเจ้าจึงใส่ร้ายข้าเช่นนี้ เจ้าถูกผู้ใดบงการมาหรือ จึงต้องการขับไล่ข้าออกจากหรงจี้! หรงจี้ไม่มีข้าก็เท่ากับขาดเสาหลักไปต้นหนึ่ง! เจ้าคิดจะล้มหรงจี้กระมัง!”

พูดกันตามจริงแล้ว ยามปกติพ่อครัวหวงก็มีความสัมพันธ์กับผู้อื่นไม่เลว ปฏิบัติกับผู้อื่นด้วยดี น้ำใจกว้างขวาง ไม่วางมาดเป็นพ่อครัวใหญ่สักนิด ทุกคนล้วนนับถือเขา ดังนั้นเมื่อเฉียวเวยพูดว่าหรงจี้มีไส้ศึก มิว่าอย่างไรทุกคนก็ไม่คิดถึงเขา

ยามนี้เมื่อเขากับเฉียวเวยยืนกรานคนละอย่าง ความจริงแล้วตาชั่งในใจของทุกคนจึงโน้มเอียงไปทางฝั่งพ่อครัวหวงอยู่เล็กน้อย

เฉียวเวยไม่รีบร้อนโต้เถียงกับเขา แต่เอ่ยเสียงราบเรียบ “วันนี้ข้าไปโรงเตี๊ยมเย่ว์ไหลมา อาหารจานใหม่ที่พวกเขาเพิ่งวางขายก็คือ…น้ำแกงเต้าหู้ไก่เต๋า นี่คืออาหารที่ข้าสอนท่านเองกับมือเมื่อวาน”

พ่อครัวหวงตวาดเกรี้ยวกราด “เจ้าไม่ได้สอนข้าคนเดียวสักหน่อย!”

“พ่อครัวหยาง เมื่อวานข้าสอนอาหารอะไรให้ท่าน”

“ไก่ผัดพิทักษ์วัง”

“พ่อครัวไห่ ข้าสอนอะไรให้ท่าน”

“ไก่เต๋าผัดมะเขือเทศ”

“พ่อครัวเหอ ท่านเล่า”

“ขนมแป้งเหนียวผัดเผ็ด”

พ่อครัวหวงหน้าถอดสี

เฉียวเวยเอ่ยพร้อมสีหน้าเฉยเมย “เมื่อวานหลังจากเลิกงานแล้ว ข้าแยกกันสอนอาหารให้พวกท่านหนึ่งอย่าง แต่มีเพียงน้ำแกงเต้าหู้ไก่เต๋าที่อยู่ในมือท่านที่ถ่ายทอดต่อไปให้เหลาสุราเย่ว์ไหล ท่านยังจะเถียงข้างๆ คูๆ อีกหรือ”

ทุกคนมองมายังพ่อครัวหวงแล้วแสดงสีหน้าผิดหวังออกมา

พ่อครัวหวงกำหมัดแน่น “คนที่ทำน้ำแกงเต้าหู้ไก่เต๋าเป็นมิใช่ข้าเพียงคนเดียวสักหน่อย! เจ้าก็ทำเป็นมิใช่หรือ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจเป็นคนถ่ายทอดวิชาให้เหลาสุราเย่ว์ไหลก็ได้! เจ้าต่างหากไส้ศึกที่เหลาสุราเย่ว์ไหลส่งมา!”

เฉียวเวยยิ้มหยัน “ข้ามีฝีมือเช่นนี้อยู่ จำเป็นต้องมาเป็นไส้ศึกที่หรงจี้หรือ ท่านลืมแล้วใช่หรือไม่ว่าอาหารขายดีเหล่านี้เป็นผู้ใดที่ทำขึ้นมาเป็นคนแรก เหลาสุราเย่ว์ไหลใช้อาหารของข้าก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าไม่ต่างกัน หากข้าเป็นคนของเย่ว์ไหลจริงก็สอนวิชาให้พวกเขาตรงๆ ก็พอแล้ว ไยต้องมากความทำให้หรงจี้รุ่งเรืองขึ้นมาก่อน นั่นมิใช่ถอดกางเกงผายลมหรอกหรือ! ยิ่งไปกว่านั้น ข้ามีส่วนแบ่งของหรงจี้อยู่สามส่วน ก็นับว่าเป็นเจ้าของหรงจี้ด้วย สมองข้าน้ำเข้าหรือไรข้าจึงจะไปช่วยผู้อื่นแย่งลูกค้าของข้าเอง!”

