กู้เหยี่ยนที่กำลังจะหมดแรงก็ถูกช่วยไว้ได้ทัน เขาเป็นหนุ่มน้อยร่างเบา กู้ฉังชิงเองก็รู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ตัวเบากว่าที่คิดไว้เยอะ
กู้เหยี่ยนตื่นมาด้วยอาการมึนงง เขาไม่รู้ว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น รู้ตัวอีกทีก็นอนราบอยู่บนพื้นแล้ว
“เอ๋” เขาลืมตาขึ้นมา ก็เจอกับบุรุษชายชาติทหาร เลยทำท่าตกใจ “เจ้า เจ้าเป็นใครกัน”
จิ้งคงน้อยเห็นดังนั้นจึงช่วยอธิบาย “เขาเป็นท่านพี่ใหญ่ของข้าเอง! คนที่ข้าเล่าให้ฟังไงว่าเคยช่วยชีวิตข้าไว้ แถมยังมอบนกให้ข้าเป็นของขวัญอีกด้วย!”
“อ้อ” ที่แท้ก็เขาเองรึที่ให้ลูกนกอินทรีย์ยักษ์นั่นกับจิ้งคงน่ะ!
“ท่านพี่เหยี่ยน หน้าเจ้าไปโดนอะไรมา” จิ้งคงเอ่ยถาม
“อะไรหรอ” กู้เหยี่ยนที่เพิ่งได้สติ ก็รีบเอามือคลำๆ ที่ใบหน้าตัวเอง เขารู้สึกได้ว่า มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
จิ้งคงล้วงกระเป๋าแล้วหยิบกระจกขึ้นมาให้ “เจ้าดูเองสิ!”
กู้เหยี่ยนมองเข้าไปในกระจก ก็พบว่าใบหน้าของตนเองเต็มไปด้วยรอยบวมแดงช้ำ เขาตกใจจนแทบจะเป็นลม!
“ทำไม หน้าของข้าถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ”
กู้เหยี่ยนร้องในใจ ไม่นะ! หมดกันใบหน้าสวยๆ ของข้า! ฆ่ากันเลยดีกว่า!
“เป็นไปได้ว่าอาจถูกแมลงต้นไม้กัดเอาได้ ต้องรีบให้หมอช่วยดู” กู้ฉังชิงเอ่ย พลันนึกได้ว่าแม่นางกู้เจียวคนนั้นเป็นหมอ จึงรีบเอ่ยขึ้น “รีบกลับเถอะ”
“โอ๊ย ขาของข้า!” กู้เหยี่ยนร้องพลางมองลงไปที่ข้อเท้าบวมของเขา
กู้ฉังชิงชำเลืองอยู่พักหนึ่ง พลางเอ่ย “ข้าไปส่งเจ้าเอง”
“เอ๋” กู้เหยี่ยนทำหน้าตะลึง
จิ้งคงพยักหน้าเห็นด้วย “ขอบคุณท่านพี่ใหญ่! ท่านไปส่งท่านพี่เหยี่ยนก่อนเถิด เดี๋ยวข้าตามไป ข้าจะรอท่านพี่เสี่ยวซุ่นตรงนี้! ไม่งั้นข้ากลัวว่าเขาจะหาพวกเราไม่เจอ!”
“เจ้าคนเดียวไหวรึ” กู้ฉังชิงเอ่ยถาม
“ไหวสิ! ข้าคุ้นเคยกับที่นี่แล้ว! ไม่หลงทางแน่นอน!”
