จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 146

ผู้บ่มเพาะที่ฝึกฝนทักษะพิษกร่อนวิญญาณ จะสามารถควบแน่นพลังวิญญาณให้กลายเป็นพลังวิญญาณที่มีพิษ

เมื่อพิษชนิดนี้เข้าสู่ร่างกาย หากไม่มีพลังวิญญาณกล้าแกร่งพอ วิญญาณของคนผู้นั้นก็จะถูกฝังพิษลงไป

ผู้ถูกพิษจะไม่อาจออกห่างเกินระยะรับรู้ของผู้ที่แพร่พิษ ถ้าออกห่างเกินระยะพิษนี้ก็จะแผลงฤทธิ์ทันที ร่างกายของผู้ถูกพิษจะค่อยๆกระตุกก่อนที่จะแข็งที่อไป สุดท้ายร่างกายก็จะค่อยๆพังทลายกลายเป็นแอ่งโลหิต

พิษชนิดนี้ร้ายกาจมาก เป็นทักษะอันน่าทึ่งที่คิดค้นขึ้นในยุคโบราณเพื่อใช้ควบคุมผู้คนรอบตัวไม่ให้มีจิตคิดคดทรยศ

ทักษะวิชานี้เหยาชิงพบเจอโดยบังเอิญ หลังจากฝึกฝนได้พักใหญ่ เขาก็ใช้เฮยหยานมาเป็นหนูทดลอง เหยาชิงที่อยู่ในขั้นสวรรค์ย่อมีพลังวิญญาณสูงล้ํากว่าเฮยหยาน แม้กระนั้นเขาก็ยังต้องใช้ความพยายามกว่าหนึ่งเดือนที่จะฝังพิษร้ายนี้ลงบนตัวเฮยหยาน นับจากตอนนั้นเฮยหยานก็ตกเป็นทาสของเขามาได้สองปีแล้ว

สองปีมานี้เฮยหยานต้องใช้ชีวิตแบบอยู่ไม่สู้ตาย

มีเพียงผู้แพร่พิษดท่านั้นที่จะสามารถถอนพิษชนิดนี้กลับไป อีกวิธีก็คือการกําจัดผู้แพร่พิษ

แต่หากผู้ถูกพิษคิดจะต่อสู้กับผู้แพร่พิษ นั่นก็เหมือนนากระต่ายไปสู้กับราชสีห์ กระต่ายตัวน้อยย่อมถูกเข่นฆ่าเพียงฝ่ายเดียว เพียงแค่ใช้ความคิดก็สามารถสังหารผู้ถูกพิษได้แล้ว ทักษะนี้รุนแรงมากเสียจนกระทั่งผู้แข็งแกร่งแห่งยุคก็มีแต่หนทางตาย

ข้อเสียของมันก็คือฝังพิษได้ยากเย็นยิ่ง

พลังวิญญาณของฉินเทียนอาจแข็งแกร่งกว่าขั้นสวรรค์อยู่หลายส่วน แต่เมื่อนํามาเทียบกับขั้นจุติแล้วก็ห่างกันอีกหลายขุม

ยิ่งไปกว่านั้นเหยาคงยังทุ่มเทพลังวิญญาณไปคุ้มครองดวงจิต ต้องการเจาะทะลวงเข้าไปนับว่ายากเย็นแสนเข็ญ

เหยาคงย่อมทราบถึงชะตากรรมหลังถูกพิษชนิดนี้เป็นอย่างดี

แต่เมื่ออยู่หัวงเป็นตาย สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะยอมแพ้

ส่วนทําไมเขาถึงเลือกยอมแพ้หลังจากพบว่าฉินเทียนสามารถควบคุมกลิ่นอายที่กําลังปั่นป่วนภายในร่างได้น่ะหรือ? เรื่องนี้เขาเองก็อธิบายไม่ได้เช่นกัน เขาเพียงคิดว่าฉินเทียนไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่เห็น ขั้นกลั่นวิญญาณผู้หนึ่งกลับสามารถสังหารข้ามขั้น คนเช่นนี้จะธรรมดาได้อย่างไร?

ผู้อื่นอาจจะไม่ทราบ แต่เขาทราบกระจ่างดีว่าก่อนหน้านี้มีเพียงเหยาชิงเท่านั้นที่ฝึกฝนทักษะพิษกร่อนวิญญาณ แล้วไฉนฉินเทียนจึงสามารถใช้มันได้เช่นกัน? เกรงว่าฉินเทียนผู้นี้คงต้องมีความข้องเกี่ยวกับทักษะฝีนชะตาฟ้านี้ไม่มากก็น้อย!

