ตอนที่ 257 โชคร้ายเลือกเฉพาะคนที่มีชีวิตอาภัพ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 257 โชคร้ายเลือกเฉพาะคนที่มีชีวิตอาภัพ

ฉินหลิวซีไม่เป็นเดือดเป็นร้อนไม่พอ ปากยังจัดอีกด้วย ทำให้เหล่านายหญิงถูสามที่ต้องการซื้อโกรธไม่เบา

ตระกูลถูไม่ได้นับว่ามีอำนาจสูงสุดในชิงโจว แต่เพราะตระกูลถูเป็นตระกูลที่เกี่ยวดองกับตระกูลเหมิงจวนอันเฉิงโหว มีนายหญิงถูสามที่เกิดในสกุลเหมิง ภายใต้เหมิงกุ้ยเฟยที่ได้รับความโปรดปราน ตระกูลถูที่เป็นตระกูลเกี่ยวดองย่อมได้ดีไปด้วย มีบารมีและอำนาจขึ้นมาในท้องถิ่น

เพียงแต่อำนาจและบารมีนี้ เป็นบารมีที่ดี หรือบารมีจอมปลอม ยังเอ่ยได้ยาก

และเพราะเหตุนี้ คนที่มีตาจึงไม่กล้าไปหาเรื่องตระกูลถูอย่างโจ่งแจ้ง โดยเฉพาะนายหญิงถูสามผู้นั้น เบื้องหลังของนางคือจวนอันเฉิงโหว กุ้ยเฟยผู้ได้รับความโปรดปรานคืออาของนาง ผู้ใดไม่ไว้หน้านางบ้างเล่า

ฉินหลิวซีอย่างไรเล่าที่ไม่ให้

นางท้าทายนายหญิงถูสามแล้ว เห็นว่าผู้ช่วยปรุงยาถือกะละมังเล็กใส่น้ำหิมะเข้ามา หยิบถ้วยยาสะอาด หยิบผงไข่มุกที่จัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยเทลงไป ใส่น้ำหิมะเพิ่มเข้าไป จากนั้นเพิ่มอวี้เสวี่ยจีเข้าไป คนให้เข้ากันจนข้นหนืด

อวี้เสวี่ยจีถูกเปิดออกกลิ่นหอมเย็นที่เป็นเอกลักษณ์กระจายออกมา ทำให้คนมีกำลังวังชาขึ้นมา

นายหญิงถูสามดวงตาแดงก่ำ เลือดตกอยู่ในใจ

อวี้เสวี่ยจีแพงถึงเพียงนี้ นางกลับเทมันลงไปแล้วคนในถ้วยอะไรนั่นเช่นนี้

แต่สิ่งที่ทำให้นางยิ่งอิจฉาก็คือ คนผู้นั้นนำยาเหนียวข้นนั่นทาให้กับเด็กน้อยยากจนที่นอนอยู่บนเตียงนั่น

คิ้วของนายหญิงถูสามขมวดมุ่นจนเป็นตัวอักษรชวน (川) ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูกอย่างรังเกียจ ก้าวถอยหลังสองก้าว ราวกับทำเช่นนี้แล้วจะออกห่างจากกลิ่นอายของความยากจนนั้นได้

ฉินหลิวซีนำยาเหนียวข้นทาลงไปบนบาดแผลยาวแล้วใช้ผ้าพันแผลขาวบางระบายอากาศได้ดีพันปิดลงไป จึงเป็นการจบการรักษาอย่างสมบูรณ์

แน่นอนว่ายาที่จ่ายให้เป็นยาลดอาการปวดและอาการบวม ต้องดื่มด้วยกัน

นายหญิงถูสามแทบอยากกระอักเลือดตรงนั้นเสีย

เด็กบ้าที่ไม่รู้มาจากไหนผู้นี้ นำอวี้เสวี่ยจีของมีค่าราคาพันตำลึงทองใช้บนร่างกายของเด็กน้อยยากจนคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ

นายหญิงถูสามสูดหายใจเข้าลึก อดกลั้นเอาไว้ ยังเหลืออีกสักหน่อย

นางหลับตาลง เอ่ย “อวี้เสวี่ยจีนี้ เจ้าใช้ก็ใช้แล้ว ส่วนที่เหลือ ให้ข้าได้หรือไม่ ยังคงคำเดิมเมื่อครู่ สิบเท่า”

ฉินหลิวซีกลับทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงใช้นิ้วมือยื่นไปจับชีพจรของเยี่ยนเอ๋อร์ ชีพจรมั่นคง นางจึงวางใจ

“ผู้นี้…”