“เจ้า…เจ้าเป็นเถ้าแก่หรงจี้ได้อย่างไร ตั้งแต่เมื่อไร” พ่อครัวหวงตาค้างลิ้นพันกัน เห็นชัดว่ามิทราบเรื่องที่สถานะของเฉียวเวยในหรงจี้เปลี่ยนกลับตาลปัตรไปแล้ว คนอื่นก็เหมือนกันกับเขา ทุกคนตกใจจนคางเกือบจะร่วงลงมา

ในใจพ่อครัวหวงตะโกนอย่างเคียดแค้น เขาอยู่หรงจี้มาเจ็ดแปดปี พูดถึงความดีความชอบมีความดีความชอบ พูดถึงลำบากตรากตรำก็ลำบากตรากตรำ เรียกได้ว่าเขาพาหรงจี้ก่อร่างสร้างตัวมากับมือ สตรีคนนี้เพิ่งมาเพียงครึ่งปีก็กลายเป็นเถ้าแก่ของหรงจี้แล้ว ถ้าเช่นนั้นเขาเล่า เหตุใดเขาจึงไม่ได้อะไรเลย

เถ้าแก่หรงเจ้าไก่ขนเหล็ก ขนสักเส้นไม่ยอมถอน ทุกเดือนให้เงินเขาเพียงแปดตำลึง แต่เย่ว์ไหลกลับมาบอกเขาว่า ขอเพียงเขา ‘ย้าย’ อาหารจานใหม่ของหรงจี้มาให้ได้ ทุกเดือนจะให้เขายี่สิบตำลึง เทียบกับเจ้าไก่ขนเหล็กตัวนี้มากกกว่าอีกมิใช่หรือ

เฉียวเวยเอ่ยเสียงเฉยชา “เสี่ยวลิ่ว ส่งหวงเทียนเป่าไปพรรคชิงหลง บอกหัวหน้าพรรคเฉินว่าหรงจี้มีคนทรยศ รบกวนเขาช่วย ‘สั่งสอน’ สักหน่อย”

กลุ่มอันธพาลย่อมไม่ใช่สถานที่ซึ่งคนธรรมดาจะไปเยือน ตอนไปเดินเข้าไป แต่ตอนออกต้องนอนออกมา

พ่อครัวหวงหน้าซีดเผือดในพริบตา เดิมคิดว่าถูกจับได้อย่างมากก็ถูกไล่ออกจากหรงจี้ เขามีฝีมืออยู่กับตัว ต่อให้ออกจากหรงจี้ไปก็ยังทำมาหาเลี้ยงชีพได้ดังเดิม แต่หากต้องเข้าไปในพรรคชิงหลง ทุกสิ่งก็ไม่แน่แล้ว อยู่ที่นั่นถูกตีตายก็ไม่มีผู้ใดเอาชีวิตมาชดใช้

“แม่นางเฉียว! เฉียวฮูหยิน! เถ้าแก่! ข้ายอมรับผิดแล้ว! ท่านละเว้นข้าเถิด! ข้าไม่กล้าอีกแล้ว!”

เฉียวเวยหนังตาไม่ขยับสักนิด “ตอนนี้ยอมรับผิด สายเกินไปแล้ว”

เขาคุกเข่าลงไปดัง ตึก! “เถ้าแก่!”

