บทที่ 158 กลิ้งไปตามเถาไม้เลื้อย 5 (1)

คาร์ลสะดุ้งกับสิ่งที่ราอนเอ่ยถาม

“ราอน”

เสียงเรียกแผ่วเบาทำให้ราอนตระหนักได้ว่าความคิดของมันฟังดูชั่วร้ายเกินไปแต่มันก็ยังพูดด้วยท่าทางขึงขัง

“…ถ้าเช่นนั้น!”

ราอนเข้าใจในศักยภาพที่คาร์ลมี มันใช้อุ้งมือของมันตบไปที่ขาของคาร์ลเบาๆ

“มนุษย์..ข้าพูดอะไรรุนแรงไปหรือเปล่า? ไม่เพียงแต่ร่างกายของเจ้าเท่านั้นที่อ่อนแอ..แม้แต่อิทธิพลของเจ้าก็ยังมีน้อยกว่าเหล่าเชื้อพระวงศ์ของจักรวรรดิ..ถ้าเช่นนั้นเจ้าเพียงแค่อยู่เฉยๆเดี๋ยวข้า!จะออกปล้นวังแทนเจ้าเอง!”

“เจ้าพูดอะไรของเจ้าเนี่ย?”

“เอ๋?”

ตรงกันข้ามกับราอนที่ดูจริงจังกับการปล้นพระราชวัง คาร์ลก็เริ่มเก็บหีบขนาดเล็กและสมุดไดอารี่ไว้ในกระเป๋าเวทย์ก่อนจะเริ่มแบ่งปันแผนการใหม่ของเขา

“เดี๋ยวเราค่อยออกไปตามหาในวันพรุ่งนี้”

“ใช่แล้ว!..พระราชวังนั่นก็เปรียบเหมือนฝุ่นหากเทียบกับมังกรที่ยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่เช่นข้า!…ไม่ต้องกังวล!..ข้าจะทำลายทุกอย่างตามแผนของเรา!”

คาร์ลไม่สนใจเสียงกระตือรือร้นของเด็กวัยห้าขวบเมื่อมุ่งหน้าไปยังหน้าต่างบานเดียวที่อยู่ภายในห้องก่อนจะหยุดมองหน้าต่างบานนี้ คาร์ลไม่ได้มีความคิดที่จะเหาะออกไปทางหน้าต่างบานนี้เพราะมันมีความกว้างเท่าใบหน้าของเขาเท่านั้น อีกทั้งยังมีกรงเหล็กกั้นไว้ทำให้ไม่สามารถหลบหนีออกไปข้างนอกได้

อย่างไรก็ตามมันสามารถมองเห็นตัววิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวันได้ทั้งหมด ทั้งยังมองเห็นตัวหอระฆังและพระราชวังที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของวิหารได้เช่นกัน

ราอนขยับตัวไปหยุดอยู่ข้างๆคาร์ลที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง คาร์ลแตะไปที่กรงเหล็กเมื่อเริ่มเอ่ยขึ้น

“หญิงสาวผู้ศักดิ์สิทธิ์คงมีช่วงเวลาที่ลำบากยิ่งนัก…นางต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่!..อยู่ในคุกแห่งนี้!”

คำกล่าวของคาร์ลทำให้ราอนนึกถึงชีวิตของมันเมื่อครั้งที่ถูกขังอยู่ในถ้ำอันมืดมิด ราอนจ้องไปที่คาร์ลตาไม่กระพริบ

‘เจ้ามนุษย์..เจ้าเป็นคนดีจริงๆ..เจ้ามักเข้าใจหัวอกคนอื่นและมีความคิดที่ดีๆอยู่เสมอ’

“ราอน”

“ว่าอย่างไร?..เจ้ามนุษย์คนดี!”

“เรามาจัดการในสิ่งที่ทำให้นางขุ่นเคืองใจกันเถอะ”

“ใช่แล้ว!..มนุษย์..เรามาลงมือกันเถอะ!”

คาร์ลหันไปยิ้มให้กับราอนที่พยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น มันเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก

.

.

.

“ท่านจะทำอะไรหรือขอรับ?”