ฉินหลิวซีปรายตามองไป สายตาคมดุจมีด

นายหญิงถูสามสบเข้ากับสายตานั้น ก้าวถอยหลังไปสามก้าวท่าทางชะงักงัน ใบหน้าซีดขาว หัวใจเต้นรัวเร็ว

“ให้เงินร้อยเท่า อวี้เสวี่ยจีก็ไม่มีทางเป็นของเจ้า ออกไป” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเย็น

ใบหน้าที่ซีดขาวของนายหญิงถูสามเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ นางหมุนตัวเดินออกไป เมื่อกลับมาถึงรถม้า นางพลันตัวอ่อนยวบเพราะความตื่นกลัว สันหลังเย็นวาบ

“นายหญิงสาม เด็กคนนั้นช่างโอหังนัก กล้ามองข้ามท่านเยี่ยงนี้ อีกทั้งอวี้เสวี่ยจีนั่น ยังเอาไปใช้กับใบหน้าของเด็กคนนั้น เสียทิ้งเปล่าประโยชน์จริงๆ” ใบหน้าสาวใช้ชุดชมพูเต็มไปด้วยความเจ็บใจ

นายหญิงถูสามหลับตา สงบจิตสงบใจที่เต้นรัวไม่หยุด

เนิ่นนาน นางจึงลืมตาขึ้นมา ออกคำสั่ง “ให้เหอเอ้อร์มานี่ เลือกสองคนไปดู แล้วสืบถึงคนจนที่บาดเจ็บนั่นว่าเป็นใครกันแน่”

คนผู้นั้นถึงใช้อวี้เสวี่ยจีรักษาใบหน้าของนาง เพราะอะไรกันดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

ในร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ ฉินหลิวซีเอ่ยกับสตรีผู้นั้น “อวี้เสวี่ยจีนั้นวิเศษ แต่ไม่ใช่ทายาครั้งเดียวก็จะหายได้ ต้องเปลี่ยนยาหลายครั้ง หากเจ้ากลับบ้าน เจ้าคงรักษายานี้เอาไว้ไม่ได้ กระทั่งรักษาชีวิตสองแม่ลูกของพวกเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ”

สตรีผู้นั้นใบหน้าซีดขาว อยากเอ่ยบางอย่าง ริมฝีปากขยับไหว

นางมองไปยังบุตรสาวที่นอนหลับสนิท กลืนน้ำลาย เอ่ย “คุณชาย ใบหน้าของเยี่ยนเอ๋อร์ จำเป็นต้องใช้ยานี้หรือเจ้าคะ ข้ารู้ มันคงแพงมาก พวกเราเป็นชาวบ้านธรรมดา เกรงว่า…”

“บนตัวเจ้ามีเงินมากเพียงใด” ฉินหลิวซีเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

สตรีผู้นั้นชะงัก รีบคลำหาเงินบนร่างกายแล้วควักออกมา เมื่อแบมือออก เงินทองแดงน่าสงสารจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าฉินหลิวซีในตอนนี้

นางเอ่ยด้วยใบหน้าขึ้นสีแดง “มี มีเท่านี้เจ้าค่ะ”

ผู้จัดการเยี่ยสูดหายใจเข้าลึก

เอ่ยตามตรง อย่าว่าแต่นายหญิงถูสามที่ยอมจ่ายเงินสิบเท่า ต่อให้เป็นเขา เหงื่อก็เริ่มซึม ไม่ใช่สิ เลือดทะลักเลยต่างหาก

ฉินหลิวซีหยิบเงินทองแดงในมือนาง เหลือไว้หนึ่งแผ่น จับมือนางกำกลับเข้าไป เอ่ย “เท่านี้ก็พอแล้ว”

สตรีผู้นั้นชะงักงัน ดวงตาแดงก่ำ

พอหรือ พอที่ไหนกันเล่า เอาพวกนางไปขายก็ยังไม่พอเลย

นางคุกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะสามครั้ง เอ่ย “คุณชาย น้ำใจของท่าน ข้าเข้าใจ ทว่าไม่อาจทำให้ท่านลำบากไปด้วยได้ เพียงเท่านี้ข้าก็รู้สึกซาบซึ้งใจ ยอมจำนนแล้ว สตรีครอบครัวชาวนามีใบหน้าแย่สักหน่อย ก็คงจะพอใช้ชีวิตได้เจ้าค่ะ”

