บทที่ 129 ค่ำคืนแห่งการเปิดใจ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 129 ค่ำคืนแห่งการเปิดใจ

บทที่ 129 ค่ำคืนแห่งการเปิดใจ

คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านนี้อยู่กันอย่างยากจนข้นแค้น

โดยทั่วไปแล้วพวกเขาจะไม่กินเกี๊ยวยกเว้นวันปีใหม่และช่วงเทศกาล เพราะการทำเกี๊ยวต้องใช้เนื้อและแป้งขาว ซึ่งมีราคาค่อนข้างแพง

ดูเหมือนพวกกู้หนิงอันจะไม่เคยกินเกี๊ยวมาก่อนตั้งแต่จำความได้

เดิมทีกู้เสี่ยวหวานวางแผนจะไปที่ห้องครัวคนเดียวเพื่อต้มเกี๊ยว แต่พวกกู้หนิงอันไม่เห็นด้วย โดยบอกว่าพี่สาวอยู่ในครัวเพียงลำพัง ทำให้พวกเขาไม่สบายใจ สถานที่ที่ไม่มีพี่สาวช่างไม่อบอุ่นเลย

กู้เสี่ยวหวานอุ่นวาบไปทั้งใจทันทีด้วยคำพูดของพวกเขา โชคดีที่ช่วงเวลาเหล่านั้นไม่ทำร้ายพวกเขาโดยเปล่าประโยชน์

เด็กทั้งสี่มาที่ครัวเล็กอีกครั้ง ใส่น้ำในหม้อใบใหญ่ และกู้หนิงผิงก็ตั้งหม้อไว้บนเตา เมื่อน้ำในหม้อใหญ่เดือด กู้เสี่ยวหวานก็ใส่เกี๊ยวลงในหม้อแล้วใส่น้ำเย็นสามครั้ง เมื่อเกี๊ยวทั้งหมดลอยบนผิวน้ำก็แปลว่าสุกแล้ว

เกี๊ยวภายในหม้อส่งกลิ่นหอมกรุ่น กู้เสี่ยวอี้ได้กลิ่นแล้วอดไม่ได้ นางจึงเกาะโต๊ะแล้วถามด้วยเสียงไร้เดียงสาว่า “ท่านพี่ เมื่อไรจะเสร็จ? ข้าหิวแล้ว”

กู้เสี่ยวหวานลูบหัวน้องสาวตัวน้อย ซึ่งกู้เสี่ยวอี้ในช่วงเวลานี้ดูเติบโตขึ้นมาก “ดูท่าทางของเจ้าสิ ไม่ต้องกังวล เกี๊ยวใกล้จะเสร็จแล้ว รอจนกว่าน้ำในหม้อจะเดือดอีกครั้งจนเกี๊ยวสุก”

“หนิงอัน ไปทำความสะอาดโต๊ะ เตรียมชามและตะเกียบ อีกเดี๋ยวก็จะเสร็จแล้ว”

กู้หนิงอันไม่เคยกินเกี๊ยวมาก่อน ดังนั้นเขาจึงกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข และรีบเข้าไปในห้องใหญ่ กู้เสี่ยวอี้เดินตามเขาไปจนสุดทาง “ท่านพี่ ข้าจะไปด้วย!”

ทั้งสองไปทำงานตามที่ได้รับคำสั่งจากกู้เสี่ยวหวาน

เมื่อน้ำในหม้อเดือดอีกครั้ง กู้เสี่ยวหวานก็ตักเกี๊ยวออกมา

ชามแรกถูกวางบนโต๊ะและด้านบนถ้วยวางด้วยตะเกียบคู่หนึ่ง ในกรณีนี้คือการบูชาเทพเจ้าแห่งห้องครัวในวันปีใหม่ นางติดนิสัยนี้มาจากบ้านคุณย่าและบ้านคุณยาย แม้ตอนนี้กู้เสี่ยวหวานจะอยู่ในครอบครัวที่มีแต่เด็กเล็ก แต่แน่นอนว่านางไม่อาจลืมนิสัยที่ผู้อาวุโสเหล่านั้นสอนไว้ได้