เฉียวเวยก้มหน้ามองเขาพลางเอ่ยว่า “ตอนที่ข้าให้เจ้าก้าวออกมา เจ้าไม่ก้าวออกมา คิดว่าคำพูดข้าเป็นลมผ่านหูหรือ วันนี้ไม่ให้บทเรียนกับเจ้า คนอื่นก็คงไม่จดจำ”

นี่มันจะ…เชือดไก่ให้ลิงดู

ทุกคนมองพ่อครัวหวงถูกเสี่ยวลิ่วกับลูกจ้างที่เป็นบริกรอีกสองสามคนลากออกไปจากหรงจี้อย่างขวัญหนีดีฝ่อ แม้เดินออกไปไกลแล้วก็ยังได้ยินเสียงร้องไห้ราวกับหมูถูกเชือดของเขา

นับตั้งแต่นาทีนี้ไป ไม่มีผู้ใดกล้าคิดไม่ดีอันใดอีกแล้ว

เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งขรึม “พวกเจ้าอยากเอาสูตรอาหารของหรงจี้ออกไป ทำได้ แต่ต้องรอหลังจากลาออกเสียก่อน อย่าตัวอยู่ค่ายโจโฉ ใจอยู่แคว้นฮั่น ชื่อเสียงเน่าเหม็นแล้ว ต่อไปย่อมทำอาชีพนี้อีกมิได้”

คืนนั้น เฉียวเวยกับเถ้าแก่หรงหารือกันว่าจะเพิ่มเงินเดือนให้ทุกคน ถือว่าเป็นการปลอบประโลมจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เฉียวเวยเก็บของเรียบร้อยก็มองเถ้าแก่หรง “ข้าเพิ่งพบว่าท่านใจอ่อนเสียเหลือเกิน!” เป็นเถ้าแก่แต่เป็นเสียแบบนี้ มิน่าพ่อครัวหวงถึงไม่กลัว นิสัยอย่างเถ้าแก่หรง น่ากลัวว่าต่อให้ความลับถูกแพร่งพรายก็คงทำเพียงไล่ไส้ศึกออกเท่านั้น ไม่มีความน่ากลัวเลยสักนิด เย่ว์ไหลมาข่มเหงกรงจี้ กล่าวว่าหรงจี้ขโมยสูตรอาหารของพวกเขา เถ้าแก่หรงก็ทำเพียงนั่งถอนหายใจดังเฮ้ออยู่ในร้าน ไม่คิดจะโต้แรงๆ กลับไป มีคนเช่นนี้เป็นเถ้าแก่ เฉียวเวยชอบ แต่เป็นเพื่อนร่วมงาน ออกจะถ่วงแข้งถ่วงขาอยู่เล็กน้อย

เถ้าแก่หรงเบ้ปาก “ภรรยาข้าก็เคยพูดเช่นนี้”

“บ้านท่าน ใครเป็นใหญ่” เฉียวเวยถาม

“แน่นอนว่า…” เถ้าแก่หรงกระแอม แล้วตอบอย่างอึกอัก “ภรรยาข้า”

เฉียเวยกุมหน้าผาก “อยู่บ้านท่านไม่ออกสิทธิออกเสียงก็ช่างเถิด แต่มาอยู่ข้างนอกแล้วดีร้ายก็ต้องมีความกล้าเสียบ้าง ปล่อยให้คนมาข่มเหงจนเป็นเช่นนี้ ท่านไม่โกรธหรือ”

เถ้าแก่หรงเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “ก็ไม่ใช่ว่าข้าไม่โกรธ ข้าแค่…”

“แค่อะไร” เฉียวเวยจี้ถาม

เถ้าแก่หรงมองรอบๆ แล้วเอ่ยเสียงเบา “เถ้าแก่เนี้ยของเย่ว์ไหล ก่อนหน้านี้เคยมีสัมพันธ์กับข้า ข้าไม่สะดวกใจวิ่งไปทะเลาะกับนาง”