“งั้นก็ดี” กู้ฉังชิงเอ่ยจบก็กระโดดขึ้นมาแล้วยื่นมือให้กู้เหยี่ยน
แต่กู้เหยี่ยนกลับยืนตัวแข็งทื่อไม่ขยับ
กู้ฉังชิงจึงคว้าร่างของเขาขึ้นมาบนอานม้า ให้เขานั่งด้านหน้า จากนั้นก็เอาเชือกมาพันร่างของเขาไว้กับตนเอง
ตั้งแต่จำความได้ กู้เหยี่ยนไม่เคยใกล้ชิดกับใครขนาดนี้มาก่อนนอกจากกู้เจียว
แต่ก็นะ กู้เจียวเป็นพี่สาวของเขา พวกเขาเป็นแฝดกัน ตัวติดกันตั้งแต่อยู่ในท้องของเหนียงแล้ว
พอมานั่งแบบนี้ กู้เหยี่ยนรู้สึกไม่สบายตัว ครั้นอยากจะลง แต่ก็พูดอะไรไม่ออก
ที่เขาพูดไม่ออก ไม่รู้เป็นเพราะเขารู้สึกได้ถึงรังสีอันน่ากลัวของคนข้างหลัง หรือเป็นเพราะเขาเจ็บไปหมดทั้งตัวจนสติหลุดกันแน่
กู้เหยี่ยนนั่งบนอานอย่างเชื่อฟังราวกับนกกระทาตัวเล็กๆ เขาพยายามกระเถิบไปข้างหน้าเพื่อแผ่นหลังของเขาจะได้ไม่ชนกับแผ่นอกของกู้ฉังชิง แต่อานม้าก็มีอยู่แค่นั้น ไม่ว่ากู้เหยี่ยนพยายามกระเถิบเท่าไหร่ สุดท้ายก็ไหลกลับมาที่เดิมอยู่ดี
กู้เหยี่ยนรู้สึกเจ็บจจนสูดปาก พลางบ่น “แข็งขนาดนี้ ทำด้วยเล็กหรือยังไงกัน”
ใช้เวลาเพียงนิดเดียวก็เดินทางมาถึงที่เรือน กู้ฉังชิงพลิกตัวลงจากม้าก่อน จากนั้นหันไปถามกู้เหยี่ยนที่ดูเหมือนวิญญาณได้หลุดออกจากร่างไปแล้ว “ลงได้ไหม”
กู้เหยี่ยนพยายามเอาแขนเสื้อมาปิดหน้าตัวเองไว้
เฮ้อ น่าอายชะมัด!
“เจ้า หันหลังไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะลงเอง!” กู้เหยี่ยนเอ่ย
กู้ฉังชิงไม่ขยับใดๆ ยังคงจ้องเขาอย่างนิ่งๆ
“บอกแล้วไงว่าให้หันหลังไป!”
กู้ฉังชิงไม่รอช้า คว้าร่างของเขาแล้วอุ้มลงมาอย่างรวดเร็ว
ให้เจ้าเด็กนี่ลงจากม้าเอง ต้องรอกี่ชาติถึงจะลงมาได้ล่ะ!
กู้เหยี่ยนบ่นอุบอิบในใจ ให้ตายสิ! แม้แต่พี่ชายแท้ๆ ของข้ายังไม่เคยอุ้มข้าแบบนี้เลย!
กู้ฉังชิงแบกร่างกู้เหยี่ยนเข้าไปในเรือน จากนั้นวางไว้บนเก้าอี้หวาย
กู้เหยี่ยนได้แต่รู้สึกโกรธจนควันออกหู
ตอนที่ใบหน้าของเขายังดีๆ อยู่ ไม่ว่าเขาจะทำหน้าโกรธอย่างไรก็ออกจะดูดีไปหมด แต่ตอนนี้ ดูสิ หน้าของเขาอย่างกับหัวหมู พอโกรธจนหน้าแดง ยิ่งเหมือนหัวหมูต้มสุกเข้าไปใหญ่
ไม่พอแค่นั้น เขายังทำตาขวางอีกด้วย!
ขนาดระดับกู้ฉังชิงที่ไม่ยิ้มให้ใครง่ายๆ ยังหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
กู้เหยี่ยนทำตัวไม่ถูก จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก จะตีก็ตีไม่ได้ ได้แต่ถลึงตาใส่!
กู้ฉังชิงหรี่ตามองอย่างมีเลศนัย จากนั้นก็ดีดนิ้วเข้าที่หน้าผากกู้เหยี่ยนหนึ่งที
กู้เหยี่ยนที่นั่งงอแงเหมือนเด็กน้อยจู่ๆ ก็โดนดีดหน้าผากเสียอย่างงั้น!
กู้เหยี่ยนน้อยถึงกับไปไม่ถูก!
ทำเอากู้ฉังชิงหัวเราะงอหาย
ปกติแทบจะไม่ค่อยมีใครได้เห็นเขายิ้มหรือหัวเราะเท่าใดนัก สมมติว่าคนที่ค่ายทหารมาเห็นภาพนี้เข้า คงต้องมีตกใจกันบ้างล่ะ มนุษย์หินเหล็กผู้ได้รับฉายายมราชอย่างเขาน่ะหรือจะมีมุมเช่นนี้
ทุกคนในค่ายทหารต่างโพนทะนากันว่า ผู้ได้เห็นยมราชคลี่ยิ้ม จักต้องตายสถานเดียว
เพราะเขามักจะยิ้มแค่ตอนที่ได้ฆ่าคนแล้วเท่านั้น คนที่เห็นเขายิ้ม ก็แปลว่าคนคนนั้นได้ตายแล้ว
กู้เหยี่ยนหันหลังให้อย่างไม่พอใจ ก่อนจะหันกลับมาแล้วตบเข้าที่ก้นของกู้ฉังชิงหนึ่งที!