ศิษย์ของสํานักเทียนที่อยู่ในระดับหกขั้นกลั่นวิญญาณ อนาคตของเขานับว่าไร้ขีดจํากัด

แทนที่จะถูกฆ่าตายไปอย่างน่าเศร้า ทําไมเขาถึงไม่อยู่ต่อเพื่อเป็นพยานในเส้นทางแห่งการเติบโตของยอดคนแห่งยุค?

ฉินเทียนใช้พิษกร่อนวิญญาณและรวบรวมพลังวิญญาณอีกครั้ง หมอกสีทองค่อยๆไหลเข้าสู่ร่างกายของเหยาคง ชอนไชเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจและค่อยๆเพาะพิษเอาไว้

หลังจากเพาะพิษได้แล้ว ฉินเทียนก็สัมผัสได้ถึงการเชื่อมโยงระหว่างตนและเมล็ดพิษสีทองนั้น ในใจฉัน เทียนปิติยินดีถึงขีดสุด รอยยิ้มบนใบหน้าฉีกกว้างจนแทบจะถึงใบหู ข้าได้ผู้ช่วยชั้นดีขั้นจุติมาแล้ว ฮ่าๆ…

เทียบกับค่าประสบการณ์ไม่เท่าไหร่แล้ว การได้ผู้ช่วยอันเข้มแข็งขั้นจุติมาอยู่ข้างกายนับว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

ฉินเทียนเคยประจักษ์ถึงความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะขั้นสวรรค์มาแล้ว การเดินทางไปยังน่านน้ําทมิฬในครั้งนี้ก็เพื่อตามหาเพลิงทะเลล์ลับและเพิ่มระดับฝีมือให้ถึงขั้นสวรรค์ สถานที่นั้นอันตรายยิ่ง แต่เมื่อตอนนี้ได้ยอดฝีมือขั้นจุติมาร่วมทาง ฉินเทียนก็วางใจแล้ว

หลังจากฝังพิษกร่อนวิญาญาณแล้วเสร็จ ฉินเทียนก็พักครู่หนึ่งก่อนจะใช้กลิ่นอายนักล่าชักนําพลังอันสับสนยุ่งเหยิงภายในร่างเหยาคงถ่ายเทออกนอกร่าง

อาการของเหยาคงรุนแรงมาก ดังนั้นจึงต้องดําเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป

แม้ว่ากลิ่นอายนักล่าจะยอดเยี่ยมเพียงใด แต่มันก็ยังอยู่เพียงขั้นแรก แม้ฉินเทียนจะมีพลังวิญญาณสูงล้ํา เขาก็ยังไม่อาจกําจัดพลังอันสับสนออกไปทั้งหมดในเวลาอันสั้น

ฉินเทียนมอบโอสถเปยหยวนสองเม็ดให้เหยาคง “ทําจิตให้สงบ ข้าจะค่อยๆกําจัดพลังอันสับสนออกไปให้ เร็วที่สุดเท่าที่ข้าทําได้ วางใจเถอะ ตอนนี้ก็เข้าไปเข้ารักษาตัวในแหวนมิติข้าก่อน”

กล่าวจบก็เก็บเหยาคงเข้าแหวนมิติ

จากนั้นจึงมุ่งหน้ากลับเมืองอสูร

เหยาซึ่งถูกจัดการไปแล้ว เฮยหยานก็รอดพ้นพิษร้ายแล้ว จู่ๆเขาก็นึกถึงคําพูดก่อนจากไปของร่างจําแลงนั้นขึ้นมา จิตใจแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด “ทําไมเจ้าเมืองอสูรถึงต้องการพบข้า?”

เขาคิดไม่ออกเลยว่าผู้บ่มเพาะขั้นจักรวาลผู้หนึ่งจะอยากพบกับเขาไปทําไม

เขาเป็นเพียงผู้บ่มเพาะระดับหกขั้นกลั่นวิญญาณผู้หนึ่ง ในสายตาของอีกฝ่ายแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากมดตัวจ้อย หรือเจ้าเมืองอสูรจะเห็นอะไรในตัวเขา?

“หรือบางทีอาจเป็นหน้าตาอันหล่อเหลาของข้า?”

“เพ้ยๆ….”

“ขึ้นมาถึงขั้นจักรวาลได้ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยนับพันปี อสูรเฒ่าที่อายุเกินพันปี หากเป็นสตรีก็คงมีแต่ริ้วรอยเหี่ยวย่น ผมหงอกขาวราวยายเฒ่า…..”

