ทั้งนี้ ผู้ช่วยแลงค์เองก็ยังจำเสี่ยวเฉิงได้ ทันใดนั้น เธอก็พลันกล่าวคำพูดอย่างเย็นชาออกมา “นี่นายยังไม่เลิกยุ่งกับพี่หลินอีกงั้นรึ? ฉันจะบอกอะไรให้อย่างนะ นายกับเธอเข้ากันไม่ได้หรอก เห็นชายหนุ่มสุภาพบุรุษจากตระกูลเฉินที่เพิ่งจะเดินเข้าไปเมื่อครู่ไหม? ชายคนนั้นแหละที่ทำให้พี่หลินสามารถจัดงานแจกลายเซ็นที่นี่ได้ ถ้าเทียบกันแล้ว นายทำอะไรให้พี่หลินได้บ้างล่ะ? ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่านายจะไม่มีแรงจูงใจอะไรอื่นแอบแฝงอยู่ งั้นเอาแบบนี้ดีไหม… นายต้องการเงินเท่าไหร่กันเรื่องยกเลิกงานแต่ง? บอกราคาที่ต้องการมาเลย ถ้ามันสมเหตุสมผล ทางบริษัทเราก็ยินดีที่จะจ่ายให้เลย”

ทว่า เสี่ยวเฉิงไม่ได้สนใจผู้หญิงคนนี้เลยสักนิด เขาทำเพียงแค่เดินผ่านเธอไป

ทันใดนั้น ผู้ช่วยแลงค์ก็พลันจ้องมองไปยังแผ่นหลังของเสี่ยวเฉิงพร้อมกล่าวคำพูดออกมาอีกครั้ง “บริษัทเรายังมีอีกตั้งหลายเรื่องที่ต้องการความช่วยเหลือจากนายน้อยเฉิน แถมเราตั้งใจที่จะปล่อยข่าวลือระหว่างนายน้อยเฉินแล้วก็พี่หลินด้วย ยังไงก็เถอะ ฉันหวังว่านายจะไม่โผล่มาสร้างปัญหาให้ภายหลังนะ”

ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวเฉิงก็พลันหยุดเดิน เขาเต็มใจที่จะให้อิสระแก่หลินจื้อซือก็จริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเสี่ยวเฉิงจะยอมให้ใครคนอื่นมาทำร้ายเธอ

เสี่ยวเฉิงพลันหันกลับและมองไปที่ผู้ช่วยแลงค์ “แล้วจื้อซือรู้เรื่องนี้ไหม?”

“ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของนายสักหน่อย” ผู้ช่วยแลงค์พลันตอบกลับ “นายออกไปช่วยจัดการความเรียบร้อยของฝูงชนเถอะ”

“งั้นเธอก็อย่ามายุ่งเรื่องของฉันสิ” เสี่ยวเฉิงรู้สึกขี้เกียจที่จะต่อล้อต่อเถียงกับผู้หญิงคนนี้แล้ว เขาพลันหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดและเดินออกไป แต่ทว่า ประสาทรับฟังของเสี่ยวเฉิงก็พลันล็อคไปยังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในห้องแต่งตัว

ในตอนนั้นเอง เสียงของชายคนหนึ่งพลันดังอยู่ภายในห้อง เสี่ยวเฉิงสามารถบอกได้เลยว่าชายคนนั้นจะต้องเป็นนายน้อยเฉินแน่ เพราะเขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่เดินเข้าไปข้างใน

“เป็นยังไงบ้างล่ะ? คุณชอบที่ผมจัดเตรียมงานให้ใหญ่ขนาดนี้ไหม? ผมกะเอาไว้แล้วว่าแฟนคลับคุณจะต้องมาเยอะมากแน่ เพราะแบบนั้น ผมเลยใช้เส้นสายแล้วก็ขอให้พวกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาช่วยคุมคนแล้วก็ทำเรื่องประสานงานเป็นพิเศษ”

ท้ายที่สุดแล้ว นายน้อยเฉินนั้นแหละที่เป็นคนโน้มน้าวให้ผู้บังคับบัญชาเรียกตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดมาที่นี่ เสี่ยวเฉิงพลันบ่นในใจ

ทันทีที่มองไปยังนายน้อยเฉินผ่านกระจก หลินจื้อซือก็พลันกล่าวคำพูดขึ้น “คุณช่วยออกไปก่อนได้ไหมคะ? พอดีว่าฉันกำลังแต่งหน้าอยู่”