หลังจากนั้น กู้เสี่ยวหวานก็นำเกี๊ยวทั้งหมดใส่ลงในหม้อขนาดใหญ่ และพวกกู้หนิงอันก็นำไปวางไว้ในห้องใหญ่

อาหารค่ำวันส่งท้ายปีเก่าที่พวกเขากินในตอนบ่ายไม่ได้ทำให้พวกเขาอิ่มท้อง ณ เวลานี้ ยังมีเกี๊ยวให้กิน ใบหน้าแต่ละคนจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มพึงที่พอใจ

ตรงหน้าเด็กสี่คนมีเกี๊ยวเต็มชาม หลังจากที่ทั้งสี่นั่งลง กู้เสี่ยวหวานก็หยิบตะเกียบ “เริ่มได้!”

ดูเหมือนจะได้รับคำสั่งบางอย่าง ดังนั้นพวกเขาจึงหยุดพูด หยิบตะเกียบขึ้นมาและคีบเกี๊ยวที่อยู่ข้างหน้าพวกเขา เกี๊ยวนี้ผิวบางและเนื้อมาก ไส้เนื้อด้านในเต็มไปด้วยไขมัน หลังจากกัดไปหนึ่งคำ นอกจากจะหอมแล้วยังมีน้ำมันอยู่ด้วย รสชาติดีจริง ๆ

กู้หนิงผิงกินเข้าไป ก่อนที่เขาจะกลืนลงท้องก็เอ่ยขึ้นมาว่า “อร่อย อร่อย! มันอร่อยมาก!”

กู้เสี่ยวอี้ก็กินไปครึ่งหนึ่งและพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ท่านพี่ เสี่ยวอี้ชอบกินมาก”

“ดี ถ้าชอบก็กินมากกว่านี้ก็ได้ ถ้ายังอยากกินอีกคราวหน้าพวกเราก็ห่ออีก” กู้เสี่ยวหวานมีความสุขมากเมื่อเห็นว่าเด็ก ๆ ชอบมัน

กู้หนิงอันก็กินไปหนึ่งชิ้น กู้เสี่ยวหวานอยากรู้จริง ๆ ว่ากู้ฉวนฟู่และภรรยาของเขาสอนเด็กเหล่านี้ให้กินอย่างไร แม้ครอบครัวจะยากจน แต่เมื่อเห็นอาหารอร่อย ๆ พวกเขาก็กินอย่างตะกละตะกลาม เช่นเดียวกับกู้หนิงผิง

อย่างไรก็ตาม ครั้งสุดท้ายที่ครอบครัวท่านป้าจางมา กู้หนิงผิงก็กินอาหารอย่างสุภาพต่อหน้าคนนอก เขาไม่ได้รีบร้อนกินแต่อย่างใด ปฏิบัติราวกับเด็กน้อยที่เข้าใจมารยาทบนโต๊ะอาหารเป็นอย่างดี เมื่อมองไปที่กู้หนิงอัน ก็เห็นเขากำลังกินเกี๊ยวด้วยตะเกียบในมือ ซึ่งแตกต่างจากเด็กในชนบทอย่างสิ้นเชิง กู้เสี่ยวหวานเคยเห็นเด็กในชนบทกินข้าวด้วยท่าทางที่เหมือนกับไม่ได้กินอะไรมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ซึ่งพวกเขากินกันอย่างตะกละมูมมาม

แต่เด็กเหล่านี้ นอกจากกู้หนิงผิงแล้ว ทั้งสองคนก็ลงมือกินอย่างเชื่องช้าและสุภาพ คาดว่าเถียนซื่อเป็นคนสอนพวกเขาไว้ เมื่อกู้เสี่ยวหวานสอนเด็กเหล่านี้อีกครั้งจึงเป็นเรื่องง่ายมาก