ฉินเทียนขนลุก พยายามไม่ให้สมองจินตนาการต่อ

จากนั้นอีกครวามคิดก็ปรากฏขึ้นแทนที่ หากว่าเจ้าเมืองอสูรเป็นบุรุษ…ใบหน้าของฉินเทียนพลันซีดเผือดราวกับคนตาย

ไม่นานฉินเทียนก็มาถึงเมืองอสูร

ตอนถึงทางเข้าเมืองเขาก็จ่ายแก่นอสูรอย่างไม่อิดออด ทหารยามมองดูเขาอย่างอิจฉา ในใจรู้สึกชื่มชมเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน

เมื่อเดินเข้าไปในเมือง หลายคนก็มองฉินเทียนด้วยสายตาแปลกๆ คนเหล่านั้นมองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโลภราวกับหมาป่าที่จ้องมองแกะอ้วน ฉินเทียนครั้นเนื้อครั่นตัวขึ้นมา

“พี่ใหญ่เฮยเป็นอย่างไรบ้าง?”

ฉินเทียนเล็กสนใจสายตาที่จ้องมองมา อยู่ในเมืองนี้คนเหล่านั้นย่อมไม่กล้าลงมือ เมื่อมีร่างจําแลงของเจ้า เมืองอสูรคอยเฝ้าดูแลผู้ที่ยังรักชีวิตอยู่ย่อมไม่ฝ่าฝืนกฏ

“ยังไม่ได้สติ แต่ก็ดีขึ้นแล้ว เจ้าฆ่าเหยาชิงไปแล้ว?” เพิ่งผ่านอมองฉินเทียนอย่างตกตะลึง ขั้นสวรรค์อย่างเหยาชิงถึงกับตายในมือฉินเทียนจริงๆ!

ยิ่งกว่านั้นเพิ่งผ่าน ยังทราบจากปากของคนที่ผ่านไปผ่านมาว่าผู้คุ้มกันคนนั้นของเหยาซึ่งอยู่ในขั้นจุติ! ผู้บ่มเพาะระดับนั้นลําบากเพียงยกมือก็ฆ่าผู้บ่มเพาะขั้นกลั่นวิญญาณได้แล้ว

เหยาชิงตายแล้ว เช่นนั้น…..

เพิ่งผ่านอีกลืนน้ําลายอีกใหญ่ด้วยความตื่นเต้น สายตาที่ใช้มองดูฉินเทียนเต็มไปด้วยประกาย

เห็นสีหน้าของเฮยหยานดีขึ้นมาก ฉินเทียนก็มั่นใจว่าอีกไม่นานเฮยหยานคงฟื้นขึ้นมา หินก้อนใหญ่ที่กดทับ ในใจนับว่ายกวางลงแล้ว “หาที่พักผ่อนเถอะ พวกเราคงต้องพักอยู่ในเมืองอีกสักพัก”

“นี่โอสถเป่ยหยวนสองเม็ด ท่านรับไว้”

เพิ่งผ่านอีบาดเจ็บไม่เบา ตามแผลยังสามารถเห็นโลหิตไหลซึมออกมา

“โอสถเป่ยหยวน?” เพิ่งผ่านอผงะก่อนจะเบิกตากว้าง “นี่เป็นโอสถระดับเก้าเชียวนะ! เป็นโอสถรักษาระดับสูง!”

“รับไปเถอะ ยังมีอีกอย่างที่ข้าจะมอบให้ท่าน” ฉินเทียนเผยรอยยิ้มที่ดูลี้ลับ

“มันคืออะไร?” เพิ่งผ่านอิมองโอสถเป่ยหยวนที่อยู่ในมือตาไม่กระพริบ เขาจ้องมองมันอย่างลเลอยู่นานก่อนจะโยนเข้าปากไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้โอสถระดับสูงขนาดนี้

ภายในสํานักเทียนจีนั้น โอสถเป่ยหยวนนี้เพียงสงวนไว้ให้เหล่าผู้อาวุโสของสํานักเท่านั้น มันเป็นโอสถที่ล้ําค่าอย่างมาก

ฉินเทียนยิ้มก่อนจะส่งคัมภีร์เพลงกระบี่ไท่ซูให้เพิ่งผ่าน “ท่านฝึกสิ่งนี้เถอะ มันน่าจะเหมาะกับท่าน”

“เพลงกระบี่ไท่ซู?! นี่เป็นเพลงกระบี่ของสํานักเมฆาคล้อยทักษะระดับอมตะ!”

เพิ่งผ่านอีอ้าปากค้าง เขาค่อยๆยื่นมืออันสั่นเทาออกไปรับม้วนคัมภีร์ด้วยความตื่นเต้น

“ท่านลองฝึกดู ทักษะนี้แข็งแกร่งไม่เบา แล้วก็อย่าเพิ่งออกจากเมืองจนกว่าข้าจะกลับมา” ฉินเทียนกล่าวกําชับก่อนจะมุ่งหน้าไปยังอาคารที่สูงที่สุดภายในเมืองอสูร “หวังว่าคงไม่มีอะไรในกอไผ่…”