โดยปกติแล้ว ผู้หญิงมักจะไม่ชอบให้ผู้ชายมองในระหว่างที่พวกเธอกำลังแต่งหน้าอยู่ ไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงอย่างหลินจื้อซือเลย เธอเองก็ไม่ชอบให้ใครมาจ้องมองระหว่างที่กำลังแต่งหน้าเหมือนกัน และในตอนนี้ นายน้อยเฉินก็เป็นผู้ชายคนเดียวที่อยู่ในห้องแต่งตัว เพราะแบบนั้น ถ้ามีคนเอาเรื่องนี้ไปนินทา ข่าวลือก็จะต้องแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วราวกับไฟป่าแน่

แต่ทว่า ในตอนนั้นเอง นายน้อยเฉินก็พลันโบกมือส่งสัญญาณให้กับช่างที่กำลังแต่งหน้าและทำผมให้ออกไป

ทันทีที่พวกเขาออกไปแล้ว นายน้อยเฉินก็พลันหยิบกล่องแหวนออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทและวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง หลังจากนั้น เขาพลันกล่าวคำพูดกับหลินจื้อซือทันที “หลินจื้อซือ… ตอนนี้เธอก็ยี่สิบสามแล้วใช่ไหม? มันถือเป็นช่วงอายุที่ดีมากเลยนะ ยังไงก็เถอะ แต่งงานกับผมไหม?”

แต่ทว่า หลินจื้อซือก็ไม่แม้แต่จะเหลือบมองไปยังแหวนบนโต๊ะเลยด้วยซ้ำ ใบหน้าของเธอพลันมืดลง “ขอบคุณมากเลยนะคะที่จัดงานให้ฉันใหญ่ขนาดนี้ ตอนแรก ฉันคิดว่าทางบริษัทเป็นคนจัดการเสียอีก อันที่จริง ฉันชื่นชมในผลงานของคุณนะ แต่พอคิดดูอีกที ฉันก็คิดว่าตัวเองสามารถสร้างมูลค่าให้กับที่นี่ได้มากกว่า อีกอย่าง ถ้าคุณอยากจะหาผู้หญิงสักคนเพื่อแต่งงานด้วย ก็ไปหาคนอื่นเถอะค่ะ อย่าเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นกับฉัน”

นายน้อยเฉินเริ่มรู้สึกกังวลเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น “ผมไม่ได้ล้อคุณเล่นสักหน่อย แต่ไม่ว่ายังไง คุณลองพิจารณาดูก็ไม่เสียหายนะ”

หลินจื้อซือพลันหันหน้าไปมองชายตรงหน้าและกล่าวคำพูด “คิดว่าผู้หญิงทุกคนในวงการบันเทิงจะตอบตกลงเพราะอยากได้เงินของคุณหรือยังไงกัน? ยังไงก็เถอะ ผู้หญิงคนอื่นอาจจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินของคุณ แต่บอกไว้ก่อนเลยว่าฉันไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลยสักนิด”

ในตอนนี้ หลินจื้อซือดูจะมั่นใจในความรู้สึกของตนเองไม่น้อย ชายใดก็ตามที่กล้ามาสารภาพรักหรือขอเธอแต่งงานก็ต้องพบเจอกับความเย็นชาเหมือนเช่นครั้งนี้ ถึงกระนั้น สาเหตุหนึ่งก็มาจากการที่เธอเป็นคนไม่ค่อยพูดและชอบอยู่คนเดียวด้วย

หลังจากนั้นไม่นาน หลินจื้อซือก็ลุกขึ้นและพร้อมที่จะเดินออกไปจากห้องแต่งตัว แต่ทว่า นายน้อยเฉินกลับคว้ามือของเธอเอาไว้ “หลินจื้อซือ คุณก็น่าจะรู้นะว่าทุกตระกูลที่ร่ำรวยและมีอำนาจต่างก็ยินดีต้อนรับคนดังอย่างคุณเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งมากแค่ไหน? และไม่ว่าคุณจะอยากได้อะไร ผมก็สามารถให้ได้ทุกอย่างเลยนะ!”

ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หลินจื้อซือก็พลันหันหน้ากลับไปและสะบัดมือออก “แต่ฉันไม่มีอะไรจะให้คุณหรอกนะ”

ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น นายน้อยเฉินก็พลันเงียบไปครู่หนึ่ง

หลินจื้อซือพลันจ้องมองและกล่าวคำพูดออกมา “หัวใจของฉันเป็นของคนอื่นไปแล้ว ยังไงเสีย คุณก็เปลี่ยนแปลงเรื่องนั้นไม่ได้หรอก”

ทว่า ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นจากห้องแต่งตัว เสี่ยวเฉิงก็พลันเผยยิ้มอย่างขมขื่นออกมา

นั่นเป็นเหตุผลแท้จริงที่เธอต้องการปฏิเสธการขอแต่งงานงั้นหรือ?