ตอนที่ 168 พลิกเปลี่ยนยามคับขัน

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

พสุธาเขย่าสั่น เมฆหมอกปลิวกระจาย

พลังทำลายล้างกวาดเอาเขาหมื่นเมตรให้ราบเป็นหน้ากลอง เปลี่ยนจากเขาสูงให้เป็นหุบเขาลึก

หากประตูสวรรค์ยังตั้งตระหง่านดุจเดิม ข่ายปราณยังคงหมุนวน ผลักเอาพลังจู่โจมจากผู้ฝึกยุทธ์นับไม่ถ้วนไว้ภายนอก

ยิ่งเป็นเช่นนี้ ผู้คนก็ยิ่งคลั่ง ยิ่งสูญเสียสตินึกคิด

ฉินจิ่วเกอใคร่ครวญอยู่นานสองนาน จากนั้นก็ไปพาตัวประมุขจวงมายังที่ปลอดคน เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครจับตามอง จึงค่อยประสานมือแล้วค้อมตัวให้

โดยปกติประมุขจวงปฏิบัติกับฉินจิ่วเกอราวกับเป็นสหายรุ่นเดียวกัน จึงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

มันรู้ดีว่าฉินจิ่วเกอเป็นคนที่ผยองมากคนหนึ่ง ยากที่จะแสดงกิริยาอ่อนน้อมกับใคร

“ศิษย์น้องฉินมีอะไรก็บอกกล่าวมาได้เลย” ประมุขจวงพอเห็นฉินจิ่วเกอทำเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา

ด้วยใบหน้าอันเคร่งขรึม ฉินจิ่วเกอเอ่ยถามเป็นการเป็นงาน “ข้าสามารถไว้ใจพี่จวงได้หรือไม่”

ประมุขจวงตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ศิษย์น้องฉิน ข้าจวงปี้แม้ไม่อาจนับเป็นคนที่มีใจศรัทธายึดมั่น และไม่กล้าอวดอ้างว่าเป็นวีรบุรุษมากศีลธรรม แต่ถ้าสหายมีเรื่องเดือดร้อน ข้าย่อมช่วยเหลือสุดความสามารถ ไม่มีวันทรยศหักหลังเป็นอันขาด”

“เยี่ยม” พูดจบก็ล้วงเอากล่องหยกใบหนึ่งออกจากแหวนมิติ บนนั้นมีประทับแก่นโลหิตของฉินจิ่วเกออยู่

“ข้าเชื่อใจพี่จวง และก็ขอให้ท่านเชื่อใจข้าด้วย จนถึงตอนนี้ ข้าก็ไม่เคยมีความคิดที่จะทำร้ายใครทั้งนั้น”

“ศิษย์น้องฉิน เจ้า…”

“พี่จวง ข้าขอรวบรัดเลยแล้วกัน เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความอยู่รอดของเมืองเทียนเอิน แต่ไม่อาจบอกกล่าวกับคนนอก มิเช่นนั้นย่อมเกิดหายนะล้างตระกูล เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ขอให้ท่านทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่ถ้าวันใดท่านถูกผู้ฝึกวิชาปีศาจคุกคามถึงชีวิต เพียงท่านเปิดกล่องใบนี้ มันต้องช่วยท่านได้แน่”

“ผู้ฝึกวิชาปีศาจ? ” จวงปี้นัยน์ตาสั่นสะท้าน “เจ้าหมายถึงใคร? ”

เรื่องนี้ไม่อาจล้อเล่นกันได้ จวงปี้เองก็ไม่คิดว่าฉินจิ่วเกอกำลังพูดเรื่องไร้แก่นสารอยู่เหมือนกัน

ทวีปฉงหลิงช่วงนี้เกิดความระส่ำระส่ายไม่หยุดหย่อน ทั้งยังพบร่องรอยของผู้ฝึกวิชาปีศาจ พวกมันเข่นฆ่าผู้ฝึกตน รวบรวมวิญญาณและแก่นโลหิต

“ท่านอย่าได้ถามข้า และไม่อาจบอกกล่าวต่อผู้ใด เก็บกล่องใบนี้ไว้ให้ดี พอถึงเวลา มันย่อมช่วยให้พวกท่านรอดพ้นจากอันตรายได้แน่ จำไว้อย่างเดียวว่ามิอาจนำไปพูดกับใคร มิฉะนั้นย่อมเกิดหายนะล้างตระกูลแน่! ”

ฉินจิ่วเกอครุ่นคิดอยู่หลายตลบ เพราะถึงยังไงคนที่เข้าไปยุ่งเรื่องคนอื่น สุดท้ายก็ต้องตามเช็ดตามล้างให้ด้วย

แค่ตัดใจส่งมอบกล่องหยกใบนี้ให้จวงปี้ ฉินจิ่วเกอก็ต้องแบกรับความเสี่ยงมากแล้ว

จวงปี้รับกล่องมาอย่างเคร่งขรึม ประทับแก่นโลหิตบนนั้นบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

“ได้ ข้ารับปาก เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ข้าจำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น” จวงปี้ให้คำมั่น ช่างเป็นสหายเฒ่าที่มีคุณธรรมน้ำมิตรจริงๆ

แล้วอยู่ๆ ฉินจิ่วเกอก็ฉีกยิ้มยียวนขึ้นมา “ประมุขจวงจำเรื่องก่อนหน้านี้ไม่ได้ใช่หรือไม่? ที่จริงเมื่อครู่ท่านและข้าพนันกันไว้สามสิบล้านศิลาวิญญาณระดับต่ำ แล้วท่านก็เป็นฝ่ายแพ้ ลูกผู้ชายพูดคำไหนคำนั้น เพราะงั้น……”

ฉินจิ่วเกอถูนิ้วเข้าหากันไปมา นัยน์ตาแทบจะกลายเป็นเหรียญเงิน

ประมุขจวงสูดลมหายใจหนาวสามครั้ง เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเจอคนสารเลวหน้าไม่อายเช่นนี้มาก่อน “ข้าจำไม่ได้ มีหลักฐานหรือไม่? ”

“ฟ้าดินเป็นสักขีพยาน หากท่านไม่อยากถูกฟ้าผ่าละก็ ทางที่ดีก็ส่งมอบเงินสามสิบล้านนี้มาให้ข้าซะดีๆ ควรทราบว่า ของที่ข้าเสียสละมอบให้ท่านนั้น ต่อให้ใช้เงินมากถึงสามสิบล้านศิลาวิญญาณระดับกลางก็ยังซื้อหามาไม่ได้”

“คืออะไรกันแน่? ” ประมุขจวงยิ่งอยากรู้มากขึ้นไปอีก แต่มันก็ไม่กล้าเปิดง่ายๆ

ฉินจิ่วเกอกลับโพล่งออกมา “จิตบริสุทธิ์ดุจน้ำแข็ง ชืดชาลาภยศสรรเสริญ!”

อุ่บ ประมุขจวงปิดปากวิ่งหนีจากไปไกล เพิกเฉยต่อเงินสามสิบล้านศิลาวิญญาณที่ฉินจิ่วเกอเรียกร้อง

เด็กหนุ่มแสนดีที่เพิ่งทำท่าห่วงหาปวงประชาอยู่หมาดๆ ตราบใดที่ยกเรื่องเงินขึ้นมา พลันต้องเปลี่ยนเป็นอันธพาลรีดไถเงินทองตามท้องถนนไปในทันที

ประมุขจวงกังวลอย่างลึกล้ำ บางทีมหาทวีปฉงหลิงอาจกำลังอยู่ในวิกฤติ ต้องเป็นสภาพแวดล้อมเยี่ยงใดกัน ถึงได้ชุบเลี้ยงปีศาจร้ายตนนี้ออกมาได้!

ฉินจิ่วเกอพกพาความกังวลเดินจากไปเช่นกัน ตนคือสุภาพชน ตนคือคนดี

นิยามของคนดีและสุภาพชนก็คือเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

ด้วยเหตุนี้ของที่อยู่ในกล่องหยกใบนั้นก็เปรียบเหมือนยาพิษ แม้แต่ศิลาวิญญาณสักครึ่งก้อนก็ยังไม่ได้

มดจำนวนมหาศาลก็สามารถล้มช้างได้

ภายใต้ความพยายามไม่หยุดยั้งของผู้ฝึกตนเมืองเทียนเอินรวมถึงแรงขับดันแห่งการปวดเบา ประตูสวรรค์ก็แตกหัก เส้นแสงสลายหาย

พร้อมกับการล่มสลายของบานประตูที่เหมือนดั่งปราการสวรรค์ สุสานของบรรพชนเฒ่าสุญญตาก็เผยออกสู่หล้า แสงสกาวพราวพรายยิ่งกว่ามวลดาราก็พวยพุ่งออกมา

เดือดร้อนทุกคนให้รีบปิดตากันวุ่นวาย ลำแสงนี้สว่างจ้าเสียจนลืมตาไม่ขึ้น

ฉินจิ่วเกอร่ำร้องอยู่ในใจ หากยังไม่มีอะไรเปลี่ยนอีก สิ่งที่มันพอจะทำได้ มันก็ทำให้หมดแล้ว

ในตอนที่ดวงตาของไป๋หลี่ชิงเฉิงกำลังทอประกายโลหิตเดือดพล่าน และตอนที่ทุกคนกำลังจะออกตัววิ่งร้อยเมตรกันอยู่นั้น โอกาสที่ฉินจิ่วเกอรอคอยมานานก็มาถึง!

หากพระเจ้าบอกว่าโลกใบนี้มีน้ำ น้ำก็เกิดขึ้น

หากพระเจ้าบอกว่าโลกใบนี้จะสว่างไสว สายฟ้าก็เกิดขึ้น

หรือก็คือ คำว่าพระเจ้านี้ คือคำอันสูงส่งสุดยอดราวๆ นั้น โรคประสาทเองก็เป็นการสำแดงพลังของพระองค์ เพราะว่ามีคำว่า พระเจ้า อยู่ในนั้นเหมือนกัน

และตอนนี้ฉินจิ่วเกอก็กำลังประสาทแดก ตอนสะบัดหน้ากลับไป พบเห็นมวลหมู่เมฆถูกแหวกออกเป็นทาง พบเห็นคนเหาะเหินอยู่บนประกายเจ็ดสี ราวกับเทพที่จุติลงจากสวรรค์ พร้อมประกายแห่งปัญญา

“ดูนั่น เทวดา!” ฉินจิ่วเกอชี้มือชี้ไม้ ชี้ไปยังท้องฟ้าไกลตา

ทุกผู้คนแหงนหน้ามองดู วะว้าวว เทวดาองค์เบ้อเริ่ม

เทพองค์นั้นลอยเหินอยู่บนฟ้าพันเมตร แทบกลืนกลบไปภายในเมฆาขาว ราวแมลงตัวจ้อยเริงระบำอย่างปลอดโปร่ง

ผู้คนมองดูฉินจิ่วเกออย่างอัศจรรย์ใจ หากมันไม่พูด ไม่ว่าใครก็ไม่สังเกตเห็น

“พวกเจ้าทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไง ก็เทพจริงๆ นี่!” ฉินจิ่วเกอคารวะกราบกรานด้วยความเคารพ ร่ำร้องต่อท้องฟ้า

“ฮึ่ยย!”

ทุกผู้คนส่งสายตาหมิ่นหยามดูแคลนเข้าใส่ ส่งเสียงสบถโดยพร้อมเพรียง

ผู้คนนับพันนับหมื่น ยามส่งเสียงสบถออกมาพร้อมกัน พลังเสียงสะท้านขึ้นไปถึงบนฟ้า สร้างความแตกตื่นแก่เทพยดาที่เหินบินอยู่นั้น

เทพองค์นั้นผมเผ้าขาวโพลน มองดูเห็นบนแผ่นดินผู้คนมากมายราวภูเขาเลากา ทันใดนั้น ราวกับวัตถุบางสิ่งตกลงจากฟ้า

“ยังเหม่อมองดูอะไร รีบไปรั้งคนผู้นั้นไว้เร็วเข้า!” เทพบนฟ้าองค์นั้นส่งเสียงออกมาแล้ว แล่นถลาลงสู่พื้นราวลูกไฟ

ฉินจิ่วเกอสองตาระยับราวดารา อีกฝ่ายมาได้ถูกเวลาจริงๆ มาอย่างเหมาะเจาะยิ่งกว่าฝนฤดูแล้ง บริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งกว่าน้ำลายเทวะ

“ไหนคน? ”

ทุกคนหันรีหันขวาง เลื่อนตามองไปบนฟ้า

ที่แท้ท่านเทพก็กำลังไล่ตามบุคคลเลือดอาบอยู่นี่เอง

ทั้งแขนทั้งอกของคนผู้นั้นล้วนมีแต่แอ่งโลหิตอยู่เต็มไปหมด เลือดทะลักบาดตา โดนไปขนาดนี้ถึงกับยังไม่ตาย

แถมผู้ถูกล่ายังเป็นถึงชนชั้นกลั่นดวงธาตุขั้นสี่!

“เป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจ! ” มีคนจดจำได้ อย่างไรเสีย กลิ่นอายของผู้ฝึกวิชาปีศาจหากมีใครได้สัมผัส ย่อมต้องไม่มีวันลืม

“รีบขวางมันไว้! ” เทพบนฟ้าเหยียบย่างผ่านชั้นเมฆ ในมือถือทวนยาวสีทองเล่มหนึ่ง ร่างสวมเกราะสีเงินยวง รัศมีพลังแผ่พุ่งท่วมท้น

ผู้ฝึกวิชาปีศาจถูกไล่ล่าจนตาเหลือก และมีแต่พระเจ้าที่รู้ ว่าเมื่อไหร่กันที่เมืองเทียนเอินปรากฏเพชฌฆาตเช่นนี้ออกมา

เดิมตั้งใจจะจับอีกฝ่ายมาดูดเลือดสูบวิญญาณ ใครเล่าจะคาดผีน้อยตนนี้กลับกลายเป็นราชาแห่งนรกภูมิ จากผู้ล่าเปลี่ยนเป็นผู้ถูกล่า สภาพเหมือนมุสิกวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนจนจะตายมิตายแหล่อยู่แล้ว

สี่พี่น้องตระกูลเถี่ยเห็นดังนี้ ในใจก็คิดว่านี่คือโอกาสดีที่จะได้สำแดงบารมีให้เป็นที่ประจักษ์ ไม่แน่อาจเอาชนะใจแม่นางไป๋หลี่ด้วยก็ได้

“พวกปีศาจบัดซบ กล้าก่อความวุ่นวายในเขตเมืองเทียนเอิน คอยดูว่าข้าจะสับสังหารเดียรัจฉานเจ้าอย่างไร! ” เถี่ยซานคำราม ระเบิดพลังยุทธ์พร้อมพุ่งเข้าใส่ผู้ฝึกวิชาปีศาจที่กำลังหนีตาย

พยัคฆ์แก่ไร้คมเขี้ยวตัวหนึ่ง ต่อให้เป็นกลั่นดวงธาตุขั้นสี่แล้วอย่างไร?

เถี่ยซานพุ่งเข้าปะทะผู้ฝึกวิชาปีศาจคนนั้นซึ่งหน้า ยังไม่วายส่งสายตากระเหี้ยนกระหือรือไปทางไป๋หลี่ชิงเฉิงอีกด้วย

ไป๋หลี่ชิงเฉิงยืนรับชมอยู่บนแท่นหยกสูง อะไรก็ไม่อาจส่งผลกระทบต่อนาง แต่ในแววตาน้ำแข็งกลับปรากฏจิตฆ่าฟันวาบผ่าน

ผู้ฝึกวิชาปีศาจ สิ่งที่พวกมันกินก็คือมนุษย์!

ปงปง!

ผู้ฝึกตนที่มีวรยุทธ์ต่ำพากันร่นถอยออกไป เพราะก่อนหน้านี้มีพิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้นบางคนที่ถูกพลังของมหาวิถีดวงธาตุทองคำอัดกระแทกจนตายไป

เถี่ยซานเข้าประมือกับศัตรู ผ่านไปสามกระบวนกลับไม่อาจชิงชัย ตรงข้ามกลับถูกกดดันร่นถอยอย่างต่อเนื่อง จนสุดท้ายก็ร่วงกระเด็นกลับลงมา

“สุดท้ายก็แค่นี้ ข้าเสวียลั่วฉาไม่เคยกริ่งเกรงผู้ใด! ”

“พี่ใหญ่ พวกข้ามาช่วยท่านแล้ว! ”

พอเห็นว่าพลังรบของเสวียลั่วฉามิใช่ชั่ว ก็รู้ในทันทีว่าพยัคฆ์แก่จะอย่างไรก็ยังเป็นพยัคฆ์แก่ ต่อให้ปราศจากคมเขี้ยว กรงเล็บทั้งสองของมันก็ยังสามารถตะปบเหยื่อให้ตกตายไปได้อีกหลายราย เถี่ยฉุยเถี่ยมู่และเถี่ยฉือรีบปรี่เข้ามาช่วยเสวี่ยซาน

กลั่นดวงธาตุสี่คนผนึกกำลังกัน ก่อตัวเป็นค่ายกลจู่โจม จึงสามารถต้านรับพลังจู่โจมปานอสนีบาตของเสวียลั่วฉาไว้ได้

“ทลาย! ”

เสวียลั่วฉาพอเห็นโจทก์เก่ากำลังจะร่อนกายลงจากฟ้า ก็เร่งร้อนหลบหนี จับเหยื่อรายใดได้ก็ถลกเนื้อหนังออกมาสดๆ ลงตรงนั้น

กระดูกเนื้อเยื่อดิ้นยั้วเยี้ยเหมือนหนอนแมลง อัญเชิญปีศาจจากขุมนรก กร่อนทำลายพิภพพสุธา

อ๊ากก!

ผู้ฝึกตนหลายคนถูกป่นสลายไปในทันที กลับกลายเป็นพลังหล่อเลี้ยงให้แก่เสวียลั่วฉา ลิ้นสีแดงสั้นกุดแลบเลียเลือดเนื้อตรงมุมปากของมัน

กลั่นดวงธาตุต่างพากันผลักฝูงชนหลบหนี พวกมันเพิ่งถูกไอปีศาจของเสวียลั่วฉาเล่นงาน

บนแท่งหยก ศิษย์อาภรณ์ดำบางคนคิดลงมือ แต่ก็ถูกไป๋หลี่ชิงเฉิงห้ามไว้ด้วยใบหน้าเรียบเฉย

ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้น ไม่รู้เห็นอะไรทั้งสิ้น

“อันหยาง ต่อให้ต้องเป็นผีข้าก็จะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด! ” พอเห็นขุนพลเกราะเงินแกว่งไกวทวนทองคำในมือพุ่งลงจากฟ้าด้วยบารมีอันยิ่งใหญ่ เสวียลั่วฉาก็ตื่นตระหนกถึงขีดสุด นัยน์ตาเริ่มมีเลือดไหล

“ตาย”

ทวนทองคำจี้ปราด พลาอำนาจไพศาลดั่งมังกร ปลายทวนพุ่งเข้าใส่ศีรษะโดยตรง

ฉินจิ่วเกอที่อยู่ในดงผู้คนพลันนัยน์ตาสาดวูบ

ชายถือทวนผู้นี้ เป็นเพียงกลั่นดวงธาตุขั้นสามเท่านั้น แต่กลับสามารถไล่ฆ่าผู้ฝึกวิชาปีศาจขั้นสี่ได้ สมควรเป็นศิษย์ที่พรรคใหญ่เผ่ามนุษย์ส่งออกมา

“โลหิตมารทลายจิต! ”

เสวียลั่วฉาเห็นว่าตนเองไม่มีทางรอด จึงตระเตรียมประหารทารกแกนวิญญาณ ตั้งใจจะระเบิดตัวตาย

โผละ!

หัวทวนทองคำทิ่มทะลุสมองของเสวียลั่วฉาไปอย่างง่ายดาย แต่หลิงไถกลับไม่ถูกทำลายตามไปด้วย

ร่างของเสวียลั่วฉาเริ่มแยกสลาย และเป็นตันเถียนที่ระเบิดขึ้นก่อน เปลี่ยนให้สังขารของมันกลายเป็นเศษชิ้นส่วนเล็กย่อยปลิวกระจาย

กระดูกนับร้อยท่อนเปลี่ยนเป็นศรแหลมเปรอะโลหิตพุ่งฉวัดเฉวียนออกไปสี่ทิศแปดทาง

“หนีเร็ว! ”

แท่งกระดูกแหลมพุ่งปะทุไปรอบด้าน เกิดเสียงกรีดร้องโหยหวนดังระงม พิสุทธิ์ไพศาลนับไม่ถ้วนถูกแท่งกระดูกนี้แทงทะลุเป็นรูพรุน

เถี่ยฉุยหนีไม่ทัน จึงพลาดท่าถูกแท่งกระดูกเสียบทะลุแขนจมไปถึงครึ่ง สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสจนต้องลงไปดิ้นโอดโอยอยู่บนพื้น

เถี่ยซานฉวยโอกาสที่หลิงไถของเสวียลั่วฉาถูกอันหยางสะกัดต้านไว้อยู่เข้าลงมือ

“หลงเฟิง ไปแย่งรางวัลกัน! ”

ฉินจิ่วเกอกล่าวจบก็โยนตราประทับบรรพตสละฟ้าออกมา หลงเฟิงเหินตัวมารับไว้ และวิ่งหายเข้าไปในวงต่อสู้

ตราประทับบรรพตผนึกธาตุในฐานะที่เป็นศาสตราศักดิ์สิทธิ์ระดับกลาง ด้วยพลังฝีมือของหลงเฟิงคิดกระตุ้นสัมผัสวิญญาณภายในยังเป็นไปไม่ได้

แต่ถ้าเพียงอาศัยความแข็งทนของศาสตราระดับนี้ ย่อมเพียงพอที่จะรับมือกับกายสังขารของสัตว์อสูรอย่างเถี่ยซานนี้ได้

ปงปง!

เกิดเป็นภาพติดตาประดับอยู่บนอากาศ หลงเฟิงด้วยวรยุทธ์กลั่นดวงธาตุขั้นสองกระแทกเถี่ยซานไปให้พ้นทาง จากนั้นพลิกฝ่ามือเหวี่ยงตราประทับเข้าใส่เสวียลั่วฉา ทวนทองคำในมือบุรุษผู้นั้นเองก็ต้องเป็นศาสตราศักดิ์สิทธิ์ระดับกลางเหมือนกันอย่างไม่ต้องสงสัย

แคร่ก!

เมื่อศาสตราศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองหลอมรวมพลัง ไอพลังลบอันขุ่นค้นภายในร่างของเสวียลั่วฉาจึงค่อยถูกสลายไป ไม่แพร่กระจายสู่ผู้คนอีก

เถี่ยซานที่ถูกหลงเฟิงบีบให้รามือเผอิญเหลือบไปเห็นเถี่ยฉุยที่ยังชักดิ้นชักงออยู่บนพื้น จึงปรี่เข้าไปดึงแท่งกระดูกแหลมออกให้ จากนั้นก็ไม่ลืมหันมาข่มขู่หลงเฟิงด้วยสายตา แต่เสียดายที่ใบหน้าโลงศพของอีกฝ่ายไม่อาจมีสีหน้าอื่นใดได้

สุภาพบุรุษฉินเป็นคนสำรวม ในที่ที่มียอดฝีมือมารวมตัวกันมากมายขนาดนี้ กลั่นดวงธาตุขั้นเก้าก็ต้องมีอยู่มากเช่นกัน

ถ้าเกิดเสวียลั่วฉาผู้นี้เป็นปีศาจยาจกขึ้นมา มันย่อมไม่รังเกียจที่จะเหลือไว้ให้ผู้อื่น