เฉียวเวยถูกเขาทำให้โมโหจนหัวเราะ “พูดมาตั้งนาน ที่แท้ท่านก็เป็นพวกมากรัก ได้ ไม่ไปก็ไม่ไป ถึงอย่างไรก็กำจัดไส้ศึกได้แล้ว พวกเขาอยากขโมยวิชาอีกก็คงขโมยไม่สำเร็จ อาหารพวกนั้น ไม่นานลูกค้าก็จะกินจนเบื่อหน่ายไปเอง”

วุ่นอยู่ข้างนอกทั้งวัน เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้าน เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองก็นอนหลับอยู่บนเตียงแล้ว

ป้าหลัวคอยช่วยพัดอยู่ข้างตัวทั้งสองคน พลางถามเฉียวเวยว่าทานข้าวแล้วหรือยัง

เฉียวเวยปลดปิ่นบนศีรษะออก แล้ววางไว้ในกล่องวาดลายอันงดงามเป็นอย่างดี “ทานแล้วเจ้าค่ะ จริงสิ แม่บุญธรรม หมู่บ้านของพวกเรามีแม่น้ำมากหรือไม่”

“แม่น้ำมีไม่มากหรอก มีแค่สองสาย สายหนึ่งเชื่อมไปที่เขื่อน อีกสายหนึ่งไม่รู้เชื่อมไปที่ใด เจ้าถามเรื่องนี้ทำอะไรหรือ”

“ข้าจะใช้สักหน่อย ถ้าอย่างนั้น..บึงน้ำมีกี่แห่งหรือ”

“บึงน้ำมีมากอยู่ สักสี่ห้าแห่งกระมัง”

“เจ็ดแห่ง!” หลัวหย่งจื้อเดินเข้ามาทางประตู ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนจึงเดินเข้ามาในห้องบอกว่า “บ่อเลี้ยงปลามีสามแห่ง บึงธรรมชาติมีสี่แห่ง”

เฉียวเวยมองหลัวหย่งจื้อ “พี่ใหญ่ สถานที่พวกนี้จับกุ้งได้หรือไม่”

“แน่นอน!” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ หลัวหย่งจื้อก็ตื่นเต้นเล็กน้อย “ข้าไปจับมามากมายทุกปี! กินไม่หมดยังให้สวีต้าจ้วงเอาไปช่วยข้าขายที่เมืองอยู่เลย โชคดีนัก ขายได้เงินไม่น้อย!”

เฉียวเวยดวงตาเป็นประกายน้อยๆ “ตอนนี้…น่าจะมีกุ้งให้จับแล้วกระมัง”

หลัวหย่งจื้อช่วงนี้วุ่นอยู่กับการสร้างบ้านให้เฉียวเวยจึงไม่มีเวลาไปจับกุ้ง แต่จากประสบการณ์ในอดีตของเขา เดือนสี่ตามปฏิทินก็เริ่มมีกุ้งก้ามแดงบ้างแล้ว

“น้องสาวเจ้าอยากกินกุ้งหรือ วันพรุ่งนี้ข้าจะไปจับให้เจ้า” หลัวหย่งจื้อรักน้องสาวคนนี้ยิ่งนัก

เฉียวเวยยิ้มพลางส่ายศีรษะ “ข้าไม่อยากกิน แต่ข้าอยากรับซื้อ”

“รับซื้อหรือ” หลัวหย่งจื้อขมวดคิ้วอย่างสงสัย

เฉียวเวยคลี่ยิ้มแล้วตอบว่า “พี่ใหญ่ กุ้งในตลาดเมืองเราราคาชั่งละเท่าไรหรือ”

หลัวหย่งจื้อคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เรื่องนี้…ต้องดูขนาดกุ้ง ปีก่อนกุ้งขนาดสี่เฉียน[1]ถึงหกเฉียนขายได้สิบห้าอีแปะต่อหนึ่งชั่ง[2] กุ้งขนาดเจ็ดถึงเก้าเฉียนขายได้ยี่สิบห้าอีแปะ หนักหนึ่งเหลี่ยง[3]ขึ้นไปก็จะแพงแล้ว ข้าไม่เคยจับได้ แต่ได้ยินว่าห้าสิบอีแปะต่อหนึ่งชั่งเชียวนะ!”