คาร์ลพยักหน้าเล็กน้อยให้กับคำถามของเชวฮันและยื่นขวดแก้วให้กับเขาทันทีโดยไม่คิดจะตอบอะไร

“…นี่มันคือพลังเวทย์ที่ตายไปแล้ว?”

มันเป็นขวดแก้วที่บรรจุพลังเวทย์ที่ตายไปแล้วเอาไว้ คาร์ลมักจะพกสิ่งนี้ติดตัวไปเสมอเผื่อเกิด‘กรณี’บางอย่างเกิดขึ้นและอาจได้ใช้มันเฉกเช่นในตอนนี้

คาร์ลชี้ไปด้านนอกหอคอยและเริ่มออกคำสั่ง

“ขุดกอหญ้าทั้งหมดในสวนหย่อมขึ้นมาแล้วใช้พลังเวทย์ที่ตายไปแล้วหยดลงไปในดินสัก1-2หยด..มันคงไม่ดีนักถ้ามันจะปนเปื้อนเป็นวงกว้าง”

เชวฮันพบว่ามันเป็นสิ่งที่ยากที่จะพยักหน้ารับในคำสั่งที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันแต่เขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วกับสิ่งที่คาร์ลพยายามจะทำ

“ท่านคาร์ล..กระผมเพียงต้องทิ้งหลักฐานบางอย่างเอาไว้เพื่อแสดงให้เห็นว่าอาร์มบุกเข้ามาที่นี่ใช่หรือไม่?”

‘หมอนี่ฉลาดจริงๆ’

ถึงแม้ว่าเชวฮันมักจะทำตัวนิ่งๆอยู่ตลอดเวลาแต่คาร์ลรู้ดีว่าเชวฮันเป็นคนฉลาดแค่ไหน

“ใช่แล้ว…และข้าจะบอกตำแหน่งที่นักเล่นแร่แปรธาตุตัวปลอมอาศัยอยู่ในสลัมให้เจ้ารู้…เจ้าจงเดินทางไปหาเขาและเขาจะเข้าใจในทันทีเมื่อเจ้าแจ้งว่ามีนักบวชส่งตัวเจ้าไป”

“กระผมต้องให้เขาทำอะไรหรือขอรับ?”

“บอกให้เขากระจายข่าวลือ”

“ข่าวลือ?”

คาร์ลกำลังวางแผนที่จะต่อสู้กับจักรวรรดิหลังเสร็จสิ้นการทำสงครามกับพันธมิตรทางตอนเหนือ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาคิดจะเตรียมการต่างๆหลังจากผ่านไปสักสองปี

‘แต่ตอนนี้สิ่งต่างๆกำลังจะเปลี่ยนไป’

สิ่งต่างๆจะเปลี่ยนไปถ้าเขาหยิบเครื่องมือพระเจ้าแห่งแสงตะวันมาใช้เป็นอาวุธเด็ด ผู้คนมักจะเชื่อและศรัทธาหากมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น

‘พวกเราจะเขย่าขวัญจักรวรรดิให้สะเทือนไปทั่วโลก’

เขาต้องการแพร่กระจายเมล็ดพันธ์แห่งความหวาดระแวงไปทั่วจักรวรรดิ คาร์ลเริ่มออกคำสั่งแก่เชวฮันที่จ้องมาที่เขาตาไม่กระพริบ

“จักรวรรดิสูญเสียบุคคลที่สามารถนำคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์แห่งพระเจ้ามาสู่ประชาชน..พลังแห่งความชั่วร้ายจะดึงค่ำคืนอันมืดมิดให้ปรากฏอยู่ชั่วนิรันดร์..หลักฐานทั้งหมดจะถูกพบใกล้กับหอคอยที่มีคนนอกรีตถูกขังเอาไว้”

คาร์ลจะแบ่งปันข่าวลือนี้ให้กับลูกหลานชาวสลัมและพวกเขาจะแพร่กระจายไปทั่วจักรวรรดิอย่างช้าๆ

.

.

.

องค์ชายรัชทายาทอัลเบิร์กรู้สึกไม่ดีนักเมื่อได้ทราบข่าวบางอย่างเมื่อเช้านี้และก็เขาอยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น นั่นคือเหตุผลที่เขาเรียกคาร์ล เฮนิตัส เข้าพบอย่างเร่งด่วน

คลิ๊ก!