“ข้าบอกแล้วว่าจะทำให้นางกลับมาเป็นปกติ หากเจ้ากลัวว่าข้าจะลำบากไปด้วย ไม่ต้องเอ่ยเช่นนี้ เอาอย่างนี้พวกเจ้าอยู่ที่ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะสักระยะ หมอที่นี่จะช่วยเปลี่ยนยาให้เยี่ยนเอ๋อร์ ไม่ต้องกลัวว่าผู้ใดจะมาแย่งยาไปได้” ฉินหลิวซีเอ่ย มองไปยังผู้จัดการเยี่ย

ผู้จัดการเยี่ยหัวไว รีบเอ่ย “ใช่แล้ว ในร้านยาตำหนักอายุวัฒนะมีห้องพักเอาไว้ให้คนป่วยอยู่ได้”

สตรีผู้นั้นมีท่าทีลังเล

ซือเหลิ่งเย่ว์เห็นเช่นนั้น ลอยไปอยู่ข้างกายฉินหลิวซี เอ่ย “อาจารย์ฉิน นางมีความกังวล นายหญิงถูสามมิใช่คนที่จะยอมรับความโกรธนี้ได้ง่ายๆ นางจะต้องสืบ สืบจนไปถึงบ้านสามีของสตรีผู้นี้อย่างแน่นอน บ้านสามีนางคงมาสร้างความวุ่ยวายที่นี่”

“ไม่ใช่สร้างความวุ่นวาย แต่อาจเสียชีวิต” ดวงตาของฉินหลิวซีทะมึนขึ้น

คิ้วสวยของซือเหลิ่งเย่ว์ขมวดมุ่น “ท่านหมายถึงสิ่งใด”

“นายหญิงถูสามไม่อยากทิ้งอวี้เสวี่ยจีนี้ไป หากให้สตรีผู้นี้เอายาไป นางจะต้องไปที่บ้านของสตรีผู้นี้ เพียงหนึ่งประโยค บุญคุณเล็กๆ น้อยๆ ยานี้ก็จะถึงมือนาง” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “นางมีเพียงเยี่ยนเอ๋อร์คนเดียว ในสายตาของแม่สามีนางก็เหมือนแม่ไก่ที่ไม่ออกไข่ ในเมื่อไม่มีประโยชน์ ทิ้งก็ทิ้งเสีย มีบุตรชายอยู่ มีเงิน แต่งลูกสะใภ้คนใหม่ ให้กำเนิดหลานชายสักคน ไยจะทำไม่ได้ บุรุษนั้นมีความสัมพันธ์แสนเจือจาง”

นางเอ่ยขณะมองไปยังซือเหลิ่งเย่ว์ เอ่ย “บนโลกใบนี้คนที่มีความรักลึกซึ้งเช่นบิดาของเจ้า น้อยในน้อย”

ดวงตาของซือเหลิ่งเย่ว์อ่อนโยนขึ้น นึกถึงครอบครัวสามีของสตรีผู้นั้น เอ่ย “แต่ถ้าพวกนางไม่กลับไปแล้วอยู่ที่นี่ ตระกูลถูสั่งการเล็กน้อย ครอบครัวสามีของสตรีผู้นี้คงตามมาถึงที่นี่”

“ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะมาก่อเรื่องโวยวายได้” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

ซือเหลิ่งเย่ว๋ เอ่ย “แม้จะบอกว่าร้านยาตำหนักอายุวัฒนะไม่กลัว แต่เพื่อเลี่ยงความวุ่นวาย ยังคงต้องเตรียมการสำรอง แม้ท่านจะบอกว่าไม่กลัวความวุ่นวาย เกรงว่าชีวิตของพวกนางไม่อาจตัดสินใจได้ด้วยตัวของพวกนางเอง หากท่านรู้ ในสายตาบุรุษส่วนใหญ่ ภรรยาและลูกเป็นของพวกเขา ทุกที่ทุกเวลาหากเขายืนกรานจะพาพวกนางไป ท่านที่เป็นคนนอก อีกทั้งร้านยาตำหนักอายุวัฒนะคงทำอะไรไม่ได้ ครอบครัวชาวนาส่วนใหญ่ทำร้ายภรรยาถึงขั้นตีจนตายพวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ต่อให้ขึ้นไปถึงศาล เคาะกระดานไม่กี่ครั้งก็ตัดสินคดีแล้ว”

น้ำเสียงของซือเหลิ่งเย่ว์บางเบาทว่ามีความอับจนหนทาง ถอนหายใจออกมา ยุคสมัยเป็นเช่นนี้ โชคชะตาของสตรี น้อยนักที่สามารถกำหนดได้ด้วยตนเอง

และในครอบครัวชาวนาก็เป็นเช่นนี้ เชือกป่านมักจะขาดในจุดที่บางที่สุด โชคร้ายเลือกเฉพาะคนที่มีชีวิตอาภัพ