กู้หนิงอันไม่พูดไม่จา แต่เมื่อเห็นวิธีที่เขากินเกี๊ยวด้วยความความพึงพอใจและความสุขที่เขาไม่สามารถซ่อนได้ กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกโล่งใจ ตราบใดที่เด็กเหล่านี้มีความสุข นี่คือสิ่งที่มีความสุขที่สุดสำหรับนางในการมาที่นี่

หลังจากกินเกี๊ยวเสร็จแล้ว กู้เสี่ยวอี้ก็เริ่มเหนื่อยล้าเล็กน้อย กู้เสี่ยวหวานจึงเช็ดมือของนางและอุ้มเด็กน้อยไปที่เตียง กู้หนิงผิงก็นอนลงบนเตียงเช่นกัน ในตอนท้ายกู้หนิงอันและกู้เสี่ยวหวานก็นอนลง หากพูดตามหลักแล้ว วันส่งท้ายปีเก่าควรจะจุดไฟตลอดทั้งคืน ดังนั้นไฟในบ้านจึงยังไม่ถูกดับ ทำให้ทั้งบ้านสว่างโร่

วันนี้ทุกคนอาจจะเหนื่อยและไม่ได้งีบหลับในตอนบ่าย ไม่นานกู้เสี่ยวอี้และกู้หนิงผิงก็ผล็อยหลับไป พวกเขาก็ส่งเสียงกรนเบา ๆ ในห้องที่เงียบสงบ ได้ยินเสียงนี้แล้วกู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกพึงพอใจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในใจของนาง เดิมทีนางอยากจะหลับ แต่เสียงอันแผ่วเบาของกู้หนิงอันกลับดังขึ้น “ท่านพี่ ท่านหลับหรือยัง?”

“ยัง! ทำไมเจ้ายังไม่นอนล่ะ!” กู้เสี่ยวหวานสงสัยว่าทำไมกู้หนิงอันยังไม่หลับ เพราะวันนี้เขาก็เหน็ดเหนื่อยมากเช่นกัน

“ท่านพี่ ข้านอนไม่หลับ ข้าคุยกับท่านได้หรือไม่” เสียงของกู้หนิงอันนั้นแผ่วเบาเพราะกลัวว่าจะปลุกน้องชายและน้องสาวที่หลับอยู่ตรงกลาง กู้เสี่ยวหวานก็ตอบรับหนึ่งคำ “ได้”

“ท่านพี่ ขอบคุณนะขอรับ!” นี่เป็นครั้งแรกที่กู้หนิงอันกล่าวขอบคุณ และไม่รู้ว่าจะขอบคุณกู้เสี่ยวหวานทำไม เพราะความเป็นจริงแล้วเขาและพี่สาวก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาไม่ควรกล่าวขอบคุณ แต่มีเสียงในใจที่พูดกับตัวเองในชีวิตนี้คนที่หวงแหนมากที่สุด เป็นที่เคารพมากที่สุด รู้สึกขอบคุณมากที่สุดก็คือพี่สาว

“ขอบคุณอะไร เจ้าเป็นน้องชายของข้า!” กู้เสี่ยวหวานเขินอายเล็กน้อย พวกเขาชื่นชมตัวเองก็ไม่เป็นไร หากพวกเขาขอบคุณตนเองอย่างจริงจัง กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

“ท่านพี่ ท่านให้ความหวังกับครอบครัวของเรา!” กู้หนิงอันพูดถูก ไม่รู้ว่าทำไมตั้งแต่ที่กู้เสี่ยวหวานฟื้นขึ้นมาหลังจากตกลงไปในน้ำ กู้หนิงอันก็รู้สึกว่าพี่สาวของเขาแตกต่างจากเมื่อก่อน นางเคยขี้ขลาดและกอดพวกเขาร้องไห้เมื่อทำผิด พี่สาวที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ ทั้งมั่นใจและแข็งแกร่ง ดูเหมือนว่านางจะรู้เรื่องทุกอย่าง และทุกอย่างก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนาง

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

มันก็ควรซาบซึ้งขอบคุณแหละค่ะ หนิงอันมีตำแหน่งเป็นพี่คนโต ภาระกดลงบ่าน้องเต็ม ๆ เลย

ไหหม่า(海馬)