กู้ฉังชิงรีบกลับไปหาจิ้งคงที่สวนผลไม้ พอเห็นว่าจิ้งคงกำลังยืนอยู่กับเด็กหนุ่มอีกคนอายุราวสิบสามสิบสี่ขวบ เขารู้ทันทีว่าเด็กคนนั้นคือท่านพี่เสี่ยวซุ่นของจิ้งคง
กู้ฉังชิงไม่ได้เข้าไปหาพวกเขา ควบม้ามุ่งหน้าไปยังค่ายทหาร
ในชั่วพริบตาเดียว ก็มาถึงวันจัดสอบของกั๋วจื่อเจียน
และด้วยเหตุบางอย่าง การจัดสอบของโรงเรียนปฐมวัยจึงต้องเลื่อนขึ้นมาเป็นวันที่ยี่สิบห้า
การสอบมีทั้งหมดสองด่าน ด่านแรกคือคำนวณ ด่านสองคือเติมกลอน ฟังดูเหมือนง่าย แต่โจทย์นั้นทั้งยากและมีจำนวนข้อเยอะ
เซียวลิ่วหลังและกู้เจียวส่งจิ้งคงเข้าสนามสอบ
“ไม่ต้องตื่นเต้นไปนะ” เซียวลิ่วหลังบอกกับเด็กน้อย
“ข้าไม่เหมือนเจ้าสักหน่อย ไม่ตื่นเต้นหรอก!” จิ้งคงเอ่ยพลางเชิดหน้าใส่พี่เขยจอมแสบ
กู้เจียวนั่งยอง จากนั้นตรวจดูในกระเป๋าหนังสือของจิ้งคง “ทำเหมือนกับตอนที่ฝึกนั่นแหละ อย่าลืมว่าต้องเขียนให้ครบ ไม่ต้องรีบร้อน”
ที่กู้เจียวย้ำกับเขาเช่นนี้ เพราะเห็นว่าจิ้งคงเขียนตัวหนังสือช้า เกรงว่าหากจำนวนข้อสอบเยอะไป จิ้งคงจะรนจนทำข้อสอบได้ไม่ดี
เด็กน้อยเอามือตบที่หน้าอกตัวเอง “วางใจได้เลยเจียวเจียว! ข้าเขียนหนังสือได้เร็วขึ้นกว่าเดิมแล้วล่ะ!”
“เก่งซะขนาดนี้ เจ้าว่าจะสอบได้ที่เท่าไหร่กัน” เซียวลิ่วหลังเห็นท่าทีอวดเบ่งของเจ้าตัวเล็ก เลยถามลองเชิง
จิ้งคงตอบอย่างมั่นใจ “แน่นอนว่าต้องได้ที่หนึ่ง!”
เด็กที่มาเข้าสอบส่วนใหญ่อายุประมาณหกถึงแปดขวบ จิ้งคงเป็นเด็กที่อายุน้อยที่สุดในสนามสอบ ถ้าไม่ใช้เพราะค่าสอบขยับขึ้นหนึ่งตำลึงทุกปี ป่านนี้นางคงยังไม่รีบให้เขาเข้าสอบหรอก
จิ้งคงพอได้ที่นั่งสอบ ก็เดินไปตามที่สนามสอบเตรียมไว้
นอกจากเขาจะเด็กสุดแล้ว ยังคุมสติได้ดีที่สุดด้วย
สนามสอบที่นี่ไม่ได้แบ่งห้องละคน แต่จะนั่งสอบในห้องเดียวกัน โดยจัดที่นั่งแต่ละคนแยกไว้ห่างๆ
สิ้นเสียงระฆัง ผู้คุมสอบก็เริ่มแจกกระดาษข้อสอบ
ตอนแรกจิ้งคงก็ทำได้ดีอยู่หรอก แต่พอมาสามหน้าสุดท้าย เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้ว
ซวยแล้ว คำประหลาดพวกนี้มันคืออะไรกันนี่
ข้อสอบปีนี้ออกเกี่ยวกับภาษาถิ่นของแต่ละแคว้น แบ่งเป็นเพลงพื้นบ้านแคว้นฉีหนึ่งบท กลอนห้าแปดวรรคสองบทของแคว้นเฉิน และและกลอนเจ็ดของแคว้นจ้าว
ส่วนเซียวลิ่วหลังและกู้เจียวที่เพิ่งรู้ว่าปีนี้มีออกสอบเรื่องภาษาต่างแคว้นด้วย ก็เริ่มใจคอไม่ดี!
ตายละ ลืมติวเรื่องภาษาต่างแคว้นให้จิ้งคงไปเสียสนิทเลย!