เฉียวเวยเอ่ยเหมือนกำลังขบคิดไปด้วย “กุ้งหนักมากกว่าหนึ่งเหลี่ยงไม่ค่อยอร่อย น้ำหนักเจ็ดถึงเก้าเฉียนกำลังพอดี กุ้งหนักแปดเฉียนดีที่สุด”

“น้องสาว เจ้าพูดอะไรนะ” หลัวหย่งจื้อฟังไม่ชัด

เฉียวเวยชะงัก “พี่ใหญ่ ราคาที่ท่านบอกเป็นราคาขายปลีกหรือราคาขายส่งเล่า หมายถึงราคาที่ร้านค้าพวกนั้นรับซื้อจากพวกท่านน่ะ”

หลัวหย่งจื้อเบ้ปาก “ถ้าอย่างนั้นก็ต่ำลงมาหน่อย ต้องน้อยลงมากกว่าครึ่ง”

เฉียวเวยลูบคาง “พี่ใหญ่ วันพรุ่งนี้ท่านไม่ต้องไปสถานที่ก่อสร้างแล้ว”

หลัวหย่งจื้อตะลึง “ถ้าอย่างนั้นข้าจะทำอะไรเล่า”

เฉียวเวยจึงตอบว่า “ท่านไปรับซื้อกุ้ง ซื้อจากหมู่บ้านเรากับหมู่บ้านข้างเคียงมาให้หมด มีเท่าไรก็เอาเท่านั้น กุ้งตายไม่เอา ราคาย่อมต้องไม่เอาเปรียบพวกขา ราคาตลาดเท่าไร พวกเราให้พวกเขาไม่ขาดสักอีแปะเดียว!”

“แบบนั้นกุ้งจะมากสักเท่าไรกัน” ป้าหลัวตกใจเล็กน้อย

เฉียวเวยยิ้มตอบว่า “ยิ่งมากสิถึงยิ่งดี พี่ใหญ่เพียงไปรับซื้อกุ้งมาก็พอ ซื้อมาแล้วก็ส่งสินค้าให้หรงจี้ วัตถุดิบทำอาหารหรงจี้ยอมจ่ายเงินซื้ออยู่แล้ว ขอเพียงกุ้งที่พี่ใหญ่รับซื้อมามากพอ ดีพอจริง หนึ่งเดือน เพียงส่วนต่างราคาก็คงมีสักห้าตำลึง หากทำไปได้ด้วยดี ก็อาจจะได้ถึงสิบตำลึงก็เป็นได้”

หรืออาจจะมากกว่านั้น แต่น้องเฉียวไม่อยากจะพูดให้คาดหวังเกินไปนัก

หลัวหย่งจื้อได้ยินว่าเดือนหนึ่งหาเงินได้ห้าตำลึง ดวงตาก็เบิกค้างในพริบตา หนึ่งปีเขายังหาเงินได้ไม่ถึงห้าตำลึงเลย เดือนหนึ่งจะหาได้มากปานนั้นจริงหรือ

ป้าหลัวหวั่นไหวเล็กน้อยแล้วเช่นกัน “เจ้าเด็กคนนี้ รออะไรอยู่ รีบรับปากเร็วสิ!”

หลัวหย่งจื้อพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ข้าไปเอง แต่น้องสาวเจ้าต้องการกุ้งมากมายเช่นนี้ไปทำอะไรหรือ”

เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ทำกุ้งตุ๋นน้ำมัน!”

[1] เฉียน หน่วยวัดน้ำหนักในสมัยจีนโบราณ เท่ากับ 5 กรัม

[2] ชั่ง หน่วยวัดน้ำหนักในสมัยจีนโบราณ เท่ากับ 500 กรัม

[3] เหลี่ยง หน่วยวัดน้ำหนักในสมัยจีนโบราณ เท่ากับ 50 กรัม