ถ้วยน้ำชาถูกวางลงบนโต๊ะก่อนที่อัลเบิร์กจะหันไปสบตากับคาร์ลที่นั่งอยู่ตรงข้ามพลางเอ่ยถาม

“เป็นฝีมือเจ้างั้นรึ?”

“พระองค์กำลังหมายถึงอะไรหรือพะย่ะค่ะ?”

อัลเบิร์กมั่นใจในสิ่งที่ตนคิดทันที เมื่อเห็นคาร์ลหยิบคุกกี้ขึ้นมาทานพร้อมกับแสดงท่าทางว่าตนไม่รู้เรื่องอะไรเลย

“เป็นเจ้าจริงๆสินะ”

“อะไรกันพะย่ะค่ะ?”

“เจ้าทำอะไรกับวิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวัน?”

กรุ๊บ!

คาร์ลเริ่มยิ้มเมื่อเริ่มกัดคุกกี้

ข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ ทางจักรวรรดิได้ส่งข้อความด่วนมายังทีมสืบสวนของอาณาจักรโรมันเพื่อให้พวกเขาหยุดการสอบสวนลงไปก่อน

อัลเบิร์กนึกถึงข้อความที่พวกเขาส่งมา จักรวรรดิพยายามกดดันให้อาณาจักรโรมันต้องทำตามที่พวกเขาบอกเท่านั้น แน่นอนว่ามันทำให้เขาโกรธแต่สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือจักรวรรดิดูเหมือนกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤติและพร้อมจะยุติความร่วมมือในการสืบสวนได้ทุกเมื่อ เขาจ้องไปที่คาร์ลและเริ่มพูดอีกครั้ง

“จู่ๆจักรวรรดิก็ส่งข้อความมาแจ้งแก่ทางเรา..ว่าเราต้องยุติการสืบสวนไปก่อน3วัน”

“อ่า..งั้นหรือพะย่ะค่ะ?..ช่างน่าเสียดายจริงๆ”

ก๊อก!ก๊อก!ก๊อก!

อัลเบิร์กเคาะนิ้วไปที่เท้าแขนโซฟาเบาๆราวกับใช้ความคิด

“เมื่อคืนนี้..มีบางอย่างเกิดขึ้นในวิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวันแต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่พุ่งเป้าความสงสัยมาที่เราเลยแม้แต่น้อย..ดูเหมือนพวกเขาจะขัดขวางไม่ให้เราเข้าไปยุ่มย่ามที่นั่นมากกว่า”

“แล้วพระองค์เห็นด้วยกับเงื่อนไขของพวกเขาหรือพะย่ะค่ะ?”

“เจ้าคิดว่าข้าบ้าพอที่จะไปยอมรับเงื่อนไขของพวกเขาได้ในทันทีหรือไง?..มันมากเกินไปที่จะไม่ให้พวกเราเข้าไปหาเบาะแสอะไรถึง3วันทั้งๆที่พวกเราอยู่ที่นี่เพียง1อาทิตย์เท่านั้น!”

หากให้พูดกันตามตรงอัลเบิร์กไม่มีเหตุผลที่จะบ่นหรือไม่พอใจเช่นกัน การสืบสวนไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรมันเป็นเพียงข้ออ้างเล็กๆที่ทำให้เขาเดินทางมาจักรวรรดิเท่านั้น

“องค์ชายพะย่ะค่ะ..หากเป็นไปได้หม่อมฉันอยากให้พระองค์แจ้งแก่พวกเขาว่าให้ลดจำนวนคนดูแลพวกเราลงถือเป็นการตอบแทนที่เราไม่สามารถเข้าไปหาเบาะแสอะไรได้”

“ข้าแจ้งแก่พวกเขาไปแล้ว”

คิ้วที่ขมวดมุ่นของอัลเบิร์กเริ่มคลายลง พวกเขาทั้งคู่เริ่มสบตาเข้าหากันและถอนหายใจออกมาเบาๆ มันจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับคาร์ลและดาร์กเอลฟ์ที่จะออกปล้นวิหารหากพวกเขาลดจำนวนอัศวินที่ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของฝ่ายอาณาจักรโรมันลงได้

อัลเบิร์กหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นจิบอีกครั้งและเริ่มพูด

“หากให้เดา..เจ้าไม่คิดที่จะพูดอะไรให้ข้าฟังสินะ?”

คาร์ลยักไหล่ของตนน้อยๆ

โดยปกติแล้วในฐานะที่อัลเบิร์กเป็นองค์ชายรัชทายาท เขาต้องรู้สึกโกรธและไม่พอใจเมื่อมีคนปฏิเสธที่จะตอบคำถามของเขา อย่างไรก็ตามถ้าเป็นคาร์ลแล้วเขาเลือกที่มองข้ามมันไป

“องค์ชายพะย่ะค่ะ…หม่อมฉันขอยืนยันให้พระองค์ทราบว่ามันจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่ออาณาจักรเราอย่างแน่นอน”

คาร์ล เฮนิตัส เขาไม่เคยคิดที่จะพูดหรืออธิบายในสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้คนอื่นทราบ แม้ว่าเขาจะทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆมากมายแต่เขาก็ไม่เคยทำอะไรที่ส่งผลร้ายให้กับอาณาจักรโรมันเลยสักครั้ง

‘อันที่จริง..คาร์ลช่วยอาณาจักรของเราไว้เยอะทีเดียว’

คาร์ล เฮนิตัสคือคนที่ทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือและปกป้องอาณาจักรโรมัน นั่นคือสาเหตุที่อัลเบิร์กไม่คิดที่จะต่อว่าอะไรคาร์ลออกไป

‘…เขาเป็นเจ้าขยะที่น่าเชื่อถือที่สุดที่ข้าเคยพบมา’

ความไว้เนื้อเชื่อใจได้พัฒนาขึ้นช้าๆระหว่างคนทั้งสอง อัลเบิร์กมองไปที่คาร์ลด้วยท่าทางผ่อนคลายกว่าเมื่อครู่ มีความอยากรู้อยากเห็นในสายตาของคาร์ลเมื่อสบไปที่อัลเบิร์ก เขาเริ่มเอ่ยเรียกองค์ชายรัชทายาทอย่างระมัดระวัง

“องค์ชายพะย่ะค่ะ?”

“มีอะไรหรือ?”

“ถ้าเช่นนั้น..วันนี้เราก็สามารถพักผ่อนได้สินะพะย่ะค่ะ?”

อัลเบิร์กเริ่มขมวดคิ้วอีกครั้งทันที

“….เจ้าพยายามจะทำอะไร?”

คาร์ลตอบกลับด้วยท่าทางสดใส

“กำลังจะอ่านหนังสือและออกไปเดินเล่นพะย่ะค่ะ”

“ใครวางแผนที่จะทำแบบนั้นกัน?”

คาร์ลชี้ไปที่ตัวเอง

“หม่อมฉันพะย่ะค่ะ”

มีดาร์กเอลฟ์ที่เป็นนักเวทย์ระดับสูงอยู่ในห้องนี้ด้วยแต่อัลเบิร์กไม่สามารถเก็บอาการของตนได้อีกต่อไป

“….เจ้านี่มัน!..ข้าชักจะเริ่มบ้าไปแล้วจริงๆ”

คาร์ลลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นอัลเบิร์กโบกมือให้เขาออกไปจากห้องได้แล้ว คาร์ลส่งยิ้มให้กับดาร์กเอลฟ์ที่มองเขาด้วยสายตาแปลกๆและมุ่งหน้าไปยังหอสมุดของจักรวรรดิเพื่อหาหนังสืออ่านทันที

อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถไปที่นั่นคนเดียวได้

“นายน้อยขอรับ..มันคงจะดีกว่าหากให้อัศวินของเราเป็นคนนำทางท่าน”

มีอัศวินคนหนึ่งของจักรวรรดิที่ต้องเป็นคนติดตามเขาไป

เขาเป็นอัศวินผมสีแดง ใช่! เขาคือเจ้าแมวตัวนั้น!

“นายน้อย..ท่านอยากไปที่ใดหรือ?”

อัศวินจากเผ่าแมวดูเหมือนจะอยู่ในช่วงอายุ20ต้นๆเอ่ยถามเขาเสียงต่ำ อย่างไรก็ตามเสียงที่เขาข่มต่ำเพื่อให้ดูเหมาะกับการเป็นอัศวินคู่กายนั้นชวนให้คาร์ลอึดอัดใจยิ่งนัก

“โปรดพาข้าไปที่หอสมุดของจักรวรรดิที..ชาวต่างอาณาจักรได้รับอนุญาตให้เข้าใช้ในชั้นหนึ่งได้ใช่มั้ย?”

“ใช่ขอรับ..มันได้รับอนุญาต..เดี๋ยวข้าน้อยจะพาท่านไปที่นั่น”

อัศวินจากเผ่าแมวเริ่มออกเดินอย่างรวดเร็ว

คาร์ลเดินตามหลังอัศวินแมวไปหนึ่งก้าวในขณะที่เชวฮันและราอนที่ใช้เวทย์ล่องหนก็ตามหลังคาร์ลไปติดๆ

~ มนุษย์!..เขาแอบมองเจ้า!~

‘ใช่’

อัศวินแมวยังคงหันกลับมามองเขาเป็นระยะๆในขณะที่เดินนำคาร์ลไปยังจุดหมายปลายทาง เขากำลังทำในลักษณะที่คาร์ลสามารถรู้ตัวได้ทันที

นั่นคือสาเหตุที่คาร์ลไม่คิดจะสนใจเขา

‘ทำไมฉันต้องไปเสวนากับคนที่เข้ามาที่นี่เพื่อหวังจะฆ่าใครสักคนด้วยล่ะ?’

คาร์ลเพ่งความสนใจไปยังหอสมุดอันกว้างใหญ่ของจักรวรรดิที่อยู่ข้างหน้าตน มันเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจและความสุขใจของจักรวรรดิ มันถูกออกแบบและตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ก็ดูงดงามมันดูเหมาะที่จะเป็นอาคารสำนักงานมากกว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวัง

ความคิดเกี่ยวกับเครื่องมือพระเจ้าทำให้ฝีเท้าของคาร์ลเริ่มผ่อนลง จากนั้นเบ็ดก็เหวี่ยงเข้าหาเขาทันที

“เอ่อ..นายน้อยขอรับ?”

“..มีอะไรหรือ?”

อัศวินแมวชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อสบตาเข้ากับขุนนางที่มีเส้นผมสีแดงสดและสว่างมากกว่าเขา อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงถามออกไปอย่างระมัดระวัง

“ท่านได้เลี้ยงแมวไว้หรือเปล่า?”

คาร์ลรู้สึกว่าหัวใจของเขาหล่นไปกองที่ตาตุ่ม

“ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้นล่ะ?”

อัศวินแมวตอบกลับด้วยท่าทางเขินอายเล็กน้อย

“ข้าน้อยได้กลิ่นแมวจากตัวท่าน”

เขาดูบริสุทธิ์และใสซื่อเหมือนเด็กๆเมื่อพยายามสูดหายใจเข้าจมูกถี่ๆเพื่อแสดงให้คาร์ลได้เห็นว่าเขาได้กลิ่นมันมาจากตัวคาร์ลจริงๆ อัศวินแมวเงยหน้ามองคาร์ลที่ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าของตนแม้แต่น้อย สายตาที่คาร์ลจ้องมาที่เขานั้นทำให้นึกสงสัยว่าเขาพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า? ตอนนั้นเองที่คาร์ลเริ่มพูดขึ้น

“แล้วเจ้าล่ะไม่ได้เลี้ยงแมวไว้หรือ?”

“อะไรนะ?”

“ดูเหมือนตอนนี้จะมีแมวอยู่กับเจ้านี่นา”

ความหวาดระแวงปรากฏให้ได้เห็นบนใบหน้าอันไร้เดียงสา มือของคาร์ลตบลงไปที่ไหล่ของอัศวินแมวเบาๆ

แปะ!แปะ